เสียงอึกทึกของผู้คนที่คับคั่งอยู่ในโรงเตี๊ยมที่ชวนให้รู้สึกเวียนหัว พร้อมทั้งแก้วเบียร์ที่ใส่น้ำผลไม้วางอยู่บนโต๊ะ ภายใต้บรรยากาศวุ่นวายแบบนี้ก็ตั้งใจ ฟังเสียงจากโต๊ะหนึ่ง
“ให้ตายสิ เจ้าพวกนักผจญภัย!”
เสียงของชายหนุ่มบ่นอย่างหงุดหงิดพลางวางแก้วลงโต๊ะอย่างรุนแรง ดูท่าคงเริ่มเมาเพราะแอลแล้วล่ะมั้ง ว่าแล้วเพื่อนที่นั่งอยู่ด้านข้างก็ตบบ่าเบา ๆ เพื่อปลอบโยน
“จะเดินทางไปเกียร์มัวสินะ ถ้าตอนนี้คงไม่มีนักผจญภัยคนไหนรับงานคุ้มกันหรอก มันอันตรายเกินไป”
เกียร์มัวเหรอ…อันตรายจริง ๆ นั่นแหละ เพราะว่าที่นี่คือเดเวีย ซึ่งสองประเทศนี้มักจะมีสงครามกันไม่ขาดสาย แถมพรมแดนยังมีแค่ทางเดียวด้วย
คนที่กล้าเดินทางไปมาระหว่างสองประเทศนี้ ก็คงมีแต่พวกบ้าบิ่นอย่างกองพ่อค้าคาราวาน ที่ตะบี้ตะบันออกเดินทางโดยไม่สนใจเรื่องแบบนั้น
ขนาดนักผจญภัยที่โม้นักโม้หนาว่ากล้าหาญก็ยังไม่อยากผ่านทางนั้นเลย แต่ก็ว่าก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหรือควรต่อว่าเท่าไหร่ นักผจญภัยเคลื่อนไหวตามความอยากรู้และผจญภัย
ถ้าเอาตัวเองไปทำงานเสี่ยงเกินไปมันจะไม่คุ้มเอา แถมงานนี้ยังไม่ได้น่าตื่นเต้นแบบผจญภัยเสียด้วย
“ก็เข้าใจอยู่หรอก แต่ว่า! ไม่ว่ายังไงก็อยากกลับไปให้เร็วที่สุด ต่อให้ต้องใช้เงินขนาดไหนก็ตาม ภรรยาฉันกำลังจะคลอดแล้ว”
อ้า…เพราะงั้นถึงได้รีบร้อนสินะ น่าสงสาร…แต่ก็เข้าทางฉันล่ะ
ว่าแล้วฉันก็ยิ้มมุมปากพลางปล่อยมือจากแก้วน้ำ ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปหาเขาพลางเปิดฮูดที่ปกปิดหน้าตาเอาไว้ออก เพราะว่าพอเปิดแล้วทำอะไรไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ แต่จะปิดก็คงทำธุรกิจไม่ได้
ถึงมันจะทำให้ได้งานยากขึ้นก็เถอะ หวังว่ารอบนี้จะได้นะ
“ได้ยินที่คุยกันแล้วล่ะพี่ชาย ถ้าต้องการมากจะจ้างฉันไหมล่ะ”
ฉันเอามือวางลงกับโต๊ะและถามออกไปด้วยความมั่นใจ ทั้งคู่ที่คุยกันอยู่ก็หันมามองทางฉัน อาจจะแปลกใจที่จู่ ๆ มีคนแปลกหน้ามาร่วมบทสนทนา แต่นี่คือร้านที่คนเข้ามาเต็มไปหมด เรื่องแบบนี้ก็ถือเป็นเรื่องปกติ
พวกเขาเองก็รู้ดีเช่นกันจึงไม่บ่นเรื่องนั้น
“เด็กเรอะ…โทษที ถึงจะรีบแค่ไหนก็คงจ้างคนที่ไม่รู้จะคุ้มกันตัวเองได้รึเปล่าหรอกนะ”
“เอาน่า ฉันมีคู่หูที่แข็งแกร่งน่ะ”
ว่าแล้ว ฉันก็เปิดผ้าคลุมเล็กน้อยและจับเข็มขัดลายมังกรให้ดู มันเป็นสัญลักษณ์ของโบสถ์ที่บ่งบอกว่าคนคนนั้นมีมังกรในครอบครอง และแค่นี้ก็มากพอที่จะทำให้คนเชื่อใจเรื่องความแข็งแกร่งได้
“ส่วนเรื่องการเดินทางไม่ต้องห่วง ฉันเคยอยู่ในกองคาราวานมาก่อน ดังนั้นสบายมาก”
ฉันรีบบอกข้อดีของตนเองทันทีเพื่อให้เขาตัดสินใจจ้างงาน เจ้าตัวที่ต้องการคนคุ้มกันนั้นทำท่าทางคิดเล็กน้อย คงคิดว่าเป็นข้อเสนอที่น่าสนใจสินะ ดีมาก
แต่แล้วชายอีกคนซึ่งเป็นเพื่อนก็ทำท่าระแวง แล้วพูดขึ้นมา
“แล้วทำไมเจ้าหนูไม่รับงานจากกิลนักผจญภัยล่ะ”
ชิ จุ้นจ้านจริง คนเขาจะได้งานอยู่แล้วดันขัดจะได้ ฉันเผลอเดาะลิ้นในใจแต่ก็ไม่แสดงท่าทีอะไรออกไป แถมจะปิดต่อก็คงไม่ได้แล้วฉันจึงยิ้มให้และตอบไปอย่างสบาย
“พอดีเป็นทหารรับจ้างน่ะ”
พอว่าแบบนั้นแล้วพวกเขาก็ทำหน้านิ่วกันทันที แน่ล่ะ ทหารรับจ้างมีชื่อเสียงด้านหิวเงิน ทำทุกอย่างเพื่อเงินแค่ได้ค่าตอบแทนก็ทำได้ทุกอย่าง และไม่มีความภักดี
ดังนั้นงานอย่างการคุ้มกันจึงไม่น่าไว้วางใจเท่าไหร่ ถึงแม้ว่าทหารรับจ้างบางคนอาจจะเก่งด้านนี้มากก็ตาม แต่สุดท้ายก็ติดปัญหาด้านความภักดี
ไม่แปลกที่จะคิดหนักเรื่องนี้
“ถ้าไม่ไว้ใจ ทำสัญญาลายลักษณ์อักษรไหมล่ะ”
“สัญญาลายลักษณ์อักษร? ทหารรับจ้างเนี่ยนะ”
ก็ไม่แปลกที่เขาจะงงกัน เพราะส่วนมากทหารรับจ้างเก่งเรื่องการใช้กำลัง และก็ทุ่มเวลาทั้งหมดในการทำงาน และฝึกการฆ่าฟัน ดังนั้นจึงแทบไม่มีใครอ่านออกเขียนได้เลย
“ใช่ บอกแล้วใช่ไหมว่าเคยอยู่กองคาราวานมาก่อน เพราะงั้นฉันก็จะใช้วิธีทำงานแบบพวกพ่อค้า เป็นไง สนใจไหม?”
เมื่อเร่งให้ตัดสินใจ ชายหนุ่มก็ครุ่นคิดอย่างหนักก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ เรียบร้อย ได้งานแล้วสินะ
“ได้ ฉันตกลง…น่าจะเร็วที่สุดแล้วล่ะ”
“นายเอาจริงเหรอ ทหารรับจ้างเลยนะ–”
“ขอบคุณที่ใช้บริการ! งั้นก็มาเขียนสัญญากันเลยดีกว่า”
ว่าแล้วฉันก็รีบหยิบกระดาษปากกาและกล่องหมึกออกมาวางบนโต๊ะอย่างคล่องแคล่ว และร่างสัญญาที่ระบุเนื้อหางานและข้อตกลงที่คุยกันเมื่อครู่ทันที
ถึงแม้ว่าการเขียนจะยุ่งยากเพราะต้องจุ่มหมึกทุกครั้งที่เขียน แต่เดเวียก็ผลิตปากการูปแบบใหม่ที่ทำให้ใช้งานได้สะดวกขึ้น ถึงจะยังต้องจุ่มหมึกอยู่ก็เถอะ แต่ก็ไม่ต้องจุ่มบ่อย ๆ
เดเวียเป็นประเทศที่บ้าคลั่งการค้นคว้า ดังนั้นจึงให้สำคัญด้านการอ่านเขียนแล้วก็เริ่มมีการทำปากกาแบบนี้เพื่อให้สะดวก
“ฉันคิด 250 กิลนะ”
ฉันหยุดมือและเหลือบไปมองท่าทีของเขาว่าเป็นยังไง เมื่อเห็นนิ่งเงียบสักพักก่อนจะพยักหน้าให้ ฉันก็ยิ้มอย่างพอใจและเขียนต่อ
จนทุกอย่างเรียบร้อยก็หยุดมือและส่งกระดาษกับปากกาส่งไปให้เขา
“เอาจริงเหรอ ทหารรับจ้างเนี่ยนะ…”
พวกเขาทั้งคู่ที่อ่านก็ทำสีหน้าแบบไม่เชื่อสายตา แต่ฉันก็ทำเพียงยืนอยู่เฉย ๆ เพื่อรอให้พวกเขาตอบตกลง เจ้าตัวที่จะเดินทางก็เลยถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา
ช่วยไม่ได้สินะ ว่าแล้วเขาก็ลงมือเซ็นชื่อทำสัญญาทันที
“ขอบคุณที่เลือกจ้างนะ!!”
ว่าแล้วพวกเราก็ตกลงร่วมงานกัน ซึ่งจะออกเดินทางในวันพรุ่งนี้ เพราะงั้นฉันจึงเตรียมตัวเข้านอนทันทีเมื่อได้งาน หากแต่ไม่ได้ขึ้นไปบนห้องพักของโรงเตี๊ยม แต่ว่ามุ่งหน้าออกไปด้านนอก
ที่คอกม้าขนาดค่อนข้างใหญ่ เพื่อลองรับมังกรบางชนิด และฉันก็เข้าไปพบเจอกับม้าของแขกคนอื่นซึ่งแน่นอนว่าไม่สนใจ จนหยุดอยู่หน้าคอกหนึ่ง
ด้านในมีมังกรสี่ขาตัวค่อนข้างยาวสีแดง ส่วนหัวมีกระดูกปกคลุมด้านหน้า ฉันยิ้มกว้างออกมาพร้อมทั้งเดินเข้าไปหาเขา และพูดขึ้น
“กลับมาแล้ว อิกนิส”
“กรร!!”
เมื่อฉันส่งเสียงทักออกไป เจ้าตัวก็เด้งหัวขึ้นมาทางนี้พร้อมทั้งส่งเสียงร้องอย่างร่าเริงผ่านมา 2 ปีแล้วอิกนิสโตขึ้นมากเลย ให้ผู้ใหญ่สักสองสามคนขึ้นขี่ได้สบาย น่าจะเป็นโตเต็มวัยแล้วล่ะ
แต่ถึงแบบนั้น ทางด้านนิสัยพวกเราทั้งคู่ก็ยังแทบไม่เปลี่ยนแปลง ถ้าที่จะเปลี่ยนก็คงเป็นฉันล่ะนะ ที่หลังจากตัดสินใจเป็นทหารรับจ้างแล้วต้องเจออะไรมาค่อนข้างเยอะ
ก่อนหน้านี้ก็ฝากตัวเป็นศิษย์กับอาจารย์ ซึ่งเขาก็สอนอะไรหลายอย่างเลยล่ะ ทั้งยังพาไปทำงานด้วย…งานนั่นของอาจารย์ส่วนใหญ่เป็นการทำสงคราม
เลยเกิดภาพแปลกตาอย่างเด็กผู้หญิงอายุสิบต้น ๆ ไปยืนอยู่กลางสนามรบ แต่ก็ชินอย่างน่าประหลาด…เพราะผลลัพธ์ก็คือฉันยังมีชีวิตอยู่ตรงนี้ ไม่ต้องถามเลยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง
แต่สุดท้ายฉันก็ถอนตัวออกมา แล้วพยายามหางานเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้ แต่ก็หายากเพราะทหารรับจ้างมีชื่อเสียงไม่ดีนัก สุดท้ายก็คงต้องกลับไปรับงานสงครามล่ะนะ…
“กรร…”
“โอ๊ะ โทษทีทำให้เป็นห่วงเหรอ”
เมื่อฉันคิดอะไรไปเรื่อย อิกนิสก็ทำตาแป๋วและเอาหน้ามาชนกับแก้มของฉัน เป็นวิธีแสดงความเป็นห่วงในแบบของเขาล่ะนะ
ดังนั้นจึงทำเพียงยื่นมือไปลูบข้างหัวที่เป็นกระดูกแข็ง ๆ ของเขา ถึงจะแอบสงสัยว่าแบบนั้นรู้สึกอะไรด้วยเหรอ แต่เจ้าตัวก็ยิ้มปริ่มอย่างมีความสุข
เอาเถอะ ชอบใจก็ดีแล้วล่ะ
“เราได้งานแล้วล่ะ พรุ่งนี้จะออกเดินทางกัน เป็นงานคุ้มกันคนไปจนถึงเกียร์มัว”
เขากะพริบตาเพื่อคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะทำเพียงพยักหน้าให้เงียบ ๆ แล้วฉันก็บอกให้นอนเก็บแรงไว้สำหรับเดินทางกันพรุ่งนี้
และฉันก็ล้มตัวลงนอนบนตัวเขาที่มีความอบอุ่นแผ่ออกมา ตั้งแต่ออกจากกองคาราวานแล้ว ไม่มีที่นอนไหนอุ่นใจเท่าบนตัวของอิกนิสอีกแล้ว…
———————— ———————–
“นี่…มันจะใช่ทางนี้จริงเหรอ ไม่เห็นมีเขียนไว้ในแผนที่เลย”
ชายที่อยู่บนหลังม้าทำสีหน้าไม่สบายใจและหัวหด ในขณะที่ฉันนอนไขว้ขาอยู่บนอานของอิกนิสอย่างสบายใจ โดยที่รอบ ๆ เต็มไปด้วยหินและภูเขาสูงชัน
“แน่สิ อีกอย่างนะถ้าตามแผนที่น่ะ มีทางเดินทางระหว่างสองประเทศนี้แค่ทางเดียว มันเลยกลายเป็นสนามรบไปโดยปริยาย หรืออยากจะฝ่าไปทางนั้นล่ะ?”
“…”
เจ้าตัวไม่ตอบอะไรออกมา คงไม่อยากสินะ แน่อยู่แล้ว ถ้าไปทางนั้นต่อให้รอดไปได้ ก็ต้องเจอกับค่ายทหารเต็มไปหมด ซึ่งคงไม่ให้ผ่านไปดี ๆ อยู่แล้ว
เพราะงั้นฉันจึงพาลัดมาซอกเขาที่ต้องลัดเลาะไปมา ซึ่งมันเป็นทางลัดที่โด่งดังในหมู่พ่อค้า ทางนั้นเป็นชาวบ้านธรรมดาล่ะมั้งเลยไม่รู้จักเส้นทางนี้
แต่ก็นะ ถึงจะเห็นสบายใจแบบนี้ก็ไม่ประมาทหรอก ถึงจะดูเหมือนสงบดีแต่ก็นั่นแหละนะ มันเป็นเส้นทางที่พ่อค้าใช้ผ่านกัน
แถมยังโดนล้อมไปด้วยพื้นที่สูงชัน เพราะฉะนั้น…
“หมอบลง!!”
ฉันตะโกนออกมาพลางกระโดดลงจากหลังของอิกนิส และหยิบหอกออกมายืนข้างลูกค้า ส่วนอิกนิสนั้นก็แยกตัวไปประกบอีกฝั่งอย่างรวดเร็ว จนม้าตกใจและส่งเสียงร้องออกมา
แต่มันก็ถูกทำให้สงบลงโดยชายที่ขี่อยู่ ไม่เลวนี่นา
‘เกร๊ง’
ว่าแล้วฉันก็ปัดลูกธนูที่ถูกยิงมาอย่างง่ายดาย และกวาดสายตาเพื่อหาคนยิง ด้านบนหินที่ยื่นออกมานิดหน่อยและไม่สูงมาก มีคนซ่อนตัวอยู่
ใช่ เพราะมีพ่อค้าเดินทางผ่านไปมา สิ่งที่เยอะขึ้นก็คือโจรที่มาดักปล้น อย่างเช่นตอนนี้นั่นเอง
“มี 5 คนงั้นเหรอ…”
“กรร”
เมื่อฉันพึมพำจำนวนที่รู้สึกได้ อิกนิสก็ส่งเสียงร้องและพยักหน้าให้เพื่อยืนยัน ส่วนลูกค้าที่ขี่ม้านั้นก็ทำสีหน้าแตกตื่นอย่างชัดเจน
“กะ- เกิดอะไรขึ้นน่ะ!”
“โจรน่ะ อิกนิสพาลูกค้าล่วงหน้าไปก่อนเลย ฉันจะไล่ตามโจรไป”
“กรร?”
เมื่อตัดสินใจแบบนั้น ฉันก็วิ่งออกมาจากจุดที่ตัวเองอยู่ทันที โดยไม่สนใจสายตาสงสัยของอิกนิส พื้นที่แบบนี้เขาคงไม่คล่องตัวเท่าไหร่ แล้วปล่อยไว้โจรก็จะมาโจมตีเราเรื่อย ๆ
ดังนั้นถ้าฉันแยกออกไปจัดการน่าจะดีกว่า
“อ๊าก!!”
“?! เด็กผู้หญิงเรอะ!!”
เมื่อฉันปีนป่ายตามจุดที่กระโดดขึ้นไปได้ ก็ปากมีดสั้นที่เก็บไว้ใส่โจรคนหนึ่ง ซึ่งมันปักเข้าที่ไหล่เฉียงไปทางคอเล็กน้อย ทำให้เจ้าตัวล้มลงไปครวญครางบนพื้น
และเพื่อนอีกคนหนึ่งก็หันมาทางฉันพลางเปิดตากว้างด้วยความตกตะลึง สองคนนี้เป็นคนที่ถือธนูเพื่อดักโจมตีพวกเรา ส่วนอีกสามคนนั้น…
“เด็กผู้หญิงมาคนเดียว? งั้นก็หวานหมูเลยสิ”
มีเสียงชายพูดขึ้นจากด้านหลัง เมื่อเหลือบไปมองก็พบกับโจรอีกสามคน ซึ่งถือดาบและมีดเดินเข้ามาด้วยสีหน้าแสยะยิ้ม และมองแทะโลมฉัน
ชิ หงุดหงิดสายตานั่นจริง หลังจากออกจากกองคาราวานแล้วก็เจอมันซะทุกที่เลย น่าขยะแขยงจริง รีบจัดการเจ้าพวกนี้ให้เรียบร้อยดีกว่า…
“เฮ้อ เรียบร้อย”
เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง ฉันก็ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย และยืดเส้นยืดสายอย่างสบาย ๆ โดยที่รอบตัวนั้นเต็มไปด้วยร่างไร้วิญญาณของโจรเมื่อครู่
ด้วยความที่มันก็เป็นโจรเลยไม่รู้ว่าของพวกนี้มาจากไหน ฉันเลยถือคติว่าจะไม่เอาของโจร…แค่พวกสิ่งของน่ะนะ เงินก็เก็บมาแหละนะ
“กิ้ว!”
ในตอนที่กำลังจะก้าวเท้ากลับไปหาอิกนิสนั้น ก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างร้องออกมา เป็นเสียงใสที่ฟังดูน่ารักอย่างบอกไม่ถูก
ตอนแรกก็คิดว่าจะไม่สนใจอยู่หรอกเพราะดังมาจากที่ค่อนข้างห่างออกไปหน่อย แต่พอทำท่าจะก้าวเดินต่อมันก็ร้องอีกหนักกว่าเดิม
อะไรล่ะนั่น แบบนั้นเหมือนกำลังเรียกอยู่เลยไม่ใช่รึไง ฉันหน้านิ่วคิ้วขมวดและขยี้หัวตัวเองนิดหน่อยก่อนจะตัดสินใจเดินตามเสียงไป
ซึ่งต้องปีนเขาเล็กน้อยไปทางที่โจรเดินมา…จากสภาพที่เหมือนมีแคมป์อยู่ คิดว่าคงเป็นที่ซ่องสุมของโจรกลุ่มเมื่อกี้ และในนั้นก็มีเจ้าของเสียงอยู่…
“กิ้ว!”
นอกจากเสียงจะน่ารักแล้วเจ้าตัวก็ยังตัวเล็กน่ารักอีก ภาพที่ฉันเห็นก็คือร่างของมังกรตัวเล็กที่หน้าตาประหลาด มันดูต่างจากมังกรทั่วไปอยู่นิดหน่อย…
มันโดนขังอยู่ในกรงเหล็ก ขนาดก็พอ ๆ กับเหยี่ยวธรรมดา มังกร…มังกรอะไรกันละเนี่ย ก็ว่าเคยเห็นมาเยอะแล้วนะ แต่เจ้าตัวนี้นึกไม่ออกเลย
ตอนนี้มันเอามือจับที่กรงและมองฉันตาแป๋วอย่างน่าสงสาร อืม…ถ้าช่วยหน่อยคงไม่เป็นไรหรอกเนอะ ว่าแล้วฉันก็อุ้มกรงนั้นกลับไปด้วย
ต้องไปเอาของมาสะเดาะกลอนล่ะนะ
——— ———–
(มุมคนเขียน)
สวัสดีค่ะ กลับมาแล้วววว หายไปนานไหมนะ? ส่วนตัวคิดว่านานมากเลยค่ะ แต่ถ้าเพื่อนเราคงบอกว่าเร็วไปแล้วแน่ ๆ เลยค่ะ (ฮา)
ยังไงก็เอาเป็นว่า อย่างที่เห็นเลยค่ะภาคพิเศษนี้ก็คือเรื่องราวของแฟร์กับอิกนิสนั่นเอง!! เวลาลงนิยายภาคนี้ก็จะไม่แน่นอนเช่นเดิมค่ะ ค่อนไปทางช้ามากกว่า
ยังไงก็หากสนใจเรื่องราวของทหารรับจ้างสาว แฟร์ ที่ออกเดินทางมาตั้งแต่เด็กกับคู่หูของเธอ อิกนิส ว่าจะทำอะไรและเป็นยังไงกันต่อ ก็สามารถติดตามได้ที่
ภาคพิเศษ “กำเนิดอาณาจักรแห่งทหารรับจ้าง”
ได้เลยค่ะ!!
//ปิดท้ายตอนนี้ด้วยรูปของน้องมังกรตัวใหม่ ที่ยังวาดไม่เสร็จค่ะ (ฮา)
(เครดิตผู้ออกแบบ : Kola-rabbit )