“อ้อ…อย่างงี้นี่เอง!!”
ตอนนี้พวกเราพักอยู่ในป่าของเขตรอบภูเขาทราโก้ ใช่ ตอนนี้พวกเราข้ามพรมแดนมาแล้วนั่นเอง ส่วนเรื่องเด็กคนนั้นก็ตัดสินใจกับโบลว่าจะไปบอกข่าวร้ายตามตรง และขอให้คนรู้จักคนอื่นในเมืองนั้นของโบลช่วยดูแลจนกว่าจะตั้งหลักด้วยตัวเองได้ ถึงแม้ว่าจะน่าเศร้าใจก็เถอะที่ช่วยอะไรมากกว่านี้ไม่ได้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าฉันในตอนนี้มีความสามารถไม่พอ
แต่ว่า นี่แหละ!! จากสิ่งที่เคียร่าแนะนำมาจะต้องทำได้แน่!!
“อะไร เกิดอะไรขึ้นรึไง”
ในตอนนั้นโบลที่กำลังเขี่ยกองไฟอยู่พูดด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย ไม่รู้ทำไมทั้งแฟลชทั้งโบลพอฉันอ่านจดหมายหรือเขียน ก็มักจะทำหน้าแบบนั้นตลอดเลย แต่เรื่องนั้นช่างมันปะไร ที่สำคัญคือนี่ต่างหาก!!
“ฉันรู้แล้วล่ะ ว่าหลังจากนี้จะทำอะไรต่อ!!”
“โอ้ อะไรงั้นเรอะ”
ถึงจะถามแบบนั้นท่าทีของเขาก็ไม่มีแววว่าจะสนใจแม้แต่น้อย ก็นะ ไม่แปลกหรอกที่จะไปคลุกอยู่แต่กับกองไฟ ก็พอข้ามพรมแดนมาพื้นที่แถบนี้ก็ปกคลุมไปด้วยหิมะตลอดทั้งปีนี่นะ ยังดีที่ตอนนี้ไม่ใช่หน้าหนาว ไม่งั้นคงจมพายุหิมะไปแล้ว
แต่ว่าท่าทางเพิกเฉยของเขาก็ไม่มีผลต่อความตื่นเต้นของฉันแม้แต่น้อย พร้อมทั้งชูจดหมายขึ้นเหนือหัวและพูดออกมา
“ฉันจะก่อตั้งกลุ่มทหารรับจ้างล่ะ!!”
“ห๋า ตั้งกลุ่มเหรอ”
ในตอนนั้นเองโบลที่ทำท่าไม่สนใจอยู่โดยตลอดก็หันกลับมามอง ด้วยสายตาที่ราวกับไม่เชื่อหูตนเอง แต่ฉันก็ยิ้มกว้างพร้อมทั้งพยักหน้ายืนยัน
คราวนี้สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเอือมระอาและพูดต่อ
“เธอก็น่าจะรู้ ทหารรับจ้างไม่ชอบอยู่กันเป็นกลุ่ม”
“ฉันรู้น่า ไม่คิดจะไปดึงดันให้พวกแบบนั้นมาเข้ากลุ่มหรอก”
“…แล้ว จะเอายังไงล่ะ”
ถึงจะเหมือนไม่เห็นด้วยกับการสร้างกลุ่ม แต่ก็รอฟังคำอธิบายของฉันต่อไป คงเพราะรู้อยู่แล้วมั้งว่าถ้าไม่มีเหตุผลให้เลิกมากพอ ก็หยุดฉันไม่ได้แน่
และฉันก็เชื่อว่าแผนนี้มันจะต้องได้ผลอย่างแน่นอน มันเป็นสิ่งที่เคียร่าแนะนำฉันมาให้ลองทำ…คำแนะนำของเธอมักจะได้ผลดีเสมอ แม้ว่าบางครั้งจะฟังดูเข้าใจยากก็ตาม
“ฉันจะรวบรวมคนที่มีครอบครัวต้องปกป้องมาไว้ด้วยกัน ทำงานร่วมกัน แค่นั้นแหละ”
“…ต่อให้มีคนเยอะขึ้นก็ไม่ทำให้ไม่มีใครตายหรอกนะ”
“ฉันไม่ได้โง่นะ”
เมื่อโดนพูดตัดกำลังใจ ก็สวนกลับไปอย่างรวดเร็วโดยไม่มีความไม่พอใจแม้แต่น้อย ฉันรู้ดีว่าทำไมเขาถึงคิดแบบนั้น ยังไงซะโบลก็มีประสบการณ์มากกว่าถ้ามองในเชิงแบบนั้นสำหรับเขาก็เป็นเรื่องที่ถูกต้อง เพราะแต่เดิมทหารรับจ้างนั้นทำงานแบบลุยเดี่ยว ถ้าจู่ ๆ จับมาร่วมทีมกันคงพังไม่เป็นท่า
แต่ว่านะ
“ถึงจะยังมีคนตายได้เหมือนเดิม แต่ก็ช่วยให้มันลดลงได้ไม่ใช่รึไง”
“…”
จุดประสงค์หลักของกลุ่มนี้ไม่ใช่ว่าจะไม่ให้มีคนตายเลย แต่เป็นพยายามยื้อให้มีคนตายน้อยมากที่สุดต่างหาก และที่สำคัญต่อให้มีคนตายไป…
“อย่างน้อยที่สุด…ถึงจะต้องตาย ก็ยังวางใจได้ว่าครอบครัวจะอยู่ได้”
“…รับผิดชอบหมดทุกบ้านไม่ไหวหรอกนะ”
“ถึงต้องสร้างกลุ่มไง”
ในครั้งนี้เองก็เป็นครั้งแรกที่เขาหันมามองฉันตรง ๆ ไม่ได้ถามแบบไม่สนใจอีกแล้ว และบนใบหน้าก็มีสีหน้าที่ดูเข้มงวดอยู่
“ถึงจะน่าเศร้ายังไง การตายมันก็เป็นเรื่องปกตินะ”
“ที่คิดว่ามันปกติเพราะว่าปลูกฝังกันมาไม่ใช่รึไง เพราะงั้นฉันก็จะปลูกฝังให้การตายไม่ใช่เรื่องปกติเหมือนกัน…โดยเฉพาะกับคนใกล้ตัว”
เมื่ออธิบายด้วยสายตาที่มั่นคงและไม่สั่นคลอนแม้แต่น้อย ก็กลายเป็นฝั่งโบลที่หน้ากระตุกและมองไปทางอื่นด้วยอารมณ์ทำตัวไม่ถูก คงจะหาคำมาพูดต่อไม่ได้ล่ะมั้ง
“แล้ว จะทำยังไงล่ะ จะไม่ไปซ้ำซี้ให้เข้าร่วมใช่ไหมล่ะ แล้วถ้าไม่มีสมาชิกก็เป็นกลุ่มไม่ได้หรอกนะ รู้ใช่ไหม พวกทหารรับจ้างที่ฉันรู้จักน่ะมันไม่เอาด้วยหรอก การร่วมมือกันอะไรนั่น”
“ถ้าพวกเขาตระหนักได้ว่ามีสิ่งสำคัญที่ต้องปกป้อง เขาจะคิดได้และเดินเข้ามาหาฉันเอง…เหมือนกับนายไง”
“หึ เด็กก็เป็นซะแบบนี้ล่ะนะ ทั้งอ่อนต่อโลก ไร้เดียงสา และเพ้อฝัน”
เขาพูดทิ้งท้ายแล้วแบบนั้นแล้วกลับไปเขี่ยกองไฟเล่นเหมือนเดิม สนุกเหรอนั่น? และแน่นอนว่าฉันเมินเฉยต่อคำพูดที่ราวกับดูถูกของเขา ฉันไม่สนใจหรอกว่าใครจะมองว่าฉันเป็นเด็ก แต่ว่า ฉันตัดสินใจได้แล้ว ไม่ว่าจะยากแค่ไหน ฉันก็จะทำมัน
แต่แล้ว บทสนทนาที่คิดว่าสิ้นสุดลงแล้วก็มีต่อ
“แต่เพราะแบบนั้นแหละ ถึงได้มุ่งตรงไปยังอุดมคติได้อย่างแรงกล้า…ถ้าตามผู้นำที่เป็นแบบนั้นไป ผู้ใหญ่ที่รู้มากจนยอมแพ้กับโลกไปแล้วอย่างฉัน ก็อาจจะมีโอกาสได้เห็นโลกในอุดมคตินั่น…เป็นบั้นปลายชีวิตที่ไม่เลวเลย”
“?! โบล! อย่าบอกนะว่านาย!”
“อา”
เมื่อได้คำตอบแบบนั้นฉันก็เก็บความตื่นเต้นดีใจไม่ถูก ใบหน้าจากด้านข้างของเขาที่ดูหมองและเข้มขรึมมาตลอดนั้นอ่อนลงอย่างชัดเจน เป็นสีหน้าของคนที่กำลังมีความหวัง และมองไปยังอนาคตที่แสนหอมหวาน
เขาจะร่วมทางเป็นสมาชิกกลุ่มคนแรกของฉันนั่นเอง
“ฉันละยอมใจความคิดแต่ละอย่างของเธอจริง ๆ”
“หึ เพราะมีที่ปรึกษามากความสามารถไงล่ะ”
ฉันยืดอกโอ้อวดเต็มที่ว่ามันไม่ใช่ความคิดของตัวเอง หลายอย่างที่ฉันพูดไปก็คิดได้เพราะเคียร่าคอยจุดประกายทั้งสิ้น ดังนั้นฉันจึงยอมรับโดยตรงว่าฉันไม่ได้เป็นคนที่เก่งมากขนาดนั้น
แต่ว่า หลังจากนี้เป็นต้นไปฉันจะทำด้วยตัวเองบ้าง จะเอาแต่พึ่งพาเคียร่าไปตลอดไม่ได้ แล้วแบบนั้นจะไปเจอหน้าเธอได้ยังไงกัน เพราะงั้นฉันจะยืนและคิดเส้นทางต่อไปด้วยตัวของฉันเอง
และในตอนที่กำลังจมไปกับความอิ่มเอมพร้อมกับการตัดสินใจอย่างเด็ดขาดอยู่นั้น ก็เกิดเสียงหัวเราะอย่างรื่นเริงดังมาจากโบล
“ฮ่า ๆ หวานใจล่ะสิไม่ว่า เห็นอ่านจดหมายทีไรหน้าตาอย่างกับมีความรักแหนะ”
เขายังคงพูดจาหยอกล้อฉันที่อ่านจดหมายของเคียร่าเช่นเดิม ตามปกติฉันคงจะสวนกลับไปว่าเข้าใจผิดแล้ว ไม่ก็เป็นแค่เพื่อนอะไรแบบนั้นแน่ แต่ไม่รู้ทำไมคราวนี้ถึงไม่รู้สึกติดใจเรื่องนั้น แถมยัง…รู้สึกร้อนที่ใบหน้าจัง
ไม่น่าจะเป็นไปได้นี่นา รอบ ๆ ก็มีแต่หิมะควรที่จะรู้สึกหนาวสั่นด้วยซ้ำ แม้แต่อิกนิสที่ร่างกายค่อนข้างอบอุ่นยังทนแทบไม่ไหวแล้วหลับไปก่อนตามสัญชาตญาณของร่างกายเลย
แต่กลับรู้สึกร้อนไปหมดทั่วทั้งหน้า ฉันป่วยเหรอ?
“จริงเหรอเนี่ย…เฮ้ย ๆ นี่หัวหน้า จะไม่เล่าเรื่องหนุ่มในดวงใจให้ลูกน้องคนนี้ฟังสักหน่อยรึไง”
ว่าแล้วก็เหมือนเจอเรื่องสนุกเข้าให้ โบลกลับมายิ้มร่าอีกครั้งอย่างรวดเร็วและเซ้าซี้ถาม พลางพูดว่าวงเหล้าของทหารรับจ้างก็ต้องเป็นเรื่องความรัก อะ บอกว่ามีพูดเล้าโลมถึงผู้หญิงที่แอบชอบด้วย น่าแหยงไปไหมนั่น
แต่ก็ไม่มีอารมณ์จะแย้งอะไรทั้งนั้น หัวใจก็สั่นระรัวมีแต่ใบหน้าของเคียร่า ทำไม…ถึงรู้สึกแปลก ๆ จัง ไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน ไม่สิ หรือเคยกันนะ? มันคืออะไรกันเนี่ย
ฉันก้มหน้าลงด้วยความรู้สึกที่แปลกใหม่ ก่อนจะพูดแย้งออกไปอย่างตะกุกตะกักและแผ่วเบา
“เธอ…เป็นผู้หญิงต่างหากเล่า…เจ้าบ้า”
ใช่ อะไรที่ทำให้รู้สึกหงุดหงิดกลับไม่ใช่การแซวว่าคุยจดหมายกับคนที่รัก แต่เป็นที่บอกว่าคุยกับผู้ชายต่างหาก อย่ามาพูดบ้า ๆ เคียร่าน่ะเป็นผู้หญิงที่น่ารัก!! ถึงจะไม่ได้เจอกันมาหลายปีแล้วก็ต้องน่ารักไม่เปลี่ยนแน่!! แถมเธอยังเริ่มบ่นว่าหนักหน้าอกจนปวดไหล่อีก เพราะงั้นหน้าอกเล็ก ๆ ของเธอเมื่อตอนเด็กต้องตูมขึ้นอีกมากแน่
“อะ…งั้นเหรอ”
ก็ไม่แปลกที่เขาจะตกใจ ถึงแม้จะไม่มีการต่อต้านอย่างรุนแรงแต่ศาสนจักรก็ต่อต้านการรักร่วมเพศ หลายคนจะคิดว่าเป็นสิ่งผิดปกติก็คงไม่แปลก…แต่ทำไงได้ จะมีผู้หญิงสักสิบยี่สิบคนหลงรักเคียร่าก็ไม่แปลก นอกจากร่างกายและหน้าตาที่ฉันพูดถึงไป เธอก็มีนิสัยดีฉลาดรอบรู้ แต่ก็มีมุมป้ำ ๆ เป๋อ ๆ ที่ดูน่ารักไปอีกแบบ
เธอเป็นผู้หญิงที่มีเสน่ห์ขนาดนั้นเลยล่ะ…เดี๋ยวนะ…
“นี่โบล…ถ้าเราเริ่มสนใจร่างกายของอีกฝ่ายนี่…หมายถึงอะไรน่ะ”
“หือ ก็คงเพราะชอบไม่ใช่รึไง”
“…แล้วถ้าคิดว่า อยากเจออีกฝ่ายมาก ๆ อยากอยู่ด้วยกันไปตลอดนี่…”
“ก็…หัวหน้ารักเธอน่าดูเลยนะครับ”
ไม่รู้ทำไมโบลถึงใช้คำสุภาพที่ไม่เข้ากับหน้าเขาอย่างแรง แถมยังดูกวนอย่างน่าประหลาดอีก แต่ว่า…อา!!! งั้นเหรอ งี้นี่เอง เพราะแบบนี้เองงั้นเหรอ ฉันถึงได้คิดถึงเคียร่าขนาดนี้…
ฉัน รักเคียร่านี่เอง โดยที่ไม่สนทั้งธรรมเนียมของศาสนาที่ถูกปลูกฝังมา ไม่สนว่าเธอจะมีเพศอะไรและมีสถานะแบบไหน ฉัน อยากอยู่เคียงข้างเคียร่า
ตลอดไป
“เคียร่า…จะรู้เรื่องนี้ไหมนะ”
จะรู้ไหมนะ ปกติพอฉันรู้อะไรใหม่ ๆ เคียร่ามักจะเหมือนรู้อยู่แล้วมาก่อนเลย ถามดีไหม? ไม่ ๆ ๆ เรื่องนี้ไม่มีทางถามเคียร่าได้หรอก ไม่มีวัน
และใครจะเชื่อ ปกติถ้ามีอะไรฉันจะเล่าให้เคียร่าฟังทั้งหมด แต่นี่เป็นครั้งแรกเลยที่มีเรื่องปิดบังเธอ และเรื่องนั้นก็ยังเป็นการที่ฉันชอบเธออีก
ถ้าเคียร่ารู้…จะรู้สึกยังไงนะ
———————- ——————-
แฟร์แปลกไป บางทีตัวหนังสือก็ยึกยัก มีรอยลบบ้างเป็นบางครั้ง แถมยังรู้สึกได้ว่าคำที่เขียนดูลนลานอย่างบอกไม่ถูก เกิดอะไรขึ้นรึเปล่านะ จากที่เราการสร้างกลุ่มก็เป็นไปด้วยดีนี่นา ได้ลูกน้องคนแรกที่มีประสบการณ์มากกว่าแถมยังคอยแนะนำอีก
การรวบรวมสมาชิกจากการลองทำอะไรด้วยตัวเองดูก็เหมือนจะไปได้สวย น่ายินดีจริง ๆ ที่เธอเริ่มไม่ต้องปรึกษาฉันทุกครั้งแล้ว
แต่เรื่องนั้นกับเรื่องนี้มันคนละเรื่อง ทำไมถึงดูประหม่าแบบนี้ล่ะ มีอะไรปิดบังรึเปล่านะ…หวังว่าจะดีขึ้นในเร็ววันนี้นะ เป็นห่วงจัง
“เคียร่า เป็นอะไรรึเปล่า”
หนนี้คนที่เรียกไม่ใช่เจ้าชาย แต่เป็นเพื่อนอีกคนที่เป็นลูกขุนนางคนสนิทของเจ้าชาย เขาชื่อว่า โอเรล หลังจากเริ่มเป็นเพื่อนกับเจ้าชายคนคนนี้ก็ตามมาเป็นเพื่อนอีกคน เป็นคนที่มีผมสั้นสีแดง
ในโรงเรียนแห่งนี้เลยพอมีเพื่อนอยู่บ้าง และวันนี้เจ้าชายไม่อยู่เพราะโดนเรียกตัวถึงเรื่องสำคัญบางอย่าง เลยกินข้าวเที่ยงกับเขาอยู่…แน่นอนว่ามีริเกลใช้หางกั้นไว้เช่นเดิม
“เปล่าหรอก แค่คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยน่ะ”
“เหรอ…จริงสิ วะ- วันหยุดคราวหน้า ฉันว่างพอดี พอจะไปเที่ยวด้วยกันหน่อยได้ไหม”
เขาทำท่าทางเคอะเขินและมีสีแดงแต้มบนแก้มเล็กน้อยในขณะที่พูดออกมา อืม…ไปเที่ยวกับเพื่อนงั้นเหรอ ตั้งแต่ทัศนศึกษาตอนช่วงมัธยมปลายในชาติก่อนก็ไม่เคยไปอีกด้วยสิ
ไม่สิ เดิมทีแบบนั้นจะเรียกว่าไปเที่ยวกับเพื่อนได้หรือเปล่านะ แต่การได้ไปดูสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ก็สนุกดี…เราเดินคนเดียวนี่หว่า ช่างมันเถอะ
“เอาสิ”
“จะ- จริงเหรอ! สำเร็จ-”
“อ๊ะ ไหน ๆ ก็ไปเที่ยวทั้งที ไปที่ที่มังกรไปด้วยได้กัน!!”
และในตอนนั้นเองฉันก็หันไปมองริเกล จริงด้วยตั้งแต่ยังเด็กแล้วริเกลค่อนข้างสนใจโลกภายนอก จะมีเหรอได้ไปเที่ยวผ่อนคลายทั้งทีจะไม่พาเธอไปด้วย ไปเที่ยวกับครอบครัวนี่แหละสนุกที่สุดแล้ว
โอเรลหยุดชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้รับคำตอบแบบนั้น ส่วนริเกลที่ปกติจะเงียบเพื่อไม่ขัดจังหวะก็เลื่อนหัวลงมาอ้อนฉัน พลางส่งเสียงร้องอย่างดีใจ น่ารักไม่เปลี่ยนจริง ๆ
และเพราะฉันก็หันไปลูบริเกลอย่างมีความสุขอีกฝ่ายเลยได้แต่พูดว่า ‘เหรอ เข้าใจแล้ว’ อย่างแผ่วเบาแล้วก็ดูตื่นเต้นน้อยลง เพราะอะไรกันนะ?
ในตอนนั้นเองริเกลก็จ้องไปที่โอเรลซึ่งนั่งซึมอยู่ ก่อให้เกิดความประหลาดใจเล็กน้อยเพราะปกติเธอจะไม่ค่อยสนใจเจ้าชายหรือโอเรลเลย หรือว่าจะสนิทกันได้แล้วรึเปล่านะ!! ริเกลอาจจะมีเพื่อนเล่นคนใหม่ด้วย ตื่นเต้นจัง
“หึ”
ในตอนนั้นเอง มุมปากของริเกลก็ยกขึ้นเล็กน้อยดวงตาหรี่ลงและส่งเสียงที่เหมือนพ่นลมออกจากคอและจมูกใส่ ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังยิ้มเยาะอยู่เลย อะไรน่ะ ไม่เคยเห็นหน้าแบบนี้มาก่อนเลย
หรือว่าความจริงตลอดที่ผ่านมาริเกลแค่แสดงสีหน้าให้คนอื่นไม่เก่งกันนะ? ไม่แน่รอยยิ้มที่เหมือนกำลังเย้ยหยันอย่างผู้มีชัยนี่อาจจะเป็นผลมาจากการพยายามยิ้มก็ได้
อืม ๆ ถ้างั้นก็ดีแล้วแหละ ริเกลเองก็มีเพื่อนเยอะ ๆ ไว้ดีกว่าอยู่แล้ว จะได้ไม่เหงาด้วยล่ะนะ
และเป็นอีกครั้งที่ไม่รู้ทำไมพอเล่าเรื่องนี้ให้แฟร์ฟังเธอก็ขำก๊าก แถมยังบอกว่า เยี่ยมมากริเกล อีกต่างหาก อะไรของสองคนนี้กัน ไม่เห็นเข้าใจเลย…