ชีวิตใหม่ในดราโทก้า ดินแดนมังกร – ตอนที่ 72: ภาค 3 ตอนที่ 17 ไม่ได้รับอนุญาตให้ตาย

“อึก…”

 

“ท่านพ่อ!”

 

ในระหว่างที่ฉันกำลังบินไปบนฟ้าเพื่อกลับไปยังป้อมปราการรูฟนั้น ก็มีเสียงร้องครวญครางออกมาจากลำคอของราชา ซึ่งนอนหมดสติอยู่บนหลังฉัน เขาที่หมดสติตั้งแต่ก่อนพวกเราไปถึงนั้นกำลังดิ้นเล็กน้อยด้วยความทรมาน เจ้าชายจึงช้อนหัวขึ้นมาและเขย่าเรียก แต่เคียร่าก็จับข้อมือของเจ้าชายให้หยุดเขย่า

 

“อย่าเขย่า เดี๋ยวจะยิ่งแย่กว่าเดิม”

 

เธอพูดออกมาแบบนั้นทำให้เขาหยุดชะงักมือตามที่เธอบอก โดยที่บนใบหน้าของเจ้าตัวนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกที่เอ่อล้นจนบอกไม่ถูกว่าคืออะไร แต่ที่บอกได้แน่ ๆ ก็คือ เขาทำหน้าเหมือนคนกำลังจะร้องไห้เลย

เคียร่าจึงพยักหน้าให้เขาทีหนึ่งก่อนจะพึมพำกับราชาเบา ๆ ว่า ‘ขออนุญาตนะคะ’ แล้วรับร่างของชายวัยกลางคนมาใกล้กับตนเองเพื่อดูอาการ

แม้ว่าจะหลับตาแน่นแต่ก็ยังขมวดคิ้วและกระตุกดวงตาแสดงถึงความเจ็บปวด ปากอ้าพะงาบ ๆ ราวกับพยายามจะพูดอะไรแต่ก็มีเพียงเสียงอู้อี้ที่เล็ดลอดออกมา พร้อมทั้งลมหายใจที่เข้าออกอย่างยากลำบาก นั่นทำให้เคียร่าสีหน้าปั้นยากเล็กน้อย แต่ก็เริ่มเอ่ยปากร่ายเวทออกมา

 

“—…อึก!”

 

“เคียร่า!”

 

เจ้าชายที่ดูขวัญผวาตลอดเวลานั้นทำอะไรไม่ถูกนอกจากการตะโกนเรียกชื่อของเคียร่า ซึ่งหลังจากร่ายเวทบางอย่างก็กัดฟันแน่นและใช้มือกุมที่หัวอย่างเจ็บปวด ฉันรู้ได้ทันทีว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะเวทมนตร์ที่เธอใช้เมื่อครู่ เคียร่าจึงยกมือขึ้นมาเพื่อบอกว่าไม่เป็นอะไร

ทันใดนั้น สีหน้าของราชาก็เริ่มแสดงความเจ็บปวดน้อยลง สงบนิ่ง และหายใจอย่างปกติ ราวกับว่าความทรมานเมื่อครู่เป็นเพียงภาพลวงตา นั่นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากพลังเวทในตัวเคียร่าจำนวนมากย้ายไปอยู่ภายในตัวราชา การรับรู้ของฉันเห็นเป็นเช่นนั้น

แต่ไม่ใช่กับมนุษย์ธรรมดาอย่างเจ้าชายที่ไม่อาจเข้าใจได้

 

“เมื่อกี้…เวทมนตร์เหรอ?”

 

“ใช่ เป็นเวทโบราณที่จะช่วยรักษาขั้นพื้นฐานได้ แต่ว่าต้องช่วยรับความรู้สึกไปด้วยส่วนหนึ่ง”

 

“ทำไมถึงต้องทำขนาดนั้น…”

 

“เพราะเป็นราชาไม่ใช่เหรอ?”

 

เธอส่งคำตอบที่ราวกับเป็นคำถามกลับไปที่ตัวของเจ้าชาย ด้วยสีหน้าที่ราวกับกำลังสื่อว่ากำลังพูดอะไรแปลก ๆ อืม…ก็จริงแหละ ที่ต้องทำขนาดนี้เพื่อช่วยชีวิตก็เพราะเป็นราชาแหละนะ

และด้วยนิสัยของเคียร่าที่ชอบอธิบายอะไรยืดยาว จึงได้เอ่ยปากพูดออกมา

 

“เพราะเป็นราชาจึงปล่อยให้ตายไม่ได้ ทัพถูกตีแตกกระจาย เกิดการสูญเสียจำนวนมาก ถ้าราชาที่อยู่บนสุดก็หายไปด้วยแล้วล่ะก็ คงไม่มีทหารที่ไหนมีใจอยากจะสู้ต่อหรอก”

 

“แต่ถึงท่านพ่อจะยังอยู่…ฟัวกราที่เป็นแบบนั้นทหารก็ยังคงผวาไม่ผิดแน่”

 

เจ้าชายที่พูดออกมาแบบนั้นก้มลงมองที่ใบหน้าของผู้เป็นพ่อตนเองด้วยความมัวหมอง เป็นสายตาที่…เหมือนกับคนหมดศรัทธาในอะไรสักอย่าง การปะทะกันเมื่อกี้เกิดอะไรขึ้นรึเปล่านะ?

ตัวหญิงสาวซึ่งในตอนนี้เป็นทั้งลูกน้องและเพื่อนที่ค่อนข้างสนิทนั้น มองทะลุเข้าไปในดวงตาและจิตใจของเจ้าชาย ก่อนจะก้มมองราชาเช่นกัน แต่เป็นแววตาที่สงบนิ่ง

 

“นั่นยิ่งเป็นเหตุผลที่เขาสมควรรอด เพื่อที่จะมาแก้ไขปัญหานั้น นั่นคือหน้าที่ของราชา”

 

“…”

 

ฉันยังคงบินต่อไปโดยที่เริ่มมองเห็นปลายทางอยู่ในสายตาแล้ว แต่ว่าบรรยากาศของทั้งคู่ก็พลันสงบเงียบขึ้นมาในทันที เจ้าชายไม่ถามอะไรต่อแล้วจ้องมองไปที่ราชาอยู่เช่นนั้น ราวกับว่ากำลังคิดอะไรอย่างหนักอยู่ เคียร่าจึงหันกลับมามองทางด้านหน้าอีกครั้งโดยหันหลังให้เจ้าชาย

และพูดขึ้นมาลอย ๆ ราวกับว่าไม่ได้คุยกับเขา แต่จากเสียงก็รู้ได้เลยว่ากำลังคุยกับอีกฝ่ายอยู่

 

“ในบางครั้ง ราชาน่ะ….”

 

————————– ————————

ณ ป้อมปราการรูฟ

 

“ก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ตาย…เหรอ”

 

ผมนึกถึงคำพูดล้าสุดที่เคียร่าพูดออกมาให้ฟัง มันเป็นประโยคที่สั้นแหละได้ใจความ แต่ก็หนักหนามากเช่นกัน ตั้งแต่เริ่มมีปัญหากับฟัวกราจนกระทั่งเริ่มสงคราม รวมไปถึงการได้พบเจอกับเคียร่า มันทำให้ผมฉุกคิดเรื่องสิ่งที่ราชวงศ์อย่างผมต้องแบกรับมันเอาไว้

ทำเอาเผลอคิดไปแวบหนึ่งเข้าจริง ๆ ว่าถ้าได้คนอย่างเธอมาเป็นราชินีก็คงดีไหมน้อย…ไม่ได้สิ แบบนั้นมันก็แค่อยากผลักภาระไปให้เธอเท่านั้นเอง นี่เป็นสิ่งที่ติดตัวผมมาตั้งแต่เกิดมันคือหน้าที่ที่ผมต้องทำ ดังนั้นจึงได้ตัดสินใจแล้ว ว่าจะทำด้วยตนเอง

 

“สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง”

 

“อา ทุกคนกำลังเตรียมตัวตามที่ราชาสั่งไว้กันอยู่เลยล่ะ”

 

“งั้นเหรอ”

 

สิ่งที่ท่านพ่อสั่งเอาไว้หลังจากที่ฟื้นนั้นก็คือ ‘ถอยทัพ’ ดังนั้นตอนนี้พวกเราจึงกำลังเก็บข้าวของและเตรียมตัวสำหรับการเดินทัพกลับ ทิ้งฐานที่มั่นซึ่งยึดจากศัตรูเอาไว้เบื้องหลัง

ส่วนตัวราชาอย่างเขานั้นกลับไปพร้อมกับอัศวินส่วนหนึ่งแล้ว เพื่อไปจัดการงานต่าง ๆ ภายในประเทศ แน่นอนว่าเดินทางโดยเคียร่าและริเกล ซึ่งผมเป็นคนบอกกับท่านพ่อเองว่าจะเดินทางไปพร้อมกับทหารที่เหลืออยู่ อย่างน้อยก็เป็นขวัญกำลังใจว่ายังคงมีราชวงศ์อยู่ด้วย

แน่นอนเพราะแบบนั้นโอเรลจึงอยู่ด้วย

 

“แล้วไข่มังกรวารีล่ะ?”

 

“นั่นสินะ ก็—” แล้วในขณะที่กำลังมองไปที่ไข่พลางนึกวิธีการขนไปนั้น ก็มีเสียงหนึ่งดังออกมาจากข้างนอก ซึ่งเป็นเสียงของทหารที่แตกตื่น พูดขึ้นมาว่า

 

“ข้าศึกบุก!!”

 

“?!”

 

คำพูดนั้นทำให้พวกเราทั้งคู่สะดุ้งโหยงเพราะความตกใจ พวกมันเดินทัพกันมาจนถึงนี่แล้วงั้นเหรอ! ถึงแม้ว่าจะมีเรื่องชวนกังวลอยู่มากแต่ไม่นานก็ต้องดึงสติของตัวเองกลับมา โอเรลและผมต่างพยักหน้าให้กันแล้วใช้ผ้าที่ห่อหุ้มไข่ซึ่งมีขนาดที่ต้องใช้สองมือ อุ้มขึ้นมาคนละใบโดยเรียกให้ทหารที่อยู่แถวนั้นอีกคนมาช่วยถือใบสุดท้าย วิ่งไปยังรถม้าซึ่งเตรียมไว้อยู่ใจกลางป้อมปราการ ซึ่งมีไว้สำหรับการออกเดินทาง

จากเสียงของการต่อสู้ที่ดังก้องกังวานไปทั่วนั้น ทำให้รู้ได้เลยว่าภายนอกกำแพงตอนนี้นั้นเต็มไปด้วยศัตรู ที่กำลังพยายามปีนขึ้นมาบนที่ยืนบนกำแพง รวมทั้งพยายามพังประตูบานใหญ่ซึ่งปิดเอาไว้แน่น

ไม่มีเสียงของอาวุธปริศนาที่จู่โจมในคราวก่อน รอบนี้ไม่ใช้งั้นเหรอ?

 

“เจ้าชายโปรดอดทนอยู่ในรถม้าขนสัมภาระสักพักนะครับ พวกผมจะเปิดทางข้าศึกเอาไว้ให้”

 

“เข้าใจแล้ว พวกผมก็จะช่วยใช้ธนูยิ่งสนับสนุนจากในรถม้าเหมือนกัน”

 

ในสถานการณ์แบบนี้พวกผมทำได้แค่นี้จริง ๆ พอพูดถึงแผนการหลบหนีกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็รีบขนไข่ขึ้นไปบนรถม้าและวางไว้มุมหนึ่งให้ดีที่สุดจนครบสองใบ แต่เมื่อถึงใบสุดท้ายที่ทหารกำลังเดินตามหลังยื่นมาให้พวกเรานั้น…

 

“อ๊อค…”

 

“!!”

 

มีลูกศรธนูลอยมาจากทางด้านข้างของรถม้า ปักเข้าที่ลำคอของทหารคนนั้นที่ค่อย ๆ ยื่นไข่มาให้เราอย่างเชื่องช้า ทำให้เจ้าตัวได้แต่เปิดตากว้างด้วยความตกใจและส่งเสียงอึกอักออกมาจากลำคอ เพราะมีลูกธนูปักอยู่ ก่อนที่ดวงตาคู่นั้นจะเลื่อนลอยพร้อมทั้งร่างกายก็โอนเอนไปมาและล้มลงในที่สุด

โดยที่ในมือนั้นปล่อยจากไข่

 

“ไม่!”

 

ผมตะโกนออกไปแบบนั้นอย่างตื่นตระหนกแล้วพยายามจะยื่นมือออกไปหาเขาซึ่งไร้ซึ่งลมหายใจ เมื่อเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นคนคุมบังเหียนรถม้าก็รีบออกตัวออกวิ่งในทันที โดยทิ้งไข่ใบที่สามซึ่งร่วงลงสู่พื้นเอาไว้

เหมือนว่าตอนนี้ศัตรูที่มีจำนวนเยอะกว่ามากนั้นเริ่มยึดพื้นที่บนกำแพงเอาไว้ได้เรียบร้อยแล้ว เมื่อครู่พวกเราซึ่งอยู่ใจกลางป้อมปราการจึงตกเป็นเป้าโจมตีได้อย่างง่ายดาย แม้ในขณะที่รถม้ากำลังวิ่งอยู่นั้นก็มีลูกศรลอยมาไม่หยุดหย่อน แต่ก็มีคนปัดป้องเอาไว้ได้จนถึงที่ประตู

เมื่อมันถูกเปิดออกนั้นก็ไร้ซึ่งที่กั้นศัตรูเอาไว้การปะทะกันอย่างรุนแรงจึงเริ่มในทันที แต่ด้านหน้ารถม้าที่พวกเรานั่งอยู่นั้นมีคนคอยเปิดทางให้เรื่อย ๆ ตามที่ได้กล่าวกันไว้ ผมที่จับจ้องไปยังไข่ใบสุดท้ายที่ขึ้นมาไม่ทันนั้น โดนทหารของฟัวกราเก็บไปก็ได้แต่กำหมัดแน่นด้วยความเจ็บใจ จึงเริ่มง้างธนูยิงออกไปในขณะที่รถเคลื่อนต่อไป…

 

—————————– ————————–

 

“จะให้ฉันไปหาข้อมูลเกี่ยวกับ ‘ปืน’ เหรอคะ?”

 

“ใช่ อาวุธที่ฟัวกราเรียกว่า ‘ปืน’ ถึงเธอจะเคยเห็นมันครั้งแรก แต่ก็ดูเข้าใจการทำงานของมันเป็นอย่างดี ดังนั้นไม่มีใครเหมาะกับงานนี้ไปมากกว่าเธออีกแล้ว”

 

ฉันได้รับคำสั่งแบบนั้นมาจากหัวหน้าพร้อมกับตัวอย่างปืนที่ว่ามาอยู่ในมือ ก็นะที่เขาพูดก็มีส่วนไม่จริงอยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือฉันไม่ได้เห็นมันเป็นครั้งแรกยังไงล่ะ แต่แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่มีใครได้รู้อย่างแน่นอน

 

“แล้วก็ขอถามเอาไว้อีกอย่าง…คิดว่าพวกเราจะเลียนแบบปืนที่ว่าได้ไหม”

 

เขาถามแบบนั้นออกมาซึ่งตามตรงคือทำให้ฉันตะลึงมาก เจ้าตัวจึงแก้ต่างทันทีว่าเป็นคำถามจากราชา แน่นอนว่าฉันทำเพียงยิ้มฝืน ๆ ออกมา โดยหวังว่าแค่นั้นก็น่าจะเป็นคำตอบที่ชัดเจนพอควรเลย

 

“ไม่มีทางหรอกค่ะ”

 

“นั่นสินะ”

 

ว่าจบฉันก็ขอตัวออกไปจากห้องทำงานของหัวหน้าซึ่งอยู่ในวังทันที ก่อนจะหันลงมามองปืนในมืออีกครั้ง…ปืนคาบศิลาสินะ ข้ามขั้นไปตรงนั้นเลยเหรอลำบากเอาเรื่องแฮะ จากที่เห็นในคราวก่อนดูท่าจะผลิตออกมาได้เยอะพอสมควรเลย

ฉันเดินคิดแบบนั้นในขณะที่ถือปืนกระบอกนั้นเดินไปภายในวัง โดยไม่ได้สนสายตาอันเต็มไปด้วยความสงสัยของขุนนางที่เดินผ่านไปผ่านมาเลยแม้แต่น้อย เพื่อตรงไปยังห้องของตนเองแล้วตรวจสอบที่ตัวปืนทุกซอกทุกมุม

อืม…ชิ้นส่วนของทุกจุดนั้นดูสวยงามและเรียกได้ว่าเป็นระเบียบ หรือจะบอกว่าฝีมือการหลอมออกมาได้เป๊ะมาก การผลิตบางสิ่งที่แม่นยำและจำนวนมากได้ขนาดนั้น ทำเอาฉันนึกถึงสิ่งหนึ่งที่พาลให้มีเหงื่อเย็น ๆ ไหลอาบแก้มออกมา

 

“เครื่องจักร…”

 

ฉันเคยได้ยินมาจากแฟร์แค่ว่า เดเวีย เป็นประเทศแปลก ๆ ที่ทุกคนกระหายความรู้และการค้นคว้ามาก ทั้งเมืองก็เต็มไปด้วยกลิ่นของเหล็กและน้ำมันดิบที่ฉุนไปหมด และนอกเหนือจากนั้นแฟร์ก็ดูหมดความสนใจต่อประเทศนั้นไปแล้ว หรือต้องบอกว่าคนทั้งทวีปเลยมากกว่าที่มองข้ามเดเวียไป

ทำไมกัน…มีเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าขนาดนี้ทำไมถึงได้เหมือนไม่มีตัวตนอยู่เลยล่ะ ทำไมทั้งที่มีความรู้มากขนาดนี้ก็ยังคงอยู่ภายใต้การกดดันจากฟัวกราอยู่ล่ะ ถ้าทำได้มากขนาดนี้แล้วละก็…จะสวนกลับฟัวกราก็เป็นเรื่องที่ง่ายดายสุด ๆ

 

“แต่ทำไมกันล่ะ…”

 

ทั้งความสนใจต่อประเทศเดเวียที่ผลิตสิ่งที่ราวกับมาจากอนาคตราว 1-2 ร้อยปีข้างหน้า ความสงสัยต่อท่าทีและความสัมพันธ์ของประเทศภายในโลกนี้ ทำให้รู้สึกอยากจะไปสืบหาข้อมูลเหล่านั้นเอาตอนนี้เลย

อีกอย่างที่ฉันอยากไขปริศนาเหล่านี้ให้เร็วที่สุดนั่นก็เพราะว่า…

 

‘ประเทศพวกเราต้องการแก…เจ้าสามัญชน’

 

คำพูดนั้นผุดกลับเข้ามาในสมองอีกครั้งจนทำให้มือของฉันหยุดชะงักไป แล้วเปลี่ยนกลายเป็นกำปืนที่อยู่ในมือแน่นจนเกิดเสียง ‘แกร๊ก แกร๊ก’ ของไม้และเหล็ก

ในตอนนั้นฉัน…ปักใจไปแล้วแท้ ๆ ว่าเชื่อใจเขาไม่ได้ แม้แต่ในตอนที่แม่ทัพเอาตัวเข้ามาปกป้อง…ในความคิดของฉันก็ยังเป็นการเตรียมแทงสวนเขาไป ติดตรงที่ว่าเพราะการตอบสนองของฉันช้ากว่าการเคลื่อนไหวของเขา เป็นหลักฐานอย่างชัดเจนถึงฝีมือชั้นเลิศของชายผู้เป็นมือขวาของราชา

 

“ฉัน…ระวังตัวมากเกินไปหรือเปล่านะ”

 

สิ่งที่เกิดขึ้นในสนามรบที่ผ่านมานั้นทำให้ฉันฉุกคิดได้ ว่าตั้งแต่มาเกิดใหม่ที่โลกนี้ ไม่สิ…ตั้งแต่ที่มีชีวิตอยู่ในโลกก่อน ฉันผ่านมันมาโดยที่ไม่เคยมีใครก้าวเข้ามาอยู่ในชีวิต แล้วก็ไม่เปิดโอกาสให้ใครเข้ามาเช่นกัน เพราะความคิดที่ว่าจะต้องผ่านทุกอย่างได้ด้วยตนเอง นั่นน่ะ…ถือเป็นเรื่องที่ไม่ดีหรือเปล่านะ

ฉันหันหน้าไปทางหน้าต่างซึ่งปิดผ้าม่านเอาไว้อย่างเหม่อลอย มันกลายเป็นความเคยชินเวลาอยู่บ้านของอาจารย์ไปแล้ว ว่าถ้าฉันมองออกไปทางหน้าต่าง จะได้พบกับตัวของริเกลซึ่งพอเห็นฉันหันไปหาก็จะส่ายหางอย่างดีใจ และรีบเอาหัวเข้ามาใกล้เพื่อรอการพูดคุยจากฉัน

 

“ถ้าหากว่าฉันเชื่อใจทุกคนเหมือนที่เชื่อใจริเกลได้…อาจจะดีไม่น้อยเลยนะ”

 

ฉันพึมพำออกมาแบบนั้นพร้อมทั้งหลับตาจมไปกับความคิดถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้พบเจอมา ความสัมพันธ์กับผู้คนที่ฉันได้พบเจอในตอนนี้นั้นถือเป็นเรื่องใหม่สำหรับเมื่อก่อน ในตอนนี้ฉันอยากจะรักษามันไว้ ไม่ว่าจะเป็น ริเกล อาจารย์ คลิฟ เจ้าชาย โอเรล มารีน

 

“และสุดท้าย…”

 

และสุดท้าย ภาพของเด็กสาวที่แม้ว่าจะเคยเห็นไม่นานนัก แต่ก็ยังคงแจ่มชัดอยู่ภายในความทรงจำ เธอที่เพียงแค่ข้อความในจดหมายที่สั้นและห้วนนั้น กลับมอบรอยยิ้มและความสบายใจที่มากมายมหาศาลให้กับฉัน เธอคนนั้นที่ไม่ว่ากี่ปีก็ยังคงเฝ้ารอวันที่จะได้พบกันอีกครั้ง…แฟร์

 

——————– ———————–

 (มุมคนเขียน)

สวัสดีค่าาา วันนี้มาสั้นๆคือ แปะรูแ FA นั่นเอง!! ก่อนหน้านี้ลืม และตอนที่ลงไปตอนแรกก็ลืม มาแก้เอาทีหลัง (ฮา) ขอขอบคุณ FA งามๆจากคุณ JRyie ด้วยนะคะะ (เจ้าตัวเป็นนักเขียนเช่นกัน ลองหาส่องๆได้ค่ะ ฮา)

 

 

ชีวิตใหม่ในดราโทก้า ดินแดนมังกร

ชีวิตใหม่ในดราโทก้า ดินแดนมังกร

ชีวิตใหม่ในดราโทก้า ดินแดนมังกร

Comment

Options

not work with dark mode
Reset