หลังจากนั้นก็มีจดหมายจากเคียร่าส่งมา นั่นทำให้ฉันยิ้มกว้างด้วยความยินดี อย่างแรกคือในที่สุดก็ได้คุยกับเธอ อย่างที่สองก็คือเนื้อความด้านใน
เหมือนว่าเธอจะลองทำตามคำแนะนำของฉันคือจัดหนักใส่พวกนั้น แม้ว่าจะเอิกเกริกนิดหน่อยแต่ก็ไปได้สวย ไม่ค่อยมีใครแกล้งเธอแล้ว แต่มีอย่างหนึ่งที่ฉันรู้สึกตงิดใจ
“เจ้าชายเริ่มมาชวนคุยบ่อยขึ้น…งั้นเหรอ”
เหมือนจะเป็นเพราะที่ทำการประลองเพื่อแสดงฝีมือให้เห็น เลยไปเตะตาเจ้าชายที่อยู่รุ่นเดียวกันเข้าล่ะมั้ง ทำไมกันนะ รู้สึกหงุดหงิดจัง
“เป็นอะไรน่ะแฟร์ หน้านิ่วเชียว คนในดวงใจส่งจดหมายมาหารึไง”
“มะ- ไม่ใช่ซะหน่อย! แค่เพื่อนน่ะ…”
ฉันตอบกลับคำแซวของตาลุงอัธยาศัยที่มีชื่อว่า โบล อย่างรวดเร็ว เขาคือคนที่มาขอให้ฉันช่วยสอนวิธีหางานปลอดภัยได้นั่นเอง ซึ่งก็ต้องเริ่มตั้งแต่ต้นเลยนั่นก็คือ สอนเขาอ่านเขียนนั่นเอง คนส่วนใหญ่ถ้าไม่ได้เกิดในประเทศเดเวียก็ไม่ค่อยจะได้เรียนอ่านเขียนกันเท่าไหร่หรอก
อย่างโบลเองก็เกิดที่หมู่บ้านของชนเผ่ารอบภูเขาทราโก้ อย่าว่าแต่อ่านเขียนเลยบ้านเกิดของเขาล้าหลังที่สุดในหมู่ทุกประเทศแล้วล่ะ เพราะมันเรียกว่าเป็นประเทศยังยากด้วยซ้ำ ส่วนใหญ่จะเป็นการต่างคนต่างอยู่มากกว่า
และตอนนี้พวกเราก็กำลังอยู่ระหว่างการเดินทางไปที่นั่น เพราะว่าโบลจะกลับไปหาครอบครัวส่วนฉันก็ไหลไปเรื่อยเพื่อหางานทำ ซึ่งก็คงใช้เวลาสักพักกว่าจะไปถึงที่นั่น ระหว่างนี้ฉันก็สอนอ่านเขียนให้กับโบล ทั้งยังพวกการค้าขายของพวกพ่อค้าอีก
ทั้งที่เรื่องอย่างสัญญาลายลักษณ์อักษรมันเป็นของปกติสำหรับพ่อค้าแท้ ๆ แต่สำหรับเขามันเป็นเรื่องที่แปลกใหม่มาก การทำแบบนี้มันค่อนข้างนิยมและกว้างขวางในหมู่สมาคมกิลการค้า เพราะว่ามีองค์กรขนาดใหญ่คอยหนุนหลังอยู่
หรือถ้าให้พูดง่าย ๆ มันก็กลายเป็นกฎหมายที่ใช้กันทุกประเทศไปแล้ว ว่าถ้าใครฝ่าฝืนสัญญาที่ลงชื่อเอาไว้จะมีหมายจับจากทางประเทศ และทุกประเทศจะต้องให้ความร่วมมือในการจับตัว ดังนั้นหลายครั้งที่แค่เราเซ็นชื่อพวกเขาก็เชื่อใจทหารรับจ้างได้อย่างง่ายดาย
ในตอนที่โบลรับงานครั้งแรกเขาอึ้งเลยล่ะ
“ว่าแต่ มังกรนั่นสินะที่ว่าเอาไว้ส่งจดหมาย ส่งมาจากไหนล่ะนั่น”
“อ้อ อันนี้จดหมายส่งมาจากฟาเรเรียน่ะ”
“ฟาเรเรีย…”
โบลทำท่าทางคิดหนักอยู่สักพักใหญ่ ก่อนจะเปิดตากว้างด้วยความตกตะลึง
“ฟาเรเรียที่ล้อมไปด้วยหุบเขาน่ะเหรอ บ้าหน่าไกลขนาดนั้น…”
“สุดยอดเลยใช่มะ! แฟลชนี่เป็นมังกรโบราณด้วยล่ะ ไม่อยากจะเชื่อเลย”
“…หวังว่าจะไม่โม้แบบนี้ให้คนอื่นฟังนอกจากฉันหรอกนะ”
“หือ?”
เมื่อฉันทำสีหน้าฉงนและเอียงคอใส่ เขาก็ถอนหายใจยาวออกมาก่อนจะเริ่มบ่นยาวเรื่องนี้ อะไรกันทำเป็นเรื่องใหญ่ไปได้ แถมยังบอกว่าอย่าเที่ยวไปประกาศให้ใครรู้อีกว่าใช้แบบนี้ได้…ถึงจะทำสีหน้างอนตุ๊บป่องที่โดนร่ายยาว แต่สุดท้ายฉันก็พยักหน้าและบอกว่าเข้าใจแล้ว
และพวกเราก็มุ่งหน้าต่อไปโดยที่รับงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ตามทางอย่างงานคุ้มกัน หรือแม้แต่ส่งของไปยังอีกเมืองหนึ่ง และพวกปัญหาจุกจิกอีกหลายอย่างที่ชวนให้สงสัยว่าทหารรับจ้างรับงานแบบนี้ด้วยเหรอ อย่างมีเด็กคนหนึ่งมาขอให้ช่วยตามหามังกรที่หลงป่า
แต่เอาเถอะ มันก็สบายใจดีล่ะนะที่ไม่ต้องทำงานที่มีกลิ่นคาวเลือดตลบอบอวลอย่างร่วมสนามรบ เราสองคนคิดแบบนั้นพร้อมทั้งมุ่งหน้าไปทราโก้อย่างรื่นเริง
โดยไม่คิดเลยว่า การร่วมเดินทางของเราสองคนจะเป็นจุดเริ่มต้นของความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตฉัน
———————— ———————-
“เหมือนว่าแฟร์จะได้เพื่อนร่วมทางคนใหม่ด้วยล่ะ”
“กรร!”
เมื่อฉันพูดสรุปจดหมายที่อ่าน ก็มีเสียงหนักที่ดูสดใสออกมาค่อนข้างดังอย่างร่าเริง นั่นคือเสียงของริเกลที่ฉันนั่งพิงตัวอยู่นั่นเอง ตอนนี้ริเกลตัวใหญ่กว่าเดิมมากถ้าให้เทียบก็คงตัวพอ ๆ กับบ้านหลังเล็ก แต่จากรูปร่างหน้าตาทำให้ฉันคิดว่ามังกรพิภพตอนนั้นต้องเป็นพ่อของริเกลแน่
เพราะถึงจะต่างกันนิดหน่อยแต่ก็รู้สึกว่าหลายอย่างใกล้เคียงกันมาก แต่เรื่องแบบนั้น…จะไม่สนใจก็คงไม่ได้ พวกศาสนจักรเองก็คงจะสังเกตเห็นแล้ว ทำเอาอยากให้เรียนจบเร็ว ๆ เลย เพื่อปกป้องริเกลด้วยสิ่งที่ฉันทำได้
“กรร?”
“อ้า…ไม่มีอะไรหรอก แค่คิดอะไรไปเรื่อยน่ะ”
เพราะว่าเผลอคิดในใจนานเกินไปล่ะมั้งริเกลจึงส่งเสียงออกมาด้วยความสงสัย ดังนั้นฉันจึงวางเรื่องกลุ้มใจเอาไว้ก่อนและหันไปลูบปากของริเกลที่ยื่นลงมาหา แม้จะตัวโตขนาดนี้เธอก็ยังชอบให้ลูบแบบนี้เป็นที่สุด และมันก็เป็นเรื่องที่ดีมากเพราะว่าพอเห็นริเกลก็ทำให้ฉันสบายใจได้เหมือนกัน เพราะมันทำให้ฉันคิดได้ว่า ความสุขของพวกเราจะไม่หายไป แม้ว่าเราจะโตกันขึ้นแล้วก็ตาม
แต่มันก็คงแปลกจริง ๆ นั่นแหละทั้งที่เปิดเรียนยังไม่ถึงปีด้วยซ้ำก็อยากเรียนจบซะแล้ว เอาเถอะยังไงเรื่องโรงเรียนก็ไปอย่างราบรื่นไม่มีอะไรเป็นพิเศษมากนัก
“งั้นฉันไปก่อนนะ ฝากแฟลชด้วยล่ะ”
“กรร!”
ริเกลขานตอบฉันโดยการร้องเสียงดังฟังชั้นและใช้หางจบพื้นไปหนึ่งที ตอนนี้แฟร์กำลังนอนขดตัวอยู่บนตัวริเกลอย่างสบายใจ ซึ่งตอนนี้ทั้งคู่อยู่ที่พักสำหรับมังกร ในตอนเช้าแบบนี้พวกมังกรจะยังออกไปด้านนอกไม่ได้ แต่สาย ๆ จะมีคนดูแลมาพาออกไปสูดบรรยากาศในสวนของมังกรภายในโรงเรียน
และฉันก็ต้องไปเข้าเรียนตามปกติเพราะอีกไม่นานก็น่าจะเริ่มคาบเช้าแล้ว ซึ่งริเกลทำหน้าหงอยเล็กน้อยแต่ก็ไม่งอแงอะไรเป็นพิเศษ พร้อมทั้งเอาหน้ามาถูอีกรอบเป็นการส่งไปเรียน พอมีริเกลอยู่ก็ชวนให้รู้สึกว่าไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้ขึ้นมา รู้สึกโชคดีมากจริง ๆ ที่ได้เจอกับริเกลหลังมาเกิดที่นี่ ไม่งั้น…
“อ้าว อรุณสวัสดิ์ครับคุณเคียร่า”
“โอ๊ะ อรุณสวัสดิ์เพคะ ฝ่าบาท”
ในขณะที่คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยเสียงของชายหนุ่มที่ได้ยินบ่อยในช่วงนี้ก็ดังขึ้นทัก เมื่อหันกลับไปจึงทักทายกลับไปด้วยท่าทีที่เรียบร้อยและสง่างามตามระเบียบของสังคมขุนนาง นั่นทำให้อีกฝ่ายที่มีเรือนผมสีทองสั้นหยุดชะงักพร้อมทำสีหน้าลำบากใจ
“ไม่จำเป็นต้องทางการกับผมนักก็ได้นะครับ”
เหมือนว่าเขาจะอยากให้ฉันพูดจาเป็นกันเองแบบเพื่อนล่ะมั้ง แต่ฉันก็มองไปรอบ ๆ ที่มีนักเรียนคนอื่นเดินผ่านไปมาอย่างไม่ขาดสาย แล้วก็ได้แต่ยิ้มตามมารยาทกลับไป
“จะพยายามนะเพคะ”
แล้วฉันก็เดินต่อราวกับพยายามกลมกลืนกับฝูงชน หวังว่าเจ้าชาย แวร์มิล จะเข้าใจนะว่าการพูดเป็นกันเองกับเขาสำหรับฉันมันค่อนข้างอันตราย ถึงจะเคยมีเรื่องเอิกเกริกจนไม่มีคนมาตามรังควานเรื่องเป็นสามัญชนแล้ว แต่การที่คนไม่มียศอะไรแบบฉันทำตัวสนิทสนมกับเจ้าชายก็เป็นคนละเรื่อง
คราวนี้อันตรายที่ว่าเพราะไม่ใช่แค่พวกลูกขุนนางปากมากจะรังควาน แต่รวมไปถึงคนมีตำแหน่งต่าง ๆ ภายในประเทศ แล้วมันคงจะแย่ยิ่งกว่าที่ถ้าเรื่องนั้นทำให้การเป็นอัศวินของฉันมีปัญหา ต้องมีคนคิดว่าฉันพยายามใช้เส้นสายกับเจ้าชายเพื่อตำแหน่งแน่ แบบนั้นมันน่าหงุดหงิดจะตาย ถึงจะสะดวกแต่ฉันก็อยากจะคว้าทุกอย่างด้วยตัวเอง ดังนั้นจึงปฏิเสธคบค้ากับเจ้าชายแบบเปิดเผย…
แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เข้าใจความรู้สึกล่ะนะ ฉันหันกลับไปมองด้านหลังก็พบกับเจ้าชายที่ยิ้มแย้มทักทายเหล่านักเรียนที่เดินผ่านไปมาอย่างไม่ขาดสาย เขาคงต้องการสหายเคียงบ่าเคียงไหล่ที่สนิทพอจะไม่ต้องสวมหน้ากากขุนนางล่ะนะ
เอาเถอะ ถ้าอยู่ตามลำพังก็จะพยายามแล้วกัน เท่าที่ไม่ส่งผลเสียกับฉัน
“คุณเคียร่า พักกลางวันนี้ทานอาหารร่วมกันดีไหมครับ”
ในขณะที่กำลังจะเดินออกจากห้องเรียนเจ้าชายเจ้าเก่าก็เดินมาชวน อืม กินข้าวงั้นเหรอ…ได้แหละมั้ง ที่ปกติก็เงียบดีด้วยถ้าแบบนั้นคงจะเป็นเพื่อนตามที่เขาขอได้ แต่ก็ต้องบอกเรื่องหนึ่งเผื่อไว้
“ได้เลยค่ะ แต่ว่าปกติฉันจะทานร่วมกับริเกลนะคะ”
“ริเกล…ถ้าจำไม่ผิดมังกรของคุณเคียร่าสินะครับ ไม่มีปัญหา”
ว่าแล้วฉันก็ยิ้มกว้างออกมาอย่างโล่งอก ดีแล้วล่ะนะเพราะว่าขุนนางหลายคนไม่ค่อยชอบการร่วมโต๊ะกับมังกรเท่าไหร่ ถ้าแบบนั้นคงต้องปฏิเสธแหละนะ เพราะว่าไม่เคยมีครั้งไหนที่เราสองคนจะไม่กินข้าวด้วยกัน ริเกลเป็นครอบครัวคนสำคัญสำหรับฉัน ดังนั้นถ้ามีอะไรขึ้นมาเธอสำคัญที่สุด
ว่าแล้วพวกเราก็มุ่งหน้าไปหยิบอาหารส่วนของตัวเองซึ่งมีจัดวางเป็นบุฟเฟ่ต์อยู่ที่โรงอาหาร แล้วก็ถือมุ่งหน้าไกลออกไปจากสวนที่ทุกคนกำลังเพลิดเพลินกันอยู่ เลยไปจนถึงอีกฟากหนึ่งซึ่งเป็นสวนที่กว้างเพราะเป็นที่อยู่ของพวกมังกรขุนนาง
“กรร!!”
ในตอนที่ฉันพาเจ้าชายเดินมาถึงสวนได้ไม่นานนัก ก็เกิดเสียงร้องอย่างร่าเริงของริเกลดังมาแต่ไกล พร้อมทั้งพื้นที่สั่นไหวเล็กน้อยเพราะร่างใหญ่โตกำลังออกวิ่ง แล้วริเกลก็มาหยุดตรงหน้าฉันพอดีพร้อมกับนั่งยืดหลังตรงอย่างเรียบร้อย หางก็ตีกับพื้นดังพึบพับด้วยความดีใจ
แม้ว่าหน้าตาของริเกลตอนนี้จะดูน่าเกรงขามและสง่างามมากกว่าน่ารัก แต่พฤติกรรมของเธอก็ไม่เปลี่ยนไปจากตอนตัวเท่าลูกหมาแม้แต่น้อย ทำให้ฉันหลุดหัวเราะออกมา
“นี่น่ะเหรอ…มังกรพิภพ”
แต่แน่นอนว่ามันไม่ใช่สำหรับคนที่เพิ่งเคยเจอริเกลเป็นครั้งแรกอย่างเจ้าชาย เขาเงยหน้าขึ้นมองด้วยสีหน้าตกตะลึง ในสายตาของเขาคงจะดูน่ากลัวมากกว่าน่ารัก เพราะพอโตขึ้นสีหน้าของริเกลก็มองออกยากมากเท่านั้น ซึ่งฉันรู้อารมณ์ของเธอได้จากดวงตาและเสียงร้อง
ซึ่งคนอื่นต้องแยกไม่ออกแน่
“ขอแนะนำให้รู้จักนะ นี่ริเกล แล้วก็ริเกล นี่เจ้าชายแวร์มิลที่เคยเล่าให้ฟัง”
เมื่อฉันพูดแบบนั้นดวงตาที่หรี่เล็กของริเกลก็กว้างขึ้นเล็กน้อย กำลังตกใจอยู่? ทำไมกันนะมีอะไรแปลกรึเปล่า? ส่วนทางด้านเจ้าชายนั้นก็ดึงสติตัวเองกลับมาอีกครั้งแล้วยิ้มอ่อนให้
“พูดเรื่องของผมด้วยเหรอครับ”
“ก็นิดหน่อย จริงสิ”
ฉันเว้นช่วงเล็กน้อยแล้วเอามือสองข้างขึ้นมาประกบกันราวกับนึกอะไรบางอย่างออก ใช่ ฉันใช้จังหวะนี้บอกเขาได้นี่นา ว่าพยายามเลี่ยงทำตัวเป็นเพื่อนกันต่อหน้าคนเยอะ
ได้จังหวะเหมาะเหม็งเลยนี่นา
“ถ้าอยู่กันส่วนตัวแบบนี้ฉันจะไม่พูดสุภาพก็ได้นะ พอดีว่าถ้าอยู่กับคนเยอะทำตัวตามสบายกับเจ้าชายคงไม่ดีเท่าไหร่น่ะ”
“อย่างนี้นี่เอง…ขอบคุณมากครับ แล้วก็เข้าใจแล้ว”
ทำไมต้องขอบคุณกันนะ? ช่างเถอะเข้าใจกันก็ดีแล้วล่ะ ว่าแล้วฉันก็ชวนให้ไปหามุมนั่งภายในสวนมังกร ถึงจะบอกว่าเป็นสวนแต่มันก็ดูเรียบง่ายกว่าที่อื่นมาก เพราะว่ามันมีแค่พื้นหญ้าโล่งแซมด้วยต้นไม้เล็กน้อยสำหรับมังกรที่ชอบปีนต้นไม้ และดอกไม้บ้างอีกนิดหน่อย
หรือก็คือเป็นที่จำลองป่าสำหรับให้พวกมังกรสบายใจนั่นเอง อะ แต่ตรงกลางสุดมีบ่อน้ำขนาดใหญ่สำหรับมังกรวารีเหมือนกัน เป็นสวนที่สร้างมาเพื่อมังกรโดยแท้เลยล่ะ
พวกเราเลือกไปนั่งริมบ่อน้ำที่ว่านั่นโดยมีแฟลชเกาะบนต้นไม้ใกล้จุดที่นั่งอยู่ มันไม่ลงมาเปิดตัวให้เจ้าชายเห็นซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องดี ริเกลจัดแจงนอนลงกับพื้นตามปกติ และฉันก็ลงไปนั่งพิงตรงบริเวณท้องใกล้กับขาหน้าของเธอ
ส่วนเจ้าชายก็เดินตามมา และโดนหางของริเกลที่ขยับโค้งมาปิดทางไม่ให้เข้าใกล้ท้องของตัวเอง ทำให้เจ้าชายต้องจำใจนั่งตรงข้ามฉันซึ่งห่างไปเล็กน้อยโดยมีหางของริเกลคั่นอยู่ แถมริเกลยังส่งเสียงขู่จนร่างของเจ้าชายสะดุ้งโหยงอีก
“กรร!”
“ฮ่า ๆ ขอโทษนะ พวกมังกรคงไม่ชอบให้คนอื่นเข้าใกล้ท้องตัวเองเท่าไหร่”
“พอได้ยินมาบ้างเหมือนกัน เพราะเป็นจุดอ่อนที่สุดสินะ”
“ใช่เลย…แต่ว่าแปลกอยู่นะ ปกติริเกลจะชอบให้คนลูบท้องนี่นา ไม่ค่อยจะขู่ใครชัดเจนขนาดนี้ด้วย…”
ฉันพูดแบบนั้นพร้อมทั้งขมวดคิ้วเล็กน้อยและหันไปลูบลำตัวของริเกล พลางพึมพำอย่างแผ่วเบาว่า ‘ปวดท้องรึเปล่านะ’ อย่าเป็นห่วง แต่ริเกลที่ทำตัวแปลกไปนั้นก็ยิ้มกว้างและขยับหัวเข้ามาอ้อนตามปกติ เหมือนว่าจะไม่เป็นไรสินะ แต่แปลกจัง
เจ้าชายนั่งมองพวกเราอยู่อย่างเงียบเฉียบก่อนจะพูดขึ้นมา
“พวกเธอสนิทกันมากเลยนะ”
“แน่นอน พวกเราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้วน่ะ จะเชื่อไหมนะ ตอนเจอกันครั้งแรกริเกลยังตัวเท่านี้อยู่เลย!”
พูดจบฉันก็ใช้มือสองข้างกะขนาดของริเกลในตอนนั้น และราวกับถูกกดสวิตช์บางอย่างในตัวเข้า ฉันเริ่มเล่าเรื่องความน่ารักของริเกลไม่หยุด เป็นความน่ารักที่ได้เห็นตั้งแต่ตอนออกจากไข่จนเริ่มโตทีละนิดและมีส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเพิ่มขึ้นมา
ทุกการเจริญเติบโตของเธอมันจะเพิ่มความน่าฉงนแถมยังน่ารักให้ทุกครั้งอย่างน่าประหลาด ถ้าโลกนี้มีมือถือฉันคงไม่พลาดถ่ายเก็บความทรงจำทุกเม็ดเอาไว้ในเครื่องแล้ว
และตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ทางฝั่งเจ้าชายก็ได้แต่ขำแห้งฟังเรื่องราวของฉันอย่างไม่รู้จบ อะ จบตอนที่ใกล้ถึงเวลาเข้าเรียนนี่นะ และแน่นอนว่าเรื่องเหล่านี้ฉันก็เล่าลงไปในจดหมาย ทั้งยังเรื่องผิดปกติของริเกลที่ขู่คนอีกต่างหาก เกิดอะไรขึ้นกันนะ
แต่แฟร์กลับตอบกลับมาว่า
‘ฝากบอกริเกลทีนะว่า เยี่ยมมาก’
แล้วริเกลก็ดันทำหน้าตาภูมิใจมากซะด้วยพอฉันเอาคำของแฟร์มาบอก อะไรกันนะ สองคนนี้มีอะไรที่เข้ากันได้โดยที่ฉันไม่รู้ตัวงั้นเหรอ
และเหตุการณ์เหล่านี้ก็ยังคงเป็นเรื่องให้ฉันไม่เข้าใจต่อไป
————————- ————————–
(มุมคนเขียน)
แปะรูปริเกลตอนโตอีกรอบนะคะ เผื่อจำกันไม่ได้ 55
(เครดิตผู้ออกแบบ : Kola-rabbit )