รู้สึกว่า การบินไปทั้งที่ต้องถือของหนักเนี่ย…ยากกว่าที่คิดไว้เยอะเลย ฉันคิดแบบนั้นในขณะที่กำลังกระพือปีกโผบินไปบนท้องฟ้า โดยมีเคียร่านั่งคุมเส้นทางบนหลังเช่นเดิม เพิ่มเติมคือรถม้าที่ฉันถืออยู่…ฟังไม่ผิดหรอก ตอนนี้รถม้าที่ปกติจะใช้ม้าลากไปตามถนนนั้น ฉันกำลังถือมันไปพร้อมกับการบินบนท้องฟ้า
ภายในนั้นมีเจ้าชาย โอเรล ราชา และนายกเทศมนตรี ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้ฉันเองก็ไม่มั่นใจเหมือนกัน แต่เมื่อคืนเคียร่าอยู่ประชุมจนดึกถึงจะกลับมาหา แล้วก็ดันบอกว่ามีงานต่อไปที่ต้องทำคือการไปยัง เฟียร์กลาส
แถมยังไม่ใช่แค่การไปส่งข่าวหรืออะไรเท่านั้น แต่เป็นการพาคนไปส่งและดำเนินตามแผนการที่เคียร่าเสนอเอาไว้ เจาะภูเขานั่นเอง!
ใช่แล้วฟังไม่ผิดหรอก เจาะภูเขาเลยนะ ทำอุโมงค์น่ะ!!
‘จะไหวแน่เร้อ’
“หืม มีอะไรรึเปล่าริเกล?”
เปล่าหรอก ไม่มีอะไร ฉันส่ายหน้าให้เคียร่าว่าไม่มีอะไร ถึงแม้ว่าเมื่อกี้จะเผลอครวญครางทุ้มต่ำด้วยความไม่สบายใจก็เถอะ ถึงจะเห็นด้วยที่ถ้าประเทศเรามีเส้นทางออกอื่นเพิ่มคงเป็นเรื่องดี แต่ว่าถึงแม้ฉันจะไม่ค่อยเก่งสักเท่าไหร่แต่ก็รู้นะ ว่าการเจาะภูเขาเนี่ยมันยากแล้วก็อันตรายมาก
จะไม่เป็นไรแน่เหรอ?
ถึงจะสงสัยมากขนาดไหนแต่ท่าทีของเคียร่าก็ไม่ได้มีความกังวลแม้แต่น้อย เธอไม่รู้เหรอว่าการทำอะไรอย่างการเปลี่ยนแปลงภูมิหน้าดินมันเสี่ยงขนาดไหน? แต่เธอก็คงไม่ใช่คนประเภทที่จะมองข้ามเรื่องที่สังเกตได้ง่ายแบบนี้ไป หรือว่ามีแผน?
เดาไม่ถูกเลยแฮะ
พวกเราใช้เวลาเกือบจะเที่ยง เพราะว่าฉันต้องระวังไม่ให้คนที่นั่งอยู่ในรถม้าเหวี่ยงไปมามาก นั่นแหละนะ มันลำบากจ ริงที่ต้องพยายามบินให้นิ่งที่สุดนั่นแหละ ไม่งั้นคนด้านในได้เวียนหัวตายแน่
“พยายามได้ดีมากเลยนะ ริเกล”
‘อื้อ!’
หลังได้คำชมจากเคียร่าพร้อมการลูบหัว ความเหนื่อยเมื่อกี้ก็หายเป็นปลิดทิ้งในทันที! จากนั้นพวกราชาที่นั่งอยู่ในรถม้าก็ออกมาด้านนอก พร้อมทั้งสีหน้าที่ตกตะลึง
“ถึงจะเคยได้ยินอยู่ก็เถอะว่ารวดเร็ว…แต่ว่ามากขนาดนี้เลยงั้นเหรอ”
“แถมยังนั่งสบายกว่าการเดินทางบนพื้นอีก”
นั่นน่ะของมันแน่อยู่แล้ว! ฉันส่งเสียงร้องอย่างร่าเริงแล้วก้มหัวลงไปใกล้คนพวกนั้น ซึ่งแม้จะทำท่าในแข็งไม่รู้สึกอะไร แต่ก็เห็นได้ชัดเลยว่าตัวแข็งทื่อไป เป็นถึงราชวงศ์แท้ ๆ แต่ดันกลัวมังกรเนี่ยนะ ใช้ไม่ได้เลย
“ฮะ ๆ ที่นั่งสบายเป็นเพราะความเอาใจใส่ของริเกลน่ะค่ะ เธอบินนิ่งและช้ากว่าปกติ เพื่อให้คนที่อยู่ด้านในไม่ถูกเหวี่ยงไปเหวี่ยงมา”
“…สุดยอด”
ใช่ไหมล่ะ เพราะฉันเป็นคู่หูของเคียร่ายังไงล่ะ แค่นี้น่ะเล็กน้อย! ฉันเชิดหน้าขึ้นอีกครั้งเมื่อถูกชมแบบนั้น พร้อมทั้งเผลอสยายปีกกว้างเพราะความภูมิใจ จนทุกคนผงะกันไปหมดเพราะไม่เข้าใจว่าฉันทำอะไร
“เธอดีใจอยู่ค่ะ เด็กคนนี้ชอบการถูกชมมาแต่ไหนแต่ไร ลองจับดูไหมคะ”
เคียร่าพูดแนะนำแบบนั้นด้วยน้ำเสียงที่สดใส ถึงตอนนี้จะใส่ชุดอัศวินทั้งตัวเลยมองไม่เห็นสีหน้าก็เถอะ แต่คงกำลังยิ้มแป้นอยู่แหง ๆ เดี๋ยวนะ จะบอกให้คนอื่นมาจับฉันงั้นเหรอ!? ถึงเมื่อก่อนจะมีคนมาลูบหรือเล่นด้วยอยู่ก็เถอะ แต่ตั้งแต่เข้าเรียนมาก็แทบไม่โดนคนอื่นนอกจากเคียร่าแตะตัวเลย
แถมดูเหมือนพวกนั้นจะเต็มใจรับข้อเสนอด้วย เอ๊ะ แล้วความเห็นฉันล่ะ!? แต่ช่วยไม่ได้ ถ้าเป็นถึงขั้นราชาจะแย้งก็คงไม่ดี…ฉันจึงย่อตัวลงต่ำให้เข้ามาจับได้ง่ายขึ้น แล้วฝ่ามือของชายร่างโตอย่างราชาก็วางลงบนหัวของฉัน ก็ ไม่ได้แย่แหละ แต่ก็ไม่เท่าเคียร่าเหมือนกัน!
หลังจากราชาเริ่มเข้ามาลูบหัวของฉันแล้ว คนอื่นก็ลองเข้ามาทำความคุ้นเคยกับฉันเช่นกัน เหมือนว่าอาการกลัวและผวาต่อตัวฉันจะค่อย ๆ หายไปแล้วด้วย จนใช้เวลาอยู่พักหนึ่งก็มีคนใช้ของขุนนางเฟียร์กลาส ผู้เป็นเจ้าของสวนที่พวกเราลงจอดกันนั่นเอง
ประชุมกันอีกแล้ว! มาถึงก็ตรงดิ่งไปประชุมกันเฉยเลย! น่าเบื่ออ่า ถึงจะเข้าใจว่าต้องปรึกษาหารือกันก็เถอะ แต่ก็น่าเบื่ออ่า! สุดท้ายแล้วฉันก็ทำได้แค่อยู่นิ่ง ๆ รอเคียร่าออกมาเท่านั้น
ฉันได้รับอนุญาตให้นอนที่สวนของคฤหาสน์หลังนี้ได้ในฐานะมังกรของเคียร่า ที่มาส่งราชาควบคู่กับการเป็นองครักษ์ เธอออกมาหาฉันอีกครั้งในช่วงหัวค่ำหลังการประชุม แล้วบอกว่าคืนนี้จะมานอนกับฉัน…
‘จะบ้าเหรอ เดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก!’
ถึงจะน่าดีใจก็เถอะ แต่การที่จะมานอนกลางแจ้งแบบนี้มันก็เสี่ยงกับการโดนไข้จับอยู่ดี ถึงจะดีใจก็เหอะ เป็นเพราะส่งเสียงร้องคัดค้านไป แต่หางยังคงส่ายไปมาหรือเปล่านะ เคียร่าจึงทำเพียงหัวเราะด้วยความชอบใจ แล้วเตรียมที่นอนของตัวเองทันที เป็นแค่ผ้าปู หมอน และผ้าห่มอย่างง่ายเท่านั้น
เฮ้อ เอาเถอะ…ฉันนอนลงขดตัวให้แคบแล้วดึงตัวเคียร่าให้มาอยู่ตรงกลางลำตัว ก่อนจะขยับให้สร้อยคออุลมาอยู่ใกล้เธอด้วย ถ้าแบบนี้น่าจะอุ่นขึ้นอยู่นะ
“จริงด้วย นี่สิ่งที่ได้มาจากอุลสินะ…พรุ่งนี้เราก็จะไปหามังกรอัลละวากัน”
‘เอ๊ะ เป็นงั้นเหรอ’
การคุยเล่นก่อนนอนที่เคยเป็นกิจวัตรประจำวันกลับมาอีกครั้ง ฉันส่งเสียงด้วยความสงสัยและเอียงคอรอคำพูดต่อไปของเคียร่า และเคียร่าก็ลูบหัวฉันอย่างอ่อนโยนพลางคุยด้วยราวกับเพลงกล่อมหลับ
“การเจาะภูเขาต้องทำใกล้กับที่อยู่ของพวกมังกรอัลละวาน่ะ เพราะว่า…บริเวณที่มังกรอัลละวาอาศัยอยู่ จะไม่เกิดหินถล่ม”
‘เอ๊ะ’
เอ๋!!! มีอะไรแบบนั้นด้วยเหรอ ไม่สิ แบบนั้นน่ะเป็นไปได้ด้วยเรอะ?! ไม่ฝืนกฎธรรมชาติไม่หน่อยรึไงนั่น!? เอ๊ะ มันก็ตั้งแต่มีมังกรหรือเวทมนตร์แล้วนี่หว่า…สับสนอะไรเนี่ยตัวฉัน นี่มันคือกฎธรรมชาติของโลกนี้นะ ไม่ใช่โลกเก่าซะหน่อย…
“ฮะ ๆ ทำหน้าตกใจอะไรขนาดนั้นกัน มีแค่เธอคนเดียวเลยนะ ที่ตกใจกับเรื่องนี้มากที่สุด อย่างกับว่า…”
เคียร่าที่ดูท่าจะเหนื่อยมากแล้วพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาลงเรื่อย ๆ ก่อนจะหลับไปทั้งยังไม่จบประโยค โธ่ นี่ฝืนตัวเองอีกแล้วใช่ไหมเนี่ย ต้องพักผ่อนบ้างนะ
ฉันเอาปลายจมูกเข้าไปชนแก้มของเธอเบา ๆ ก่อนจะดึงผ้าห่มให้ขึ้นมาคลุมตัวเธออย่างดี ค่ำคืนที่เงียบสงบดำเนินต่อไปอย่างเชื่องช้า เพราะมีข้อมูลแบบนั้นสินะเคียร่าถึงได้มั่นใจมาก แต่ดูจากสภาพก็คงต้องเจรจากับพวกมังกรอัลละวาอีกแหง
นั่นอาจจะต้องพึ่งพาความสามารถของฉันก็ได้ แต่ว่าไม่มีปัญหา! ถ้าเป็นความต้องการของเคียร่า ฉันทำได้ทุกอย่างอยู่แล้ว! แม้จะดูแปลกแต่ฉันก็ตั้งมั่นพร้อมทั้งเชิดคออยู่คนเดียว โอ๊ะ ไม่ได้สิ ถ้าขยับตัวเยอะไปเดี๋ยวจะไปเผลอทำให้เคียร่าตื่นเอา
เพราะพวกเราเป็นคู่หูที่จะต่อสู้และใช้ชีวิตเคียงบ่าเคียงไหล่กัน ฉันถึงได้ไม่สงสัย ไม่สิ เลือกที่จะมองข้ามความสงสัยในใจของตัวเองมากกว่า ‘คู่หู’ ควรเป็นสิ่งที่ไว้ใจกันสิ ดังนั้นจึงไม่ควรสงสัย ฉันคิดแบบนั้น
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ ว่าความคิดที่ดูฉลาดเกินวัยของเธอนั้น มันมากขึ้นจนแอบสงสัย เรื่องหลายอย่างที่ยากสำหรับคนยุคนี้ที่จะคิดได้ แม้จะเก่งแค่ไหนความคิดบางอย่างของเคียร่าก็ดูจะเกินไปหน่อย อย่างกับว่า…
เธอเองก็มาจากอีกโลกเช่นกัน
———————— ———————
พวกเราดำเนินตามแผนที่วางไว้เมื่อคืน โดยตรงมายังรังของมังกรอัลละวาตั้งแต่เช้าตรู่…สุดยอดไปเลยนะ บรรยากาศแบบนี้ ไม่เหมาะกับยามเช้าที่แสนสดใสสุด ๆ
ตรงหน้าของฉันคือมังกรอัลละวา ที่มีแร่บนตัวเป็นสีแดงอมชมพูตัวหนึ่ง และรอบตัวพวกเราก็มีมังกรอัลละวาตัวอื่นอีกหลายสิบตัว ที่มีสีแร่บนตัวแตกต่างกันเต็มไปหมด จะว่าเป็นภาพสุดสวยงาม ที่มีแร่และคริสทัลสุดคัลเลอร์ฟูลรายล้อมก็เถอะ แต่ว่า
“กรร…”
มังกรทุกตัวพร้อมใจกันส่งเสียงขู่ออกมาจากลำคอด้วยความไม่พอใจ แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่มีวี่แววจะโจมตี เหมือนแค่ระวังตัวกันอยู่ ถึงแม้ว่าเราจะมากันไม่เยอะเพื่อแสดงให้เห็นว่าไม่มีเจตนาร้ายก็เถอะ
แต่เพราะว่ามีฉันด้วยรึเปล่านะ ถึงได้ระวังกันเป็นพิเศษ…
“คือว่า พวกเราต้องการจะเปิดเส้นทางจากตรงนี้ไปถึงทะเล และอยากพึ่งความสามารถของพวกท่านเพื่อไม่ให้ภูเขาถล่ม…ขอสัญญาว่านอกจากสร้างเส้นทางและขนส่งแล้ว จะไม่รบกวนหรือทำร้ายพวกท่านแน่นอน”
คนที่ทำหน้าที่เจรจาอยู่นั่นคือราชา ก็นะ ให้ตนที่มีอำนาจเด็ดขาดและสูงสุดในตอนนี้มายื่นข้อเสนอจะดีที่สุด จะได้รู้เลยว่าควรหรือไม่ควรให้อะไรบ้าง…แม้ว่าตรงหน้าก็ยังส่งเสียงขู่กันอยู่ก็เถอะ
‘นี่ พวกเขาขอใช้เส้นทางน่ะ บอกว่าจะไม่ทำอะไรที่อันตราย หรือเป็นการรบกวนมากเกินไป…’
‘ถ้าเรื่องนั้นน่ะฟังออกอยู่แล้ว!!’
“กรร!!”
ฉันที่คิดว่าเป็นเพราะพวกเขาไม่เข้าใจสิ่งที่ราชาพูดรึเปล่า จึงอธิบายเพิ่มไป แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือการตะวาดของเขา ซึ่งกลายเป็นการแผดเสียงคำรามอย่างไม่พอใจ
‘การที่พวกมนุษย์จะใช้เส้นทางนี้น่ะ ตอนที่หัวหน้ายังอยู่เคยพูดเอาไว้เหมือนกัน ว่าสักวันมันจะมาถึง แต่ว่า!!’
แล้วในตอนนั้นฉันก็ได้รู้ ว่าปลายสายตาของเขาไม่สิ มังกรอัลละวาทั้งฝูงจ้องมาที่เดียวกันหมด นั่นก็คือฉัน…ที่สร้อยคอของฉันซึ่งเป็นเหมือนกับหัวใจของอุล
พวกเคียร่าตั้งตัวเตรียมรับมือกับทุกสถานการณ์เอาไว้ พร้อมทั้งเอาตัวบังพวกราชาเพื่อไม่ให้ได้รับอันตราย แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่ถอยกัน เพราะว่าพวกมังกรอัลละวายังคงไม่มีวี่แววจะโจมตีเช่นเดิม
‘ลูกของมังกรพิภพ ผู้ที่อยู่สูงสุดเหนือมังกรทั้งปวง หากมังกรเช่นนั้นโผล่มาพร้อมกับมนุษย์ จงให้ความช่วยเหลือ…นั่นคือสิ่งที่หัวหน้าเคยฝากฝังไว้ ก่อนจะถึงวันสิ้นลม และเป็นดั่งคำมอบหมายที่ให้กับฉัน ผู้เป็นจ่าฝูงคนปัจจุบัน’
นั่นเหมือนเป็นการป่าวประกาศอย่างชัดเจนเลย ว่าเขาที่อยู่ตรงนี้นั้นใหญ่สุดในหมู่อัลละวา แม้ว่าพวกเคียร่าจะไม่รู้ว่าพวกเราพูดอะไรกัน แต่ก็กระซิบกระซาบกันว่าจะปล่อยให้ฉันเป็นคนเจรจา…นั่นสินะ ตรงนี้คงต้องเป็นหน้าที่ของฉันแล้ว
จากที่เขาพูดเหมือนว่าอุลเคยฝากฝังไว้เรื่องของฉันสินะ
‘เพราะงั้น…’ พวกเขาก็น่าจะยอมรับแต่โดยดีสิ แต่เหมือนว่าจะไม่ง่ายแบบนั้น
‘เพราะแบบนั้นถึงยอมรับไม่ได้!’
‘ตึง!!’
เขาคำรามออกมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงดุดัน พร้อมทั้งกระทืบเท้าเกิดฝุ่นฟุ้งกระจายไปทั่ว มังกรตัวอื่นเองก็ส่งเสียงออกมาเช่นกันดังสนั่น…
‘หมายความว่าไงกัน’
‘หัวหน้าน่ะ ใจอ่อนกับแกเกินไปแล้ว ถึงจะเป็นลูกของมังกรพิภพ ก็ใช่ว่าจะน่าเกรงขามเหมือนท่านมังกรพิภพซะหน่อย ดังนั้นฉันไม่ใจอ่อนเหมือนหัวหน้า แล้วยอมรับแกได้ง่าย ๆ หรอก และเพราะมนุษย์พวกนี้มากับแก ก็ต้องให้พวกเรายอมรับก่อนถึงจะยอมให้ความร่วมมือ’
กลายเป็นเรื่องยุ่งยากซะแล้วสิ ถึงจะพอเข้าใจก็เถอะ…ในสายตาของพวกเขาก็คงเห็นฉันเป็นเหมือนเด็กเส้น ที่เพราะมีพ่อเป็นคนใหญ่คนโต ถึงได้ถูกช่วยเหลือและยอมรับอย่างง่ายดายจากบารมีของเขา…
ไม่สิ ถ้าคิดในอีกแง่หนึ่งก็ดีเหมือนกัน เพราะฉันเองก็ไม่ได้ชอบนักหรอก…ที่โดนมองว่าพึ่งพาความที่พ่อเป็นมังกรพิภพ
ฉันใช้หางโอบตัวของเคียร่าเอาไว้ เป็นการบอกว่าไม่มีปัญหาอะไรพิเศษ เหมือนกับเป็นภาษากายที่สื่อว่า ‘ฉันจัดการเอง’ นั่นแหละ และแน่นอนว่าก็มีเพียงแค่เคียร่าที่เข้าใจ บรรยากาศจึงผ่อนลงกว่าเดิมเยอะมาก
ฉันสูดลมหายใจลึก และจ้องไปที่ดวงตาของจ่าฝูงคนปัจจุบันตรงหน้า
‘เอาสิ อยากให้ฉันทำอะไรล่ะ’
เสียงขู่รอบตัวจางหายไปอย่างรวดเร็ว เมื่อฉันตอบกลับไปอย่างหนักแน่นและไม่หวั่นไหว ราวกับว่าพร้อมรับกับการทดสอบได้ทุกอย่าง แล้วสายตาก็หันไปหาเขาตรงหน้าทันที
ซึ่งเมื่อถูกฉันจ้องกลับไปที่ดวงตาก็ยังคงเชิดหน้าด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม ก่อนจะบอกสิ่งที่อยากให้ทำมาอย่างเรียบง่าย
‘มาสู้กับฉัน ด้วยกฎของพวกเราซะ’
เป็นวิธียอมรับที่เรียบง่ายและคลาสสิคสมกับเป็นสิ่งมีชีวิตตามธรรมชาติ ทั้งที่อาจจะฟังดูป่าเถื่อนไปหน่อยแต่ใจของฉันก็สั่นไหวด้วยความตื่นเต้น และคำตอบมันก็ชัดเจนอยู่แล้ว
‘ได้ ฉันยอมรับคำท้า’