“อึก…”
“ท่านพ่อ!”
ในระหว่างที่ฉันกำลังบินไปบนฟ้าเพื่อกลับไปยังป้อมปราการรูฟนั้น ก็มีเสียงร้องครวญครางออกมาจากลำคอของราชา ซึ่งนอนหมดสติอยู่บนหลังฉัน เขาที่หมดสติตั้งแต่ก่อนพวกเราไปถึงนั้นกำลังดิ้นเล็กน้อยด้วยความทรมาน เจ้าชายจึงช้อนหัวขึ้นมาและเขย่าเรียก แต่เคียร่าก็จับข้อมือของเจ้าชายให้หยุดเขย่า
“อย่าเขย่า เดี๋ยวจะยิ่งแย่กว่าเดิม”
เธอพูดออกมาแบบนั้นทำให้เขาหยุดชะงักมือตามที่เธอบอก โดยที่บนใบหน้าของเจ้าตัวนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกที่เอ่อล้นจนบอกไม่ถูกว่าคืออะไร แต่ที่บอกได้แน่ ๆ ก็คือ เขาทำหน้าเหมือนคนกำลังจะร้องไห้เลย
เคียร่าจึงพยักหน้าให้เขาทีหนึ่งก่อนจะพึมพำกับราชาเบา ๆ ว่า ‘ขออนุญาตนะคะ’ แล้วรับร่างของชายวัยกลางคนมาใกล้กับตนเองเพื่อดูอาการ
แม้ว่าจะหลับตาแน่นแต่ก็ยังขมวดคิ้วและกระตุกดวงตาแสดงถึงความเจ็บปวด ปากอ้าพะงาบ ๆ ราวกับพยายามจะพูดอะไรแต่ก็มีเพียงเสียงอู้อี้ที่เล็ดลอดออกมา พร้อมทั้งลมหายใจที่เข้าออกอย่างยากลำบาก นั่นทำให้เคียร่าสีหน้าปั้นยากเล็กน้อย แต่ก็เริ่มเอ่ยปากร่ายเวทออกมา
“—…อึก!”
“เคียร่า!”
เจ้าชายที่ดูขวัญผวาตลอดเวลานั้นทำอะไรไม่ถูกนอกจากการตะโกนเรียกชื่อของเคียร่า ซึ่งหลังจากร่ายเวทบางอย่างก็กัดฟันแน่นและใช้มือกุมที่หัวอย่างเจ็บปวด ฉันรู้ได้ทันทีว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะเวทมนตร์ที่เธอใช้เมื่อครู่ เคียร่าจึงยกมือขึ้นมาเพื่อบอกว่าไม่เป็นอะไร
ทันใดนั้น สีหน้าของราชาก็เริ่มแสดงความเจ็บปวดน้อยลง สงบนิ่ง และหายใจอย่างปกติ ราวกับว่าความทรมานเมื่อครู่เป็นเพียงภาพลวงตา นั่นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากพลังเวทในตัวเคียร่าจำนวนมากย้ายไปอยู่ภายในตัวราชา การรับรู้ของฉันเห็นเป็นเช่นนั้น
แต่ไม่ใช่กับมนุษย์ธรรมดาอย่างเจ้าชายที่ไม่อาจเข้าใจได้
“เมื่อกี้…เวทมนตร์เหรอ?”
“ใช่ เป็นเวทโบราณที่จะช่วยรักษาขั้นพื้นฐานได้ แต่ว่าต้องช่วยรับความรู้สึกไปด้วยส่วนหนึ่ง”
“ทำไมถึงต้องทำขนาดนั้น…”
“เพราะเป็นราชาไม่ใช่เหรอ?”
เธอส่งคำตอบที่ราวกับเป็นคำถามกลับไปที่ตัวของเจ้าชาย ด้วยสีหน้าที่ราวกับกำลังสื่อว่ากำลังพูดอะไรแปลก ๆ อืม…ก็จริงแหละ ที่ต้องทำขนาดนี้เพื่อช่วยชีวิตก็เพราะเป็นราชาแหละนะ
และด้วยนิสัยของเคียร่าที่ชอบอธิบายอะไรยืดยาว จึงได้เอ่ยปากพูดออกมา
“เพราะเป็นราชาจึงปล่อยให้ตายไม่ได้ ทัพถูกตีแตกกระจาย เกิดการสูญเสียจำนวนมาก ถ้าราชาที่อยู่บนสุดก็หายไปด้วยแล้วล่ะก็ คงไม่มีทหารที่ไหนมีใจอยากจะสู้ต่อหรอก”
“แต่ถึงท่านพ่อจะยังอยู่…ฟัวกราที่เป็นแบบนั้นทหารก็ยังคงผวาไม่ผิดแน่”
เจ้าชายที่พูดออกมาแบบนั้นก้มลงมองที่ใบหน้าของผู้เป็นพ่อตนเองด้วยความมัวหมอง เป็นสายตาที่…เหมือนกับคนหมดศรัทธาในอะไรสักอย่าง การปะทะกันเมื่อกี้เกิดอะไรขึ้นรึเปล่านะ?
ตัวหญิงสาวซึ่งในตอนนี้เป็นทั้งลูกน้องและเพื่อนที่ค่อนข้างสนิทนั้น มองทะลุเข้าไปในดวงตาและจิตใจของเจ้าชาย ก่อนจะก้มมองราชาเช่นกัน แต่เป็นแววตาที่สงบนิ่ง
“นั่นยิ่งเป็นเหตุผลที่เขาสมควรรอด เพื่อที่จะมาแก้ไขปัญหานั้น นั่นคือหน้าที่ของราชา”
“…”
ฉันยังคงบินต่อไปโดยที่เริ่มมองเห็นปลายทางอยู่ในสายตาแล้ว แต่ว่าบรรยากาศของทั้งคู่ก็พลันสงบเงียบขึ้นมาในทันที เจ้าชายไม่ถามอะไรต่อแล้วจ้องมองไปที่ราชาอยู่เช่นนั้น ราวกับว่ากำลังคิดอะไรอย่างหนักอยู่ เคียร่าจึงหันกลับมามองทางด้านหน้าอีกครั้งโดยหันหลังให้เจ้าชาย
และพูดขึ้นมาลอย ๆ ราวกับว่าไม่ได้คุยกับเขา แต่จากเสียงก็รู้ได้เลยว่ากำลังคุยกับอีกฝ่ายอยู่
“ในบางครั้ง ราชาน่ะ….”
————————– ————————
ณ ป้อมปราการรูฟ
“ก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ตาย…เหรอ”
ผมนึกถึงคำพูดล้าสุดที่เคียร่าพูดออกมาให้ฟัง มันเป็นประโยคที่สั้นแหละได้ใจความ แต่ก็หนักหนามากเช่นกัน ตั้งแต่เริ่มมีปัญหากับฟัวกราจนกระทั่งเริ่มสงคราม รวมไปถึงการได้พบเจอกับเคียร่า มันทำให้ผมฉุกคิดเรื่องสิ่งที่ราชวงศ์อย่างผมต้องแบกรับมันเอาไว้
ทำเอาเผลอคิดไปแวบหนึ่งเข้าจริง ๆ ว่าถ้าได้คนอย่างเธอมาเป็นราชินีก็คงดีไหมน้อย…ไม่ได้สิ แบบนั้นมันก็แค่อยากผลักภาระไปให้เธอเท่านั้นเอง นี่เป็นสิ่งที่ติดตัวผมมาตั้งแต่เกิดมันคือหน้าที่ที่ผมต้องทำ ดังนั้นจึงได้ตัดสินใจแล้ว ว่าจะทำด้วยตนเอง
“สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง”
“อา ทุกคนกำลังเตรียมตัวตามที่ราชาสั่งไว้กันอยู่เลยล่ะ”
“งั้นเหรอ”
สิ่งที่ท่านพ่อสั่งเอาไว้หลังจากที่ฟื้นนั้นก็คือ ‘ถอยทัพ’ ดังนั้นตอนนี้พวกเราจึงกำลังเก็บข้าวของและเตรียมตัวสำหรับการเดินทัพกลับ ทิ้งฐานที่มั่นซึ่งยึดจากศัตรูเอาไว้เบื้องหลัง
ส่วนตัวราชาอย่างเขานั้นกลับไปพร้อมกับอัศวินส่วนหนึ่งแล้ว เพื่อไปจัดการงานต่าง ๆ ภายในประเทศ แน่นอนว่าเดินทางโดยเคียร่าและริเกล ซึ่งผมเป็นคนบอกกับท่านพ่อเองว่าจะเดินทางไปพร้อมกับทหารที่เหลืออยู่ อย่างน้อยก็เป็นขวัญกำลังใจว่ายังคงมีราชวงศ์อยู่ด้วย
แน่นอนเพราะแบบนั้นโอเรลจึงอยู่ด้วย
“แล้วไข่มังกรวารีล่ะ?”
“นั่นสินะ ก็—” แล้วในขณะที่กำลังมองไปที่ไข่พลางนึกวิธีการขนไปนั้น ก็มีเสียงหนึ่งดังออกมาจากข้างนอก ซึ่งเป็นเสียงของทหารที่แตกตื่น พูดขึ้นมาว่า
“ข้าศึกบุก!!”
“?!”
คำพูดนั้นทำให้พวกเราทั้งคู่สะดุ้งโหยงเพราะความตกใจ พวกมันเดินทัพกันมาจนถึงนี่แล้วงั้นเหรอ! ถึงแม้ว่าจะมีเรื่องชวนกังวลอยู่มากแต่ไม่นานก็ต้องดึงสติของตัวเองกลับมา โอเรลและผมต่างพยักหน้าให้กันแล้วใช้ผ้าที่ห่อหุ้มไข่ซึ่งมีขนาดที่ต้องใช้สองมือ อุ้มขึ้นมาคนละใบโดยเรียกให้ทหารที่อยู่แถวนั้นอีกคนมาช่วยถือใบสุดท้าย วิ่งไปยังรถม้าซึ่งเตรียมไว้อยู่ใจกลางป้อมปราการ ซึ่งมีไว้สำหรับการออกเดินทาง
จากเสียงของการต่อสู้ที่ดังก้องกังวานไปทั่วนั้น ทำให้รู้ได้เลยว่าภายนอกกำแพงตอนนี้นั้นเต็มไปด้วยศัตรู ที่กำลังพยายามปีนขึ้นมาบนที่ยืนบนกำแพง รวมทั้งพยายามพังประตูบานใหญ่ซึ่งปิดเอาไว้แน่น
ไม่มีเสียงของอาวุธปริศนาที่จู่โจมในคราวก่อน รอบนี้ไม่ใช้งั้นเหรอ?
“เจ้าชายโปรดอดทนอยู่ในรถม้าขนสัมภาระสักพักนะครับ พวกผมจะเปิดทางข้าศึกเอาไว้ให้”
“เข้าใจแล้ว พวกผมก็จะช่วยใช้ธนูยิ่งสนับสนุนจากในรถม้าเหมือนกัน”
ในสถานการณ์แบบนี้พวกผมทำได้แค่นี้จริง ๆ พอพูดถึงแผนการหลบหนีกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็รีบขนไข่ขึ้นไปบนรถม้าและวางไว้มุมหนึ่งให้ดีที่สุดจนครบสองใบ แต่เมื่อถึงใบสุดท้ายที่ทหารกำลังเดินตามหลังยื่นมาให้พวกเรานั้น…
“อ๊อค…”
“!!”
มีลูกศรธนูลอยมาจากทางด้านข้างของรถม้า ปักเข้าที่ลำคอของทหารคนนั้นที่ค่อย ๆ ยื่นไข่มาให้เราอย่างเชื่องช้า ทำให้เจ้าตัวได้แต่เปิดตากว้างด้วยความตกใจและส่งเสียงอึกอักออกมาจากลำคอ เพราะมีลูกธนูปักอยู่ ก่อนที่ดวงตาคู่นั้นจะเลื่อนลอยพร้อมทั้งร่างกายก็โอนเอนไปมาและล้มลงในที่สุด
โดยที่ในมือนั้นปล่อยจากไข่
“ไม่!”
ผมตะโกนออกไปแบบนั้นอย่างตื่นตระหนกแล้วพยายามจะยื่นมือออกไปหาเขาซึ่งไร้ซึ่งลมหายใจ เมื่อเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นคนคุมบังเหียนรถม้าก็รีบออกตัวออกวิ่งในทันที โดยทิ้งไข่ใบที่สามซึ่งร่วงลงสู่พื้นเอาไว้
เหมือนว่าตอนนี้ศัตรูที่มีจำนวนเยอะกว่ามากนั้นเริ่มยึดพื้นที่บนกำแพงเอาไว้ได้เรียบร้อยแล้ว เมื่อครู่พวกเราซึ่งอยู่ใจกลางป้อมปราการจึงตกเป็นเป้าโจมตีได้อย่างง่ายดาย แม้ในขณะที่รถม้ากำลังวิ่งอยู่นั้นก็มีลูกศรลอยมาไม่หยุดหย่อน แต่ก็มีคนปัดป้องเอาไว้ได้จนถึงที่ประตู
เมื่อมันถูกเปิดออกนั้นก็ไร้ซึ่งที่กั้นศัตรูเอาไว้การปะทะกันอย่างรุนแรงจึงเริ่มในทันที แต่ด้านหน้ารถม้าที่พวกเรานั่งอยู่นั้นมีคนคอยเปิดทางให้เรื่อย ๆ ตามที่ได้กล่าวกันไว้ ผมที่จับจ้องไปยังไข่ใบสุดท้ายที่ขึ้นมาไม่ทันนั้น โดนทหารของฟัวกราเก็บไปก็ได้แต่กำหมัดแน่นด้วยความเจ็บใจ จึงเริ่มง้างธนูยิงออกไปในขณะที่รถเคลื่อนต่อไป…
—————————– ————————–
“จะให้ฉันไปหาข้อมูลเกี่ยวกับ ‘ปืน’ เหรอคะ?”
“ใช่ อาวุธที่ฟัวกราเรียกว่า ‘ปืน’ ถึงเธอจะเคยเห็นมันครั้งแรก แต่ก็ดูเข้าใจการทำงานของมันเป็นอย่างดี ดังนั้นไม่มีใครเหมาะกับงานนี้ไปมากกว่าเธออีกแล้ว”
ฉันได้รับคำสั่งแบบนั้นมาจากหัวหน้าพร้อมกับตัวอย่างปืนที่ว่ามาอยู่ในมือ ก็นะที่เขาพูดก็มีส่วนไม่จริงอยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือฉันไม่ได้เห็นมันเป็นครั้งแรกยังไงล่ะ แต่แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่มีใครได้รู้อย่างแน่นอน
“แล้วก็ขอถามเอาไว้อีกอย่าง…คิดว่าพวกเราจะเลียนแบบปืนที่ว่าได้ไหม”
เขาถามแบบนั้นออกมาซึ่งตามตรงคือทำให้ฉันตะลึงมาก เจ้าตัวจึงแก้ต่างทันทีว่าเป็นคำถามจากราชา แน่นอนว่าฉันทำเพียงยิ้มฝืน ๆ ออกมา โดยหวังว่าแค่นั้นก็น่าจะเป็นคำตอบที่ชัดเจนพอควรเลย
“ไม่มีทางหรอกค่ะ”
“นั่นสินะ”
ว่าจบฉันก็ขอตัวออกไปจากห้องทำงานของหัวหน้าซึ่งอยู่ในวังทันที ก่อนจะหันลงมามองปืนในมืออีกครั้ง…ปืนคาบศิลาสินะ ข้ามขั้นไปตรงนั้นเลยเหรอลำบากเอาเรื่องแฮะ จากที่เห็นในคราวก่อนดูท่าจะผลิตออกมาได้เยอะพอสมควรเลย
ฉันเดินคิดแบบนั้นในขณะที่ถือปืนกระบอกนั้นเดินไปภายในวัง โดยไม่ได้สนสายตาอันเต็มไปด้วยความสงสัยของขุนนางที่เดินผ่านไปผ่านมาเลยแม้แต่น้อย เพื่อตรงไปยังห้องของตนเองแล้วตรวจสอบที่ตัวปืนทุกซอกทุกมุม
อืม…ชิ้นส่วนของทุกจุดนั้นดูสวยงามและเรียกได้ว่าเป็นระเบียบ หรือจะบอกว่าฝีมือการหลอมออกมาได้เป๊ะมาก การผลิตบางสิ่งที่แม่นยำและจำนวนมากได้ขนาดนั้น ทำเอาฉันนึกถึงสิ่งหนึ่งที่พาลให้มีเหงื่อเย็น ๆ ไหลอาบแก้มออกมา
“เครื่องจักร…”
ฉันเคยได้ยินมาจากแฟร์แค่ว่า เดเวีย เป็นประเทศแปลก ๆ ที่ทุกคนกระหายความรู้และการค้นคว้ามาก ทั้งเมืองก็เต็มไปด้วยกลิ่นของเหล็กและน้ำมันดิบที่ฉุนไปหมด และนอกเหนือจากนั้นแฟร์ก็ดูหมดความสนใจต่อประเทศนั้นไปแล้ว หรือต้องบอกว่าคนทั้งทวีปเลยมากกว่าที่มองข้ามเดเวียไป
ทำไมกัน…มีเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าขนาดนี้ทำไมถึงได้เหมือนไม่มีตัวตนอยู่เลยล่ะ ทำไมทั้งที่มีความรู้มากขนาดนี้ก็ยังคงอยู่ภายใต้การกดดันจากฟัวกราอยู่ล่ะ ถ้าทำได้มากขนาดนี้แล้วละก็…จะสวนกลับฟัวกราก็เป็นเรื่องที่ง่ายดายสุด ๆ
“แต่ทำไมกันล่ะ…”
ทั้งความสนใจต่อประเทศเดเวียที่ผลิตสิ่งที่ราวกับมาจากอนาคตราว 1-2 ร้อยปีข้างหน้า ความสงสัยต่อท่าทีและความสัมพันธ์ของประเทศภายในโลกนี้ ทำให้รู้สึกอยากจะไปสืบหาข้อมูลเหล่านั้นเอาตอนนี้เลย
อีกอย่างที่ฉันอยากไขปริศนาเหล่านี้ให้เร็วที่สุดนั่นก็เพราะว่า…
‘ประเทศพวกเราต้องการแก…เจ้าสามัญชน’
คำพูดนั้นผุดกลับเข้ามาในสมองอีกครั้งจนทำให้มือของฉันหยุดชะงักไป แล้วเปลี่ยนกลายเป็นกำปืนที่อยู่ในมือแน่นจนเกิดเสียง ‘แกร๊ก แกร๊ก’ ของไม้และเหล็ก
ในตอนนั้นฉัน…ปักใจไปแล้วแท้ ๆ ว่าเชื่อใจเขาไม่ได้ แม้แต่ในตอนที่แม่ทัพเอาตัวเข้ามาปกป้อง…ในความคิดของฉันก็ยังเป็นการเตรียมแทงสวนเขาไป ติดตรงที่ว่าเพราะการตอบสนองของฉันช้ากว่าการเคลื่อนไหวของเขา เป็นหลักฐานอย่างชัดเจนถึงฝีมือชั้นเลิศของชายผู้เป็นมือขวาของราชา
“ฉัน…ระวังตัวมากเกินไปหรือเปล่านะ”
สิ่งที่เกิดขึ้นในสนามรบที่ผ่านมานั้นทำให้ฉันฉุกคิดได้ ว่าตั้งแต่มาเกิดใหม่ที่โลกนี้ ไม่สิ…ตั้งแต่ที่มีชีวิตอยู่ในโลกก่อน ฉันผ่านมันมาโดยที่ไม่เคยมีใครก้าวเข้ามาอยู่ในชีวิต แล้วก็ไม่เปิดโอกาสให้ใครเข้ามาเช่นกัน เพราะความคิดที่ว่าจะต้องผ่านทุกอย่างได้ด้วยตนเอง นั่นน่ะ…ถือเป็นเรื่องที่ไม่ดีหรือเปล่านะ
ฉันหันหน้าไปทางหน้าต่างซึ่งปิดผ้าม่านเอาไว้อย่างเหม่อลอย มันกลายเป็นความเคยชินเวลาอยู่บ้านของอาจารย์ไปแล้ว ว่าถ้าฉันมองออกไปทางหน้าต่าง จะได้พบกับตัวของริเกลซึ่งพอเห็นฉันหันไปหาก็จะส่ายหางอย่างดีใจ และรีบเอาหัวเข้ามาใกล้เพื่อรอการพูดคุยจากฉัน
“ถ้าหากว่าฉันเชื่อใจทุกคนเหมือนที่เชื่อใจริเกลได้…อาจจะดีไม่น้อยเลยนะ”
ฉันพึมพำออกมาแบบนั้นพร้อมทั้งหลับตาจมไปกับความคิดถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้พบเจอมา ความสัมพันธ์กับผู้คนที่ฉันได้พบเจอในตอนนี้นั้นถือเป็นเรื่องใหม่สำหรับเมื่อก่อน ในตอนนี้ฉันอยากจะรักษามันไว้ ไม่ว่าจะเป็น ริเกล อาจารย์ คลิฟ เจ้าชาย โอเรล มารีน
“และสุดท้าย…”
และสุดท้าย ภาพของเด็กสาวที่แม้ว่าจะเคยเห็นไม่นานนัก แต่ก็ยังคงแจ่มชัดอยู่ภายในความทรงจำ เธอที่เพียงแค่ข้อความในจดหมายที่สั้นและห้วนนั้น กลับมอบรอยยิ้มและความสบายใจที่มากมายมหาศาลให้กับฉัน เธอคนนั้นที่ไม่ว่ากี่ปีก็ยังคงเฝ้ารอวันที่จะได้พบกันอีกครั้ง…แฟร์
——————– ———————–
(มุมคนเขียน)
สวัสดีค่าาา วันนี้มาสั้นๆคือ แปะรูแ FA นั่นเอง!! ก่อนหน้านี้ลืม และตอนที่ลงไปตอนแรกก็ลืม มาแก้เอาทีหลัง (ฮา) ขอขอบคุณ FA งามๆจากคุณ JRyie ด้วยนะคะะ (เจ้าตัวเป็นนักเขียนเช่นกัน ลองหาส่องๆได้ค่ะ ฮา)