“กรร!!”
ฉันส่งเสียงร้องคำรามออกมาในขณะที่บินอยู่เหนือพื้น…ก่อนที่จะบินทะลุผ่านฟองน้ำออกมาสู่ทะเลด้านนอก อุก รู้สึกได้เลยว่าแรงดันน้ำมันปะทะเข้ากับตัว แต่ด้วยความที่แตกตื่นอยู่ขาทั้ง 4 ข้างของฉันจึงตีไปมา และปีกก็ยังกางกระพือแม้จะอยู่ในน้ำ ทำให้เกิดแรงโต้กับกระแสน้ำทำให้ถ่วงการว่ายขึ้นมา
อึดอัด…ใต้น้ำมันอึดอัดจังวุ้ย!! ในขณะที่ฉันกำลังบิน (?) อยู่ในน้ำอย่างทุลักทุเลอยู่นั้น ก็เห็นทหารหลายคนว่ายตามมา ซึ่งเพราะฉันว่ายไม่เป็นท่าความเร็วจึงตกและโดนตามทันได้อย่างง่ายดาย
ทหารพวกนั้นพยายามส่งสัญญาณให้เจ้าหญิงปล่อยมือจากบังเหียนของฉัน พลางพยายามเข้ามาใกล้ แต่ว่า…ไอ้เด็กเวรนี่กลับส่ายหน้าหนี ทั้งยังออกแรงกำสายที่คุมฉัน แล้วดึงสุดแรงอีกต่างหาก
ยะ- อย่านะ แบบนี้มัน!!
“กรรร!!”
ฉันส่งเสียงคำรามออกมาแม้ว่าจะอยู่ใต้น้ำ แล้วตีปีกทวนน้ำอีกครั้งจนเกิดคลื่นรอบตัว และพุ่งตัวขึ้นไปเหนือน้ำ และบินขึ้นบนฟ้าไปทั้งแบบนั้นเลย ใช่แล้ว…ถ้าคุมแบบนั้นหมายความว่าให้เพิ่มระดับการบินขึ้นเป็นแนวดิ่ง
สภาพของพวกเราตอนนี้จึงเป็นว่า มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งใส่ชุดคล้ายกิโมโนนั่งอยู่บนอานหลังตัวฉัน และแผ่นบางใกล้ปากก็มีหางของมังกรตัวเล็กเกาะอยู่ โดยที่หัวนั้นห้อยต่องแต่งลงไปทางพื้นตามแรงโน้มถ่วง
“อุก แรงดันเยอะมาก! อดทนไว้นะมิโอะ!”
‘อื้อ มิโอะจะทน!’
ขอล่ะ ปล่อยทีเหอะ อย่ามาทนเล้ย ฉันที่ยังรู้สึกว่าคุมสติตัวเองได้ไม่เต็มร้อยนั้น บินทะยานขึ้นสูงไปบนท้องฟ้าไม่หยุด จนทั้งคู่ที่ติดมาด้วยนั้นเต็มไปด้วยสีหน้าทรมานเพราะว่าลมที่กระแทกเข้าหน้า ฉันไม่ได้ร่ายเวทกันเอาไว้แบบทุกทีที่ทำกับเคียร่านั่นเอง
และผ่านไปครู่หนึ่ง มือของเด็กน้อยก็ถึงขีดจำกัด
“อะ”
‘อ๊ะ!’
เด็กคนนั้นบนหลังฉันเผลอปล่อยมือจากบังเหียนทำให้ร่างหล่นลงไปยังด้านล่าง และมลูกมังกรที่เห็นแบบนั้นจึงปล่อยหางที่เกาะเอาไว้ทันที
ละ- หลุดแล้ว!!
“นั่น! เจ้าหญิงกำลังร่วงลงมา!!”
“บ้าหน่า สูงขนาดนั้น…”
เมื่อได้ยินเสียงโหวกเหวกมาแต่ไกลฉันก็ดึงสติกลับมาได้แล้วหยุดบินขึ้นฟ้า จริงด้วย! นี่ฉันบินขึ้นมาสูงขนาดไหนกันวะเนี่ย! เมื่อฉันหยุดชะงักลงแล้วพยายามรวบรวมสติกลับมา ก็เห็นได้ว่าตัวเองบินขึ้นมาเหนือภูเขาที่ล้อมรอบฟาเรเรียเอาไว้อีก…
นี่ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องนั้นนะเฮ้ย! เด็กนั่นกำลังร่วงลงไปด้านล่าง!! ถึงจะเป็นทะเลก็เฮะ สูงขนาดนี้ยังไงก็อันตราย! เวรแล้ว ๆ ต้องรีบลงไปช่วยก่อนละวะ
ว่าแล้วฉันก็ต้องรีบประคองสติที่กระเจิงไปหมดให้กลับมา แล้วตั้งตัวบนอากาศก่อนจะรีบพุ่งตัวลงไปให้ทันร่างเล็กทั้งสองที่กำลังร่วงหล่น ทันไหม? ต้องทันแหละ!
เพียงชั่วอึดใจก่อนที่ทั้งคู่จะกระแทกเข้ากับผืนทะเลอย่างรุนแรง ฉันก็บินตามมาทันอย่างฉิวเฉียด และเอาขาหน้ารับร่างของทั้งคู่เอาไว้ แล้วกระพือปีกบินขึ้นโค้งตัวให้อยู่บนอากาศแล้วค่อย ๆ ลดระดับความเร็วลงจนอยู่ในสภาพปกติ
ก่อนจะหยุดบินอยู่กับที่
‘โธ่ บอกแล้วไม่ใช่รึไงว่าอันตราย’
ฉันบ่นพึมพำออกไปแบบนั้นอย่างไม่พอใจ ทั้งคู่ที่ขดตัวแน่นอยู่ในฝ่ามือฉันด้วยความกลัวจึงลืมตาขึ้นมา และมองไปรอบ ๆ
“ว้าว เรากำลังบินอยู่ล่ะมิโอะ!!”
‘จริงด้วย!’
‘ไม่ไหว ไม่ฟังกันเลยแฮะ’
ฉันถอนหายใจออกมาอีกครั้งแล้วบินกลับไปทางเก่าด้วยความเร็วเอื่อย ๆ ให้แรงลมไม่มากจนเกินไป โดยที่ให้แขนซึ่งอุ้มตัวทั้งคู่อยู่นั้นลอยเหนือผิวน้ำไม่มาก ทั้งคู่จึงมองภาพที่ทุกอย่างเคลื่อนไหวผ่านไปอย่างรวดเร็วด้วยใบหน้าตื่นเต้น พลางเอามือลูบน้ำเป็นสายไปตามทาง
ก็นะ…คงเป็นเพราะปกติจะอยู่ในทะเลเป็นหลัก เลยไม่ค่อยได้เห็นวิวที่เห็นจากข้างนอกแบบนี้สินะ เฮ้อ…หวังว่าที่ฉันคุมตัวเองไม่ได้แล้วบินออกมาแบบนี้จะไม่เป็นไรนะ
———————— ————————–
“นี่ ๆ ฮิเมะอยากบินอีก!”
‘มิโอะด้วย!’
พอบินกลับมาที่สวนของวังใต้น้ำแล้ว เจ้าพวกนี้ก็ยังไม่หยุดพูดแบบนั้นพร้อมทั้งกระโดดพยายามให้ฉันอุ้มอีก นี่ไม่ได้สำเหนียกตัวเองเลยสินะว่าเมื่อกี้ตกอยู่ในอันตรายน่ะ…ฉันก็ได้แต่หลบสายตาแล้วทำเป็นไม่ได้ยิน พร้อมทั้งนั่งยืดหลังตัวเพื่อไม่ให้ทั้งคู่ปีนมาบนหลังได้อีก
“ริเกล!”
‘อ๊ะ เคียร่าล่ะ!’
ฉันส่งเสียงออกมาด้วยความดีใจทันทีเมื่อได้ยินเสียงเหล็กกระทบกันอย่างที่คุ้นเคย พร้อมทั้งร่างของเคียร่าที่เดินออกมาจากตัวอาคาร รู้สึกว่าเธอแตกตื่นนิดหน่อยรึเปล่านะ?
“อ๊ะ ชุดเกราะเดินได้! ผู้บุกรุก!”
“กรร!!”
ว่าแล้วเจ้าหญิงที่ชื่อเจ้าหญิงก็พูดขึ้นมาแบบนั้นแล้วตั้งมือสองข้างขึ้นมาเตรียมสู้ มังกรที่ชื่อมิโอะเองก็แยกเขี้ยวขู่เช่นกัน เคียร่าก็หยุดเท้าทันทีเมื่อได้ยินเสียงนั้นแล้วหันไปมองพลางเอียงหัวให้ อ้า คงเป็นเพราะตอนนี้เคียร่าใส่หมวกอัศวินไว้ด้วยล่ะนะ เลยมองไม่เห็นหน้า
‘งานเสร็จแล้วเหรอ นี่ ๆ เราจะกลับได้ยังอ่า’
ในขณะที่ทุกอย่างหยุดนิ่งอยู่นั้น ฉันก็เดินเข้าไปหาเคียร่าแล้วใช้ปลายจมูกชนเข้ากับตัวเธอ แล้วส่งเสียงร้องออกมาเป็นการอ้อน แต่เคียร่าก็…ใช้ฝ่ามือดันจมูกฉันออก
อูว…
“พวกเธอสินะ ที่ขี่ริเกลออกไป”
“ชะ- ใช่แล้ว! เราไม่กลัวผู้บุกรุกหรอกนะ!!”
“เห๋…”
เอ๋ ทำไมเคียร่าถึงพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ล่ะ โกรธเหรอ? ตะ- แต่ไม่ได้หันมาทางฉันด้วยสิ คงไม่โดนดุหรอกมั้ง…ฉันที่เห็นท่าทีแบบนั้นของเคียร่าจึงลู่หางและแผ่นบางข้างปากลง พร้อมทั้งลดคอต่ำจนติดพื้นเพราะความกลัว
แต่ก็อย่างที่บอก ตอนนี้เคียร่ามองไปทางเจ้าหญิงและมังกรตัวน้อย ก่อนจะก้าวเท้าเข้าไปหาอย่างเชื่องช้า เหวอ ดูน่ากลัวแฮะ ยิ่งใส่ชุดเกราะหนาแบบนั้น…
แต่ว่าเด็กสองคนนั้นก็ยังยืนหยัดตั้งรับอยู่อย่าง…สั่นนี่หว่า! ก็กลัวไม่ใช่เรอะ
“ยะ- อย่าเข้ามานะ! แง…”
คนที่เป็นเจ้าหญิงเริ่มส่งเสียงร้องไห้ออกมา แต่เคียร่าก็ไม่หยุดเดินแล้วยื่นมือเข้าไปหา…ก่อนจะลูบหัวของทั้งคู่อย่างอ่อนโยน
“ไม่บาดเจ็บตรงไหนใช่ไหม?”
“หือ…อืม”
เด็กคนนั้นที่ร้องไห้อยู่นิด ๆ ส่งเสียงออกมาด้วยความสงสัย ก่อนจะตอบแบบได้ใจความพร้อมพยักหน้า เคียร่าจึงลูบหัวของทั้งคู่ต่อ
“งั้นก็ดีแล้วล่ะ คราวหน้าก็ระวังด้วยล่ะ มังกรถึงจะเป็นมิตรแต่ถ้าแหย่ให้ตกใจมากเกินไป มันก็อันตรายนะ”
“อือ…เข้าใจแล้ว”
พอได้รับคำยืนยันอย่างว่าง่ายออกมาพร้อมทั้งการพยักหน้าของลูกมังกรแล้ว เคียร่าก็พึมพำออกมาว่า ‘เด็กดี’ ก่อนจะลุกขึ้น
เด็กดี!?? แบบนั้นเรียกเด็กดีตรงไหนกัน!! ไหน มันเด็กดีตรงไหนเอาปากกามาวง!! นี่มันเด็กเวรชัด ๆ เลยนะ
“กรร!”
และแน่นอนว่าฉันที่ได้ยินแบบนั้นอยู่เฉยไม่ได้! ฉันเป็นผู้เสียหายนะ!! จึงได้ส่งเสียงร้องค้านออกไปพร้อมทั้งขู่ฟ่อ ๆ ใส่เด็กสองคนนั้น
เคียร่าที่หันมามองฉันไม่ได้พูดอะไรออกมา ก่อนจะเดินกลับมาหาและกระซิบข้างหูเบา ๆ
“ริเกล จะหาเรื่องเด็กไม่ได้นะ”
…ห๋า!! ทำไมถึงพูดแบบนั้นง่า แต่เดิมฉันต่างหากไม่ใช่เหรอที่ต้องโดนปลอบ ทำไมถึงไปหาเด็กพวกนั้นก่อนง่ะ ไม่เห็นยุติธรรมเลย แล้วหาเรื่องอะไรกัน ไม่ได้หาเรื่องซะหน่อย!
“เดี๋ยวเถอะฮิเมะ มิโอะ อย่าเสียมารยาทกับแขกสิ”
“ทะ- ท่านพ่อ!”
เด็กคนนั้นที่ได้ยินเสียงอันหนักแน่นซึ่งดุตนเองอยู่ดังมา ก็รีบหันตัวจะหนีไปอีกทาง แต่ก็โดนจับชายเสื้อเอาไว้ได้ก่อนจึงทำให้หนีไม่ได้ ส่วนมังกรที่ชื่อมิโอะพอเห็นว่าเด็กคนนั้นโดนจับได้ ก็หยุดตามทันที
“ต้องขออภัยท่านอัศวินมังกรจริง ๆ ที่ทำเรื่องเสียมารยาทลงไป”
“ไม่เป็นไรค่ะ แค่ไม่ได้รับอันตรายก็ดีแล้ว ทางนี้ก็ต้องขออภัยเช่นกันค่ะ”
เคียร่าพูดออกมาแบบนั้นพร้อมทั้งก้มหัวขอโทษ แถมยังหันมาเหลือบมองฉันให้ก้มตามอีก…เอ๋!! นี่ฉันต้องขอโทษเหรอ!
ไม่!!
“แขก? คุณชุดเกราะเดินได้เป็นแขกเหรอ”
เฮ้ย เจ้าหนูพูดแบบนั้นเสียมารยาทกับเคียร่านะเฮ้ย! ชายที่เป็นพ่อของเธอนั้นกำลังจะดุอีกหน แต่ว่าเคียร่าก็ชิงพูดขัดขึ้นมาก่อน
“ใช่”
“เป็นเจ้าของมังกรที่บินได้ตรงนั้นด้วย?”
“ใช่แล้ว พวกเราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ยังเด็ก เหมือนเจ้าหญิงกับมิโอะเลย ใช่ไหม?”
เมื่อเคียร่าพูดออกไปแบบนั้น เจ้าหญิงก็ดิ้นตัวหลุดออกมาจากการจับของชายอีกคน แล้วยิ้มแป้นพลางอุ้มมิโอะซึ่งยังเป็นลูกมังกรมาหาเคียร่า
“อื้ม! ฮิเมะกับมิโอะเป็นเพื่อนกัน!”
‘เป็นเพื่อนกัน!!’
“ฮะ ๆ สุดยอดเลยเนอะ”
เคียร่าส่งเสียงชมพร้อมทั้งหัวเราะอย่างแผ่วเบาออกไป ก่อนจะปิดท้ายโดยการก้มตัวลงไปลูบหัวทั้งคู่อีกครั้ง และเดินมาทางหลังฉัน…จะกลับแล้วสินะ! ชัยโย!!
“นี่ ๆ คุณชุดเกราะเดินได้ ไว้พาพวกฮิเมะไปบินอีกได้ไหม!”
เด็กคนนั้นถามขึ้นมาอีกครั้งก่อนที่พวกเราจะบินออกไป…รู้สึกสังหรใจไม่ดีเลยแฮะ
‘ไม่…’
“อืม ได้สิ วันหลังจะพาไปบินนะ”
‘ไม่!!’
“เย้! วันหลังมาเล่นกันอีกเยอะ ๆ เลย!!”
‘ม่ายยยย!!!!’
แล้วพวกเราก็บินออกมาทั้งแบบนั้นโดยไม่มีใครสนใจเสียงร้องไห้ของฉันเลย โหดร้าย เด็กมันปีศาจชัด ๆ เคียร่าก็โหดร้าย งอนทุกคนแล้ว!!
————– —————
“นั่นริเกลเป็นอะไรน่ะ?”
เมื่อฉันบินมาถึงค่ายของกองทัพที่เตรียมบุกไปยังชายแดนประเทศฟัวกรา เจ้าชายที่ออกมาต้อนรับก็ถามออกมาแบบนั้นทันที เพราะถึงแม้จะลงมาจากหลังแล้วเดินแยกออกมาขนาดนี้ ริเกลกลับไม่เดินตามมาหรืออ้อนเลย
ทั้งยังหรี่ตาอย่างไม่พอใจแล้วหันไปมองทางอื่นอีก เป็นวิธีการงอนของเจ้าตัวล่ะนะ
“ก็…ไม่มีอะไรหรอก ที่เมืองบาดาลเกิดเรื่องนิดหน่อย”
“เอ๊ะ เป็นอะไรรึเปล่าน่ะ”
“ฮะ ๆ ไม่เป็นไรมากหรอก เดี๋ยวก็คงหายแล้วแหละ”
ฉันหัวเราะออกไปด้วยความรื่นเริงจนทำให้เจ้าชายงง ก็นะ เมื่อก่อนริเกลจะงอนบ่อย ๆ นี่นะ ยิ่งเธอชอบใส่ใจกับรายละเอียดยิบย่อย บางทีถ้าเผลอข้ามหรือลืมไปเจ้าตัวจะงอนทันที อย่างเช่นตอนที่เรียนอยู่แล้วริเกลว่างจึงไปอาบน้ำที่บ่อน้ำ แต่ว่าฉันไม่ทันสังเกตว่าเธอสะอาดขึ้นล่ะนะ…
แต่งอนได้ไม่นานเดี๋ยวก็หายแล้วล่ะ
“แล้วเรื่องเจรจาล่ะ เป็นยังไงบ้าง”
“เรื่องนั้นไม่มีปัญหาหรอก แต่ว่า…”
ฉันพูดแบบนั้นพร้อมทั้งยื่นกระดาษที่เขียนข้อมูลสิ่งแลกเปลี่ยนเอาไว้ เจ้าชายที่เปิดขึ้นมาอ่านก็ได้แต่ขมวดคิ้วทันที
“นี่มัน…ไม่ถือว่าน้อยเกินไปเหรอ? แถมส่วนหนึ่งยังเป็นข้อตกลงแบบนามธรรมอีก เมืองบาดาลหวังน้อยขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“ฉันเองก็สงสัยเลยตรวจสอบอะไรนิดหน่อยแล้วล่ะ แต่ดูเหมือนว่า…จะไม่มีอะไรแอบแฝงจริง ๆ”
“ใต้ทะเลนี่ดูไร้เดียงสาจังนะ”
“คงเพราะสงบสุขนั่นแหละ”
พวกเราพูดคุยความเห็นกันอย่างไม่มีปิดบัง เพราะว่าที่อยู่ตรงนี้มีแค่พวกเราล่ะนะ ถ้าไปคุยระดับสูงกว่านี้หน่อยคงต้องปกปิดความคิดกันบ้าง แต่ว่าสาเหตุที่พวกเราคิดกันแบบนี้นั่นก็เป็นเพราะว่าข้อตกลงที่ฉันเจรจาได้มา
เมืองบาดาลจะคอยสนับสนุนและส่งเสบียงที่หาได้จากทะเลในช่วงแรกของสงคราม จนกว่าพวกเราจะแก้ปัญหาขาดแคลนด้วยตัวเองได้ ข้อแลกเปลี่ยนคือแม้ว่าจะผ่านช่วงนั้นไปแล้วพวกเราก็ต้องติดต่อค้าขายกับพวกเขา ทั้งยังมีของอำนวยความสะดวกอย่างอื่นให้อีกเล็กน้อย เช่นลดภาษีนำเข้า
และที่สำคัญคือ อยากให้ประเทศพวกเราแน่นแฟ้นกัน เพื่อที่ในอนาคตมีอะไรจะได้ช่วยกัน…ฟังดูดีจนน่าสงสัย แต่มันก็ดันมี่อะไรแอบแฝงจริง ๆ
แต่ก็พอเข้าใจได้ จากที่ได้คุยและฟังเรื่องราวใต้บาดาลมาก็ได้รู้ว่า ใต้ทะเลไม่ค่อยมีความขัดแย้งกันเท่าไหร่นัก แถมใต้ทะเลยังไม่แน่นอนด้วย อย่างประเทศนี้ที่รวมกันเป็นประเทศเพราะว่าอยู่ในปะการังใกล้กันมานาน เห็นว่าเมื่อก่อนปะการังฟองน้ำของพวกเขานั้นอยู่บนหลังมังกร ‘วูลเวิล’ ที่เคยอาศัยอยู่ใกล้กับอีกทวีป
แต่ด้วยความที่เป็นสัตว์มันจึงไม่อยู่กับที่จนสุดท้ายก็มาจบชีวิตแถมนี้ ทำให้ประเทศนี้ตั้งหลักแหล่งอยู่ใกล้ชายฝั่งนี้นั่นเอง และเพราะมีความเป็นมาแบบนี้นอกจากการเดินทางของมังกรที่ตนเองพึ่งอาศัยอยู่ ก็ไม่มีปัญหากับที่อื่นแล้วล่ะ เพราะส่วนใหญ่ก็อยู่ไม่คงที่แบบนี้เช่นกัน
ดังนั้นคงอยากสานสัมพันธ์กับบนทวีปที่อยู่เป็นหลักแหล่งแน่นอน เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นได้เสมอใต้ทะเล ล่ะมั้ง?
“เอาเถอะ ผลลัพธ์ที่ได้ออกมาดีก็คงพอแล้วล่ะ เดี๋ยวเราเอาเรื่องนี้ไปประชุมกับพวกท่านพ่ออีกที เดี๋ยวรุ่งสางพรุ่งนี้กองทัพของเราก็จะเดินหน้ากันแล้ว…ถึงวันนี้แล้วสินะ”
“อา แต่ถึงไม่ตอนนี้ เดี๋ยวสักวันมันก็ต้องมาถึงเอง”
สงครามน่ะ