สัมผัสที่หยาบและร่วนที่เมื่อใช้เท้าเขี่ยไปมาก็ทำให้รู้สึกดี แต่ว่าถ้าตัวเปียกละก็จะเปรอะเต็มไปหมดทั้งตัวจนรู้สึกแย่ กลิ่นเค็ม ๆ ที่โชยมาตามลมก็เป็นสิ่งที่รู้สึกน่าคิดถึงอย่างประหลาด
ใช่แล้ว ตรงหน้าของฉันคือทะเลนั่นเอง
ทั้งฉันและเคียร่านั้นได้แต่ยืนมองภาพตรงหน้าด้วยดวงตาเปล่งประกาย เราไม่เหมือนพวกเจ้าชายที่มีโอกาสได้ออกไปนอกประเทศบ้าง แต่ชาวบ้านทั่วไปในฟาเรเรีย ถ้าไม่ได้เป็นพ่อค้าหรือนักผจญภัยคงไม่มีโอกาสได้ออกนอกประเทศนัก
และพวกเราก็คือหนึ่งในนั้น
“จริงสิ พวกเคียร่ากับริเกลไม่เคยเห็นทะเลมาก่อนสินะ”
“อะ- ชะ- ใช่…พึ่งเคยเห็นครั้งแรกเลยล่ะ”
เมื่อโดนถามแบบนั้นไม่รู้ทำไมเคียร่าจึงตอบกลับไปอย่างลนลาน ราวกับกำลังปิดบังบางอย่างอยู่ มีอะไรรึเปล่านะ? แต่ฉันเองก็พยักหน้าตอบกลับไป แม้ว่าที่จริงจะเคยเห็นมาก่อนก็เถอะ แต่สถานการณ์แบบนี้เนียน ๆ ไปก่อนดีกว่าเนอะ
บรรยากาศเงียบสงัดต่างกับเมื่อครู่ลิบลับ และฉัน ก็เป็นคนที่ก้าวเท้าออกไปก่อนคนแรก
“ริเกล?”
ถึงแม้ว่านี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้เห็นทะเลจริง ๆ ก็เถอะ แต่ว่า…ทุกครั้งที่ฉันวางฝ่าเท้ากระทบเข้ากับผืนทราย ก็จะออกแรงและส่ายไปมาเล็กน้อย เพื่อให้ได้สัมผัสกับพื้นมากขึ้น เป็นสัมผัส…ที่ไม่ได้รู้สึกมานานมากแล้ว
พอเดินไปจนถึงริมหาดที่ทรายเป็นสีเทาน้ำตาลเพราะเปียกน้ำ สัมผัสบนเท้าก็เปลี่ยนไปอีกแบบหนึ่ง
‘ซ่า’
และถึงแม้จะรู้อยู่แล้วแต่ก็เผลอยกเท้าขึ้นเมื่อคลื่นน้ำซัดขึ้นมาบนหาด ก่อนที่จะยืนนิ่งให้คลื่นรอบต่อไปกระทบเข้ากับเท้าของตัวเอง เย็นจังนะ…ใต้ตาเองก็รู้สึกเย็นขึ้นมาเหมือนกัน
เอ๋ นี่ฉันกำลังร้องไห้อยู่เหรอ?
ความรู้สึกหลากหลายอย่างก่อขึ้นมาในใจฉัน สถานที่ที่ฉันเคยมีชีวิตอยู่นั้นเป็นเกาะขนาดใหญ่ ทำให้ไปทะเลได้อย่างง่ายดาย และครั้งสุดท้ายที่ฉันได้มีชีวิตอยู่…ก็เป็นก่อนปิดเทอม ซึ่งวางแผนกับกลุ่มเพื่อนไว้ว่าจะไปทะเลด้วยกัน
ทุกอย่างในชีวิตก่อนคิดว่าจะไม่คิดหรือนึกถึงแล้วแท้ ๆ แต่ว่าในครั้งนี้มัน…อดไม่ได้จริง ๆ
“สวยจังเลยเนอะ ริเกล”
ในตอนนั้นเอง เคียร่าก็เดินมาอยู่ด้านข้างตัวของฉัน แล้วใช้ฝ่ามือแตะเข้าที่ขาของฉัน เธอเองก็น้ำตาไหลเหมือนกัน เพราะว่าประทับใจเหรอ? นั่นสินะ…ทะเลมันสวยมากขนาดนี้ ยิ่งสำหรับเคียร่าแล้วคงงดงามเกินคำบรรยาย แถมเพราะเราอยู่ในถ้ำกันมาทั้งวันตอนนี้จึงเป็นเวลาที่พระอาทิตย์ตกดิน
แสงสีส้มจากพระอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้า ตกกระทบเข้ากับผืนทะเลอันกว้างใหญ่ จนเปล่งประกายระยิบระยับ นั่นคือภาพที่พวกเราทั้งคู่ยืนมองอยู่เคียงข้างกัน
“จะเล่นน้ำหน่อยไหมล่ะ? ถ้าแค่นิดเดียวอาจจะได้ก็ได้นะ”
‘…’
ว่าแล้วเคียร่าก็เหลือบมองกลับไปด้านหลัง ซึ่งมีพวกราชายืนมองอยู่ เขาจึงคลี่ยิ้มบางให้อย่างอ่อนโยน ก่อนจะพยักหน้าให้ คงเพราะตอนนี้อยู่กับแค่ไม่กี่คนละนะ เลยค่อนข้างส่วนตัวกว่า
“ถ้างั้นฉันก็…ถอดชุดเกราะสักหน่อยแล้วกัน”
“เอ๋ ตรงนี้เนี่ยนะ!”
เมื่อเคียร่าพูดแบบนั้น แล้วเริ่มจับหมวกบนหัวเพื่อถอดชุดเกราะหนาเตอะของอัศวินออก สองหนุ่มที่เป็นเพื่อนสมัยเด็กกันอย่าง เจ้าชายและโอเรลก็พูดออกมาพร้อมกันอย่างตื่นตระหนก ฉันจึงแยกเขี้ยวออกมาแล้วเดินเอาตัวมาบังเคียร่าเอาไว้แล้วจ้องไปที่ทั้งคู่
‘อย่ามาคิดอะไรแปลก ๆ กับเคียร่าเชียว!!’
แน่นอนว่าถึงจะสื่อคำพูดออกไปไม่ได้ แต่ว่าเสียงขู่ที่ส่งไปถึงนั้นคงสื่อสิ่งที่ฉันต้องการได้ดีกว่า จนทั้งคู่ที่เมื่อกี้ยังหน้าแดงอยู่ก็ตัวแข็งทื่อในทันที ถึงทั้งคู่ที่เคยจีบเคียร่าเมื่อตอนยังเรียนอยู่จะตัดใจไปแล้ว แต่ถ้าเจอผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าพูดแบบนี้ก็คงมีหวั่นไหวบ้างแหละนะ ให้ตายเถอะเคียร่า ระวังตัวให้มากกว่านี้หน่อยเถอะ
แต่ว่าในตอนนั้นทั้งเคียร่าและราชาก็ได้แต่หัวเราะร่วนอย่างชอบใจ
“ฮะ ๆ สนิทกันดีจังเลยนะ”
ไม่!! ไม่เลยสักนิด! ว่าแล้วเคียร่าก็ถอดชุดเกราะด้านนอกออกเหลือเพียงชุดที่ใส่อยู่ด้านใน ซึ่งก็ยังคงมิดชิดและหนาแน่นอยู่ไม่เปลี่ยน แต่แบบนี้ก็คงดีกว่าชุดเกราะเต็มยศล่ะนะ
ก็นะ ถึงจะไม่ได้โป๊หรืออะไรก็เถอะ…แต่อยากให้ช่วยอายมากกว่านี้จังนะ สุดท้ายก็ได้แต่ถอนหายใจให้กับความไร้เดียงสาของเคียร่า ก่อนจะก้มตัวลงให้เจ้าตัวโดดขึ้นมาบนหลังก่อนจะเริ่มจับที่บังเหียนเพื่อคุมให้ฉันบินขึ้นฟ้า ซึ่งตอนนี้ก็รู้สึกสบายตัวกว่าปกติมากเพราะว่านอกจากอานก็ไม่ได้ใส่ชุดเกราะเอาไว้ ตั้งแต่ก่อนสู้กับรูบี้แล้วล่ะนะ
ปีกของฉันที่สยายออกและกระพือขึ้นนั้น ส่งผลให้ทรายและน้ำรอบตัวกระจายฟุ้งไปทั่ว ถึงเมื่อกี้จะเผลอร้องไห้ออกมาเพราะว่านึกถึงโลกก่อนก็เถอะ แต่นั่นก็ไม่ใช่ทั้งหมดและนะ อีกความรู้สึกหนึ่งที่เอ่อล้นออกมาจากฉัน…ไม่สิ คงออกมาจากเคียร่าด้วยเหมือนกัน
นั่นก็คือความตื่นเต้นนั่นเอง ทะเล…พวกเราอยากจะมากันตั้งแต่ยังเด็กแล้วสินะ ฉันคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย พร้อมทั้งบินไปตามที่เคียร่าคุม โดยที่บินอยู่บนเหนือผิวน้ำไม่มาก จนนิ้วเท้ากระทบเข้ากับน้ำทะเลเย็น ๆ เป็นพัก ๆ รู้สึกดีจังแฮะ เหมือนเวลาเรานั่งอยู่บนเรือแล้วเอามือลงไปจุ่มน้ำเลยแฮะ
“ฮะ ๆ น้ำเย็นจังเลยเนอะริเกล ไหน ๆ ก็ได้บินแบบอิสระทั้งที บินตามที่เธออยากเลยสิ ฉันจะไม่ควบคุมทิศทางเอง”
‘ได้เหรอ!’
ฉันร้องออกไปด้วยความดีใจแบบนั้น พวกเราไม่ได้บินเล่นแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ ไม่สิ เคยรึเปล่าหว่า? น่าจะเคยเมื่อตอนที่ฉันยังตัวไม่เด่นมากล่ะมั้ง
แต่ทันทีที่ได้ยินว่าให้บินได้อย่างอิสระโดยมีเคียร่าจับบังเหียนแน่นเพื่อไม่ให้หล่นจากหลัง ฉันก็กระพือปีกอีกครั้งเพื่อให้สูงขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย ก่อนจะกางออกสุดเพื่อร่อนไปบนอากาศ
จากนั้นก็เอียงตัวไปทางซ้ายเพื่อเลี้ยวกลับไปทางชายฝั่ง จนปีกข้างที่เบี่ยงตัวนั้นลงไปในน้ำเกินครึ่ง รู้สึกดีจัง! ฉันร้องออกมาด้วยความยินดีทันทีเมื่อปีกได้สัมผัสกับน้ำ พร้อมกันนั้นก็ได้ยินเสียงหัวเราะของเคียร่าเช่นกัน เพราะว่าละอองน้ำคงจะสาดกระเซ็นไปที่เธอนั่นเอง
และเมื่อใกล้จะถึงชายฝั่ง ฉันก็ดึงตัวเองให้กลับมาบินตามปกติ แล้วกระพือปีกอีกครั้งเปลี่ยนให้ตัวเองบินขึ้นบนฟ้า นั่นทำให้ทรายเปียก ๆ และน้ำทะเลปลิวเข้าไปชนเข้ากับหน้าของรูบี้ที่เดินมาดูใกล้ ๆ ก่อนที่เขาจะสะบัดคราบเปื้อนเหล่านั้นออก
ในขณะเดียวกันฉันก็พาตัวเองขึ้นบนฟ้าได้ระยะหนึ่ง จึงเบนตัวไปด้านหลังเพื่อตีลังกาบนอากาศ โดยที่มั่นใจดีว่าเคียร่าไม่มีทางร่วงลงจากหลังฉัน แล้วในตอนนั้นเอง สายตาก็จับจ้องไปที่น้ำทะเล
‘พร้อมไหมเคียร่า’
“หืม? เอาสิ ตามที่เธออยากเลย”
พวกเราส่งสัญญาณให้กันเล็กน้อย แม้คำตอบจะไปคนละทางแต่ว่าเธอจะต้องเข้าใจสิ่งที่ฉันอยากให้ทำแน่ เคียร่าอ้าปากกว้างเพื่อสูดลมเข้าไปลึก เพื่อเก็บอากาศให้เต็มปอดก่อนจะปิดตาแน่นและกลั้นหายใจ นั่นก็เพราะว่า…
‘ตูม!’
ฉันพุ่งตัวดิ่งลงไปในทะเลที่กว้างใหญ่อย่างแรง จนเกิดเสียงของหนักตกลงทะเลอย่างรุนแรง พร้อมทั้งน้ำที่พุ่งขึ้นฟ้าจากแรงกระแทก เราทั้งคู่กำลังแหวกว่ายลงไปในมหาสมุทรนั่นเอง
มันเป็นความรู้สึกแปลกประหลาดทุกครั้งที่ฉันอยู่ในน้ำ ดวงตาที่เปิดอยู่ควรจะรู้สึกเคืองถ้ามีน้ำเข้าตา แต่ฉันรู้สึกได้เลยว่าลูกตาของฉันไม่ได้โดนน้ำพวกนั้นอยู่ ราวกับว่ามีบางอย่างมาห่อหุ้มเอาไว้ ซึ่งคงทำเองไปตามสัญชาตญาณ ทั้งยังมองเห็นทุกอย่างรอบตัวได้อย่างชัดเจน
ปีกเองก็หุบกลับเข้ามาแนบลำตัวโดยไม่กางออก ขาเองก็ปล่อยตัวให้ไหลลู่ไปตามกระแสน้ำที่ตัวเองสวนผ่าน โดยใช้เพียงลำตัวขยับให้ตัวเองไหลว่ายไปตามทิศทางที่ต้องการ และหางที่ใช้ในการเคลื่อนที่
เมื่อพวกเราอยู่ใต้น้ำไปได้เพียงครู่หนึ่ง ฉันก็ลดความเร็วลงเพื่อไม่ให้เกิดแรงดันเคียร่ามากเกินไป อะ รอบต่อไปฉันควรร่ายเวทกันไว้ดีกว่ามั้งเนี่ย? ลืมไปเลย…
และเมื่อลดความเร็วลงแล้ว เคียร่าที่อยู่บนหลังฉันก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้น แล้วก็ต้องเปิดตากว้างด้วยความตกตะลึง จนเกือบจะเผลออ้าปากออกมา อันตรายจริงแฮะ คราวหลังฉันควรร่ายเวทกันเลยดีกว่า
แต่ก็…เข้าใจแหละนะ เพราะฉันเองก็คงทำสีหน้าตื่นเต้นไม่ต่างกัน
‘สวยมากเลย…’
ไม่ไกลจากพวกเราเกินระยะสายตามากนัก ตรงนั้นมีแนวปะการังขนาดใหญ่ที่แผ่ขยายกว้างไปไกลมากอยู่ ซึ่งแม้จะอยู่ห่างออกไปแต่ก็สามารถเห็นสีสันของปะการังได้คร่าว ๆ เพราะว่าแสงจากพระอาทิตย์ใกล้หมดไปแล้ว รอบตัวของพวกเรามีปลาน้อยใหญ่ว่ายผ่านไปมาอยู่บ้างเล็กน้อย แต่ว่าบริเวณรอบแนวปะการังนั้นเต็มไปด้วยปลาหลากหลายชนิดและสีสันว่ายสวนกันไป และในนั้นก็คงมีบางชนิดที่เป็นมังกรแฝงอยู่
และอีกอย่างที่น่าตกตะลึง…
‘มีเมือง…อยู่ในปะการังล่ะ’
ใช่แล้ว ในแนวปะการังขนาดใหญ่นั้นปะการังบางชนิด มีลักษณะกลมพองใหญ่ขึ้นเหมือนฟองน้ำที่มีอากาศอยู่ด้านใน และด้านในนั้นอีกทีก็มีเมืองของคนอยู่ มีมนุษย์อาศัยอยู่ในปะการังขนาดใหญ่…
“อุบ-”
ในตอนนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงแปลก ๆ ดังมาจากเคียร่า พร้อมทั้งมือของเธอที่ตบหลังฉันไม่หยุด อ๊ะ จริงด้วย! ต้องรีบขึ้นเหนือผิวน้ำก่อน!
หลังนึกขึ้นได้ว่าเคียร่ากลั้นหายใจได้ไม่นานเท่าฉัน ก็เบี่ยงตัวเปลี่ยนทิศทางจากที่ว่ายอยู่ในน้ำ ให้เงยหน้าขึ้นไปด้านบน ก่อนจะดันตัวออกแรงให้พุ่งทะยานขึ้นฟ้าด้วยความเร็วสูงสุด จนถึงผิวน้ำที่อยู่ด้านบน
‘ซ่า!’
“อ้า!!”
เสียงของน้ำที่โดนแรงกระแทกดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมทั้งเสียงของเคียร่าที่รีบหายใจอย่างรวดเร็ว โดยที่ฉันในตอนนี้กระโดดลอยขึ้นอากาศเป็นแนวดิ่งจากการดันตัวเองในน้ำ พร้อมกันนั้นก็หมุนตัวไปมาเพราะยังคงติดท่าทางที่ใช้เคลื่อนไหวในน้ำอยู่
แต่ก่อนที่จะหยุดลอยขึ้นฟ้าแล้วตกกลับลงไปในทะเล ฉันก็สยายปีกออกมากว้างเพื่อพยุงให้ตัวเองบินอยู่บนฟ้า ส่งผลให้น้ำจากปีกสาดกระจายไปทั่ว
“สนุกไหมริเกล?”
‘อื้อ! สนุกมากเลย! เคียร่าล่ะ’
“เหรอ ฉันเองก็สนุกมากเลยล่ะ ฮ่า ๆ”
แล้วเราทั้งคู่ก็หัวเราะกันอยู่แบบนั้นสองคนโดยที่ฉันยังคงโบยบินไปบนอากาศ เป็นการบินเล่นในรอบหลายปี ที่สนุกมากจริง ๆ
ก่อนที่จะต้องกลับไปเตรียมรับมือกับศึกที่ใกล้เข้ามา
—————————- ————————–
“ขอบคุณมากเลยค่ะ ที่อนุญาตเมื่อครู่”
ฉันโค้งตัวให้กับราชาเพื่อขอบคุณสำหรับวันนี้ที่อนุญาตให้บินเล่นกับริเกล ซึ่งเขาที่กำลังจะเดินกลับไปยังห้องรับรองในบ้านของขุนนางซึ่งพวกเรามาอาศัยช่วงนี้ก็หันมามองด้วยรอยยิ้ม
“ไม่เป็นไร นาน ๆ ทีพวกเธอก็ผ่อนคลายกันบ้างเถอะ”
ราชาของประเทศฟาเรเรีย เป็นคนที่ให้ความรู้สึกว่าสมกับเป็นพ่อของเจ้าชายจริง ๆ เพราะว่าเขานั้นมีนิสัยเรียบง่ายและไม่ชอบพิธีรีตองมากนัก แต่ถ้าจะให้พูดถึงสิ่งที่ต่างจากเจ้าชาย ทั้งยังเป็นข้อเสียอย่างใหญ่หลวงของราชาผู้เต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตาแบบเขานั่นก็คือ
ขี้ขลาดนั่นเอง
“แต่ว่าดีจังเลยนะ ที่การเจาะภูเขาเป็นไปอย่างราบรื่น ถ้าเรื่องนี้มากพอให้พวกฟัวกราถอยไปโดยไม่ต้องสู้ก็คงดีเนอะ”
“เรื่องนั้น…”
ฉันพูดแค่นั้น แล้วฝืนยิ้มออกมาด้วยความลำบากใจ ใช่แล้วแม้ว่าจะมาถึงขั้นนี้ ราชาที่หวาดกลัวทุกอย่างแบบเขาก็ยังคงคิดว่าจะมีหนทางเลี่ยงสงครามได้ ทั้งที่ควรจะใส่ใจกับวิธีหาทางชนะมากกว่าแท้ ๆ
แต่เอาเถอะ…ฉันทำได้แค่ฝากเรื่องนี้ไว้ให้เจ้าชายคิด เพราะถ้ากับเพื่อนอย่างเจ้าชายคงคุยได้ง่ายกว่าละนะ แถมถ้าในอนาคตเขาช่วยเปลี่ยนความคิดของราชาได้ก็คงดี อา พรุ่งนี้คงงานวุ่นอีกแล้วสินะ ที่เราเห็นเมื่อกี้คงเป็นเมืองบาดาล งั้นก็แสดงว่าพวกเราเจาะออกมาใกล้กับเมืองบาดาลมากเลยสิ จะเป็นเรื่องดีหรือไม่ดีกันนะ? เดี๋ยวค่อยคิดก็แล้วกัน
หลังจากนั้นฉันก็แยกกันกับราชาแล้วเดินออกมายังด้านนอก ซึ่งริเกลกำลังนอนขดตัวหลับอย่างสบายใจอยู่ในสวน วันนี้ทั้งต้องสู้หนักขนาดนั้นแถมยังบินเล่นซะเยอะอีก คงเหนื่อยสินะ
ว่าแล้วฉันก็ยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยนก่อนจะนั่งลงข้างตัวเธอ แล้วใช้มือลูบไปที่ท้องอย่างแผ่วเบา
“กรร…”
นั่นทำให้มีเสียงครวญครางอย่างสบายใจดังออกมาจากลำคอ ยังน่ารักไม่เปลี่ยนเลยนะ มองกี่ทีก็รู้สึกสบายใจจริง ๆ
ว่าแล้วฉันก็นอนพิงไปกับตัวริเกลแล้วเงยหน้าขึ้นมองบนฟ้า ทะเล…สินะ ทั้งที่ไม่ได้มีความทรงจำอะไรในชาติก่อนเป็นพิเศษแท้ ๆ แต่พอได้เห็นกลับ…รู้สึกคิดถึงขึ้นมาจนน้ำตาไหลเลย
นานเท่าไหร่แล้วนะ ที่ฉันไม่ได้ไปทะเล…แต่เรื่องแบบนั้น ในตอนนี้จะเป็นยังไงก็ช่างแล้วล่ะ ในชีวิตนี้ฉันเองก็ จะเล่นทะเลให้หนำใจ…แทนส่วนของชีวิตก่อนที่เอาแต่ทำงาน แล้วก็…
แทนในส่วนของพี่สาวที่ด่วนจากไปด้วย เธอเองก็คงต้องการให้ฉันทำแบบนั้นมากกว่าล่ะมั้ง