“แน่ใจจริงเหรอ เคียร่า”
‘อือ ๆ ใช่ ๆ แน่ใจแล้วจริงเรอะเคียร่า!’
ฉันพยักหน้าตามคำพูดของหัวหน้า ซึ่งถามเคียร่าแบบนั้นในขณะที่กำลังเตรียมตัวออกเดินทาง นั่นก็เพราะว่าเหมือนก่อนหน้านี้ไม่นานมากจัดการประชุมด่วนขึ้นมา ซึ่งเคียร่าก็เสนอให้ร่วมมือกับบอลก้า หรือก็คือบ้านของไอ้โอเรลนั่นเอง
อะไรล่ะนั่น ไม่น่าเชื่อถือเลยสักนิด!!
“ค่ะ ฉันกับเจ้าชายคิดกันอย่างถี่ถ้วนแล้วค่ะ”
ได้ไง!! ไหงเป็นงั้นไป นี่ทั้งคู่ใช้อะไรมอง ไอ้หมอนั่นมันไม่น่าไว้ใจเลยสักนิดนะ!! อ๊ะ อ้าา งี้นี่เอง ไอ้โอเรลมันเขม่นแค่ฉันนี่นะ กับพวกเคียร่าแล้วก็เจ้าชายก็ทำตัวเป็นมิตร
หน๊อย ร้ายนักไอ้เวรนั่น!!
“กรร กรร…”
ฉันมองบนทันทีที่เคียร่าพูดแบบนั้นแถมยังจงใจส่งเสียงบ่นออกมาให้ได้ยิน ซึ่งเคียร่าก็ถามออกมาว่าปวดท้องเหรอ ไม่ใช่เฟ้ย!! จะปวดก็เพราะเป็นแบบนี้นี่แหละ!!
สุดท้ายถึงจะไม่พอใจยังไง แผนที่กำหนดไว้แล้วก็ต้องทำตาม ตอนนี้พวกเราจึงเดินทางออกมาจากเมืองหลวงกันแล้ว โดยเดินทางด้วยคนจำนวนน้อยไม่ถึง 10 คน
รวมฉัน เคียร่า เจ้าชายและโอเรลด้วย ที่เหลือก็เป็นคนคุ้มกันเจ้าชายธรรมดา กับหัวหน้าซึ่งมานำทางหลบสายตาของฟัวกรา
เอาเถอะ…ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นฉันก็แค่ปกป้องเคียร่าก็พอ ส่วนคนอื่น…จะพยายามแล้วกัน แต่เคียร่าต้องมาก่อนเสมอ ต่อให้เจ้าตัวจะไม่ต้องการก็ตาม
ฉันคิดแบบนั้นแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่พลางเหลือบขึ้นไปมองเคียร่าที่อยู่บนหลัง เคียร่าเนี่ย…แปลกคนจังแฮะ บทจะไม่วางใจก็คือไม่เชื่อใจใครเลย แต่พอได้ลองไว้ใจไปครั้งหนึ่ง…ก็แทบจะไม่สงสัยเลย
จะว่าไงดีล่ะ เธอดู…ไม่ทันคนเลยมั้ง? ทั้งที่ถ้าเจรจาการค้าอะไรแบบนั้นเก่งมากแท้ ๆ ไม่เข้าใจเลยจริง ๆ
แล้วในตอนนั้น เจ้าชายก็ควบม้ามาหาหัวหน้า
“พวกเราจะใช้เวลาเดินทางนานเท่าไหร่”
“คงใช้เวลาราว 7 วันหรือมากกว่า เพื่อไปยังจุดนัดหมายครับ เนื่องจากต้องเดินทางโดยระมันระวังไม่ให้ฟัวกรารู้สึกตัวด้วย จึงช้าเป็นพิเศษ”
หวา นานสุด ๆ เลยแฮะ…ไม่สิ คงเพราะฉันชินกับระยะเดินทางด้วยปีกมากกว่า จุดนัดหมายของพวกเราคือหมู่บ้านในเขตมิลด้า ก่อนถึงเมืองบอลก้า ซึ่งเลยเมืองมิลด้าในการรบครั้งก่อนเท่าไหร่
ถ้าแค่ฉันกับเคียร่าคงใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมง แต่อย่างว่า ถ้าทำแบบนั้นมีหวังโดนรุมโจมตีเละแน่นอน…
การเดินทางของพวกเราไปได้อย่างราบรื่น ขอแค่ใจเย็นแล้วอดทนรอจังหวะกับโอกาส ก็สามารถผ่านด่านที่พวกฟัวกราดักเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย คงเป็นเพราะว่าทหารพวกนั้นดูหละหลวมกันมากเลยล่ะมั้ง เลยหาโอกาสเลี่ยงสายตาได้ง่ายมาก
ขอแค่รอเวลาเหมาะ ๆ ก็พอ…
และแล้ว เราก็มองเห็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ซึ่งเป็นจุดนัดหมายนั่นเอง แล้วเด็กเวรนั่นก็พูดขึ้นมา
“เดี๋ยวรออยู่นี่กันก่อนนะ ผมจะไปแจ้งเรื่องให้ท่านพ่อรู้เพื่อเตรียมตัวต้อนรับ แล้วก็จะได้ผ่านได้สบาย ๆ ด้วย”
“เข้าใจแล้ว”
เจ้าชายตอบรับเขาอย่างเรียบง่ายและพวกเขาก็พยักหน้าให้กัน โดยเวลานัดหมายอีกครั้งคือเช้าตรู่ให้ไปเจอกันหน้าหมู่บ้าน ก่อนที่โอเรลจะควบม้าไปที่หมู่บ้านคนเดียว…แล้วในตอนนั้น หัวหน้าก็เข้ามาคุยกับเคียร่าโดยไม่ให้คนอื่นได้ยิน
“ได้พกชุดเกราะมารึเปล่า”
ที่เขาถามออกมาแบบนั้นเพราะว่าการเดินทางพวกเราไม่ได้ใส่เกราะอัศวินกันมา เพื่อให้ไม่เกิดเสียงดังในขณะเคลื่อนที่ ซึ่งคำถามนั้นก็ทำให้เคียร่าเปิดตากว้าง
“เอ๋ ทำไมเหรอคะ—”
“ได้พกมารึเปล่า”
“…ค่ะ ฉันพกไว้กับกระเป๋าติดตัวริเกลตลอดค่ะ”
เธอพูดออกมาแบบนั้นพร้อมทั้งตบไปที่กระเป๋าด้านข้างตัวฉัน ซึ่งเหมือนว่าจะเก็บเป็นอย่างดี แม้จะมีเกราะเหล็กอยู่ด้านใน แต่ก็ไมาส่งเสียงออกมาเลยแม้แต่น้อย
“ดี งั้นเตรียมใส่ชุดตอนถึงเวลานัดหมายด้วยล่ะ ฉันอยากให้เธอไปดูลาดเลาด้วยตัวคนเดียวก่อน ถ้ามั่นใจว่าปลอดภัยแล้วค่อยพาเจ้าชายไป”
“อ้า งี้นี่เอง เข้าใจแล้วค่ะ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นฉันจะให้แฟลชบินมาหานะคะ ถ้าเห็นเขาอยู่คนเดียวก็รีบพาเจ้าชายถอยกลับได้เลย”
เอ๊ะ อ้าว เคียร่าได้บอกเรื่องแฟลชกับหัวหน้าแล้วเหรอ? อ้าว เขาก็ตอบว่า ‘เข้าใจแล้ว’ อย่างง่าย ๆ เลยล่ะ อ้าว นี่ฉันตกข่าวอะไรไปตอนไหนเรอะ?
และเพราะเหมือนจะเห็นว่าฉันกำลังเอ๋อกับบทสนทนา เคียร่าจึงหัวเราะเบา ๆ และช่วยอธิบายให้
“ฉันบอกหัวหน้าไปแล้วน่ะ ทั้งเรื่องของแฟลชแล้วก็แฟร์”
‘เอ๋!! ไม่ใช่ว่าต้องเก็บเป็นความลับเหรอ!!’
พอได้ยินแบบนั้นฉันก็ส่งเสียงร้องออกมาด้วยความตกใจทันที แม้ว่าจะกลั้นเสียงให้ไม่ดังเกินไปก็ตาม ก็ยังเป็นเสียงที่ดังอยู่ดี…
พอได้เชื่อใจใครแล้วชะล่าใจมากจริงวุ้ย อย่าบอกนะ! คงไม่ใช่ว่าบอกไอ้โอเรลไปแล้วหรอกนะ!!
“แต่ก็บอกแค่ส่วนน้อยแหละ มีแค่หัวหน้ากับเจ้าชายน่ะที่รู้ ส่วนโอเรลไม่ทันได้มีโอกาสบอก”
อ้อ เฮ้อ…ค่อยสบายใจไปหน่อยนึง อย่างน้อยหมอนั่นก็ยังไม่รู้ ถึงเคียร่าจะอยากเป็นเพื่อนกับใคร สนิทกับคนแบบไหนฉันก็ไม่ติดขัดอะไรหรอก…แต่ว่า ไม่อยากให้เชื่อใจโอเรลแบบสนิทใจขนาดนั้นเลย อย่างน้อยก็ดูท่าทีกันให้มากกว่านี้เหอะ
ต่อให้จะเข้ากันกับฉันไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ให้มั่นใจจริง ๆ ว่าเป็นคนที่ไว้ใจได้ พักหลังมานี้พอเริ่มมีงานที่มากขึ้น เรื่องของเคียร่าที่ฉันจะรู้ได้ก็มีน้อยลง…พวกอิกนิสก็เหมือนกัน พอแฟร์มีงานมากขึ้นก็แทบไม่ได้เจอกันเลย
การเติบโตนี่น่ากลัวจริงแฮะ รู้สึกเหงา ๆ ขึ้นมาด้วย…
แล้วพวกเราก็พักผ่อนสำหรับคืนนี้ เพื่อเตรียมตัวไปเจรจาหารือกับตระกูลบอลก้า และพักจากการเดินทางที่เหน็ดเหนื่อย…
และในคืนนั้นฉันก็ฝันเห็น มังกรตัวสีเหลือซึ่งนอนอยู่บนกองสมบัติจำนวนมาก หันมามองทางนี้และ…แสยะยิ้มให้อย่างน่าสยดสยอง
จนต้องสะดุ้งตื่นด้วยความกลัว เพื่อมาพบว่า ถึงเวลานัดหมายเรียบร้อยแล้ว…
—————————- —————–
ณ เมืองหลวงประเทศ เซทเฟร่า
จดหมายจากเคียร่าบอกถึงการนัดหมายเพื่อคุยตกลงเป็นพันธมิตรกัน พร้อมทั้งบอกแผนการคร่าว ๆ ว่าเธอเองก็จะเดินทางมาหาตระกูลบอลก้าที่อยากจะล้มราชวงศ์ฟัวกราเช่นกัน…
ตระกูลนั้นมีข่าวบาดหมางกับพวกราชาด้วยเหรอ? ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยแฮะ แต่เรื่องนั้นก็เอาไว้ก่อน! นอกจากจะได้เจอเคียร่าแล้ว คราวนี้ยังมีโอกาสได้ไปทำงานข้างนอกด้วย!!
เย้!! ลาก่อนโต๊ะทำงานเน่า ๆ!!
“อิกนิส!!”
“กรร? กรร!!!”
ฉันเปิดประตูคอกมังกรขนาดใหญ่ ที่เป็นคอกเดี่ยวสำหรับอิกนิสเพียงตัวเดียวโดยเฉพาะ เลยตะโกนชื่อของเขาออกมาอย่างดัง
เจ้าตัวพอได้ยินแบบนั้นก็เด้งหัวขึ้นมาและร้องอย่างสงสัย ก่อนจะยิ้มร่าและลุกจากการนอนมาร้องอย่างร่าเริง พร้อมทั้งวิ่งเข้ามาโดดใส่ฉันทันทีจนล้มลงไปนั่งกับพื้น
“โธ่ บอกแล้วไงนายตัวใหญ่มากแล้วนะ ฮะ ๆ เข้าใจแล้วน่า ไม่ได้เจอกันนานเลยเนอะ”
ไม่ว่าฉันจะพูดอะไรไปในตอนนี้อิกนิสก็แทบไม่สนใจแม้แต่น้อย พร้อมทั้งกระโดดใช้ขาหน้าพุ่งเข้าใส่ฉัน และเลียหน้าไม่หยุดโดยส่ายหางไปมาอย่างรุนแรง
อา…ไม่ได้มีโอกาสมาหาอิกนิสนานเท่าไหร่แล้วนะ ไม่ใช่แค่อิกนิสที่คิดถึงอีกฝ่าย ฉันเองก็รู้สึกคิดถึงเขามากเช่นกัน จึงใช้สองมือกอดและลูบเขาอย่างอ่อนโยน
จนต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่กว่าอิกนิสจะสงบลงได้แล้วหยุดโดดใส่
“นี่อิกนิส พวกเราไม่ได้ออกไปข้างนอกด้วยกันสักพักแล้วเนอะ”
ฉันยิ้มกว้างออกมา และใช้มือสองข้างจับแก้มของเขาถูไปมา จนเจ้าตัวยิ้มปริ่มพร้อมกับพยักหน้ารัวเป็นการตอบ
“ออกจากเกาะนี่ยิ่งเข้าไปใหญ่เลยเนอะ!”
“กรร!”
คราวนี้เป็นเสียงร้องที่ตอบกลับมา และหางที่ส่ายจนฝุ่นคลุ้ง ฉันเองก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้นเข้าไปใหญ่เช่นกัน
“แล้ว จำเคียร่ากับริเกลได้ไหม?”
พอพูดเกริ่นเช่นนั้น เขาก็เปิดตากว้างและรีบพยักหน้าอย่างเร็ว หางเองก็ยิ่งตบพื้นจนเกิดเสียง ตุบ ตุบ
“พวกเราจะไปเจอทั้งคู่ที่นอกเกาะกัน!!”
“กรร!!!”
พอฉันพูดสรุปใจความจบ อิกนิสก็ส่งเสียงร้องออกมาอย่างรื่นเริง และกระโดดด้วยขาทั้ง 4 จนตัวลอยพร้อมกับวนไปมา คงจะดีใจมากจริง ๆ ล่ะนะ
เอาล่ะ จะไปหาแล้วนะเคียร่า!!
————————– ———-‐——–
เพราะถูกกำหนดหน้าที่เอาไว้มาตั้งแต่เกิด ว่าจะต้องเป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เลยต้องอยู่กับเจ้าชายของฟาเรเรียมาตั้งแต่เด็กอย่างเลี่ยงไม่ได้…และเขาคนนั้นช่างแตกต่างกับฉัน
ตัวตนที่เกือบจะเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าอะไรก็สามารถทำได้ ต่างกับฉัน ไม่ว่าจะเจอใครผู้ใหญ่แบบไหนก็เชื่อฟังและยิ้มแย้มเสมอ ต่างกับฉัน ยิ่งเพราะมีตัวตนที่ด้อยกว่าอยู่เคียงข้าง เขานั้นก็ยิ่งเด่นชัดขึ้นมา ไม่ว่าจะอะไรก็ตามหลังเจ้าชายไปทุกอย่าง
นั่นแหละ โอเรล ยาล
‘ไม่เห็นเป็นไรเลยหนิคะ คุณโอเรลเป็นในแบบที่ตัวเองเป็น…แค่นั้นก็พอแล้วค่ะ’
นั่นคือสิ่งที่เคียร่าพูดออกมา เธอเป็นคนแรกที่ไม่เคยดูแคลนฉัน เป็นคนแรกที่ไม่เคยเอาฉันไปเทียบกับเจ้าชาย และเป็นคนแรก…ที่มองมายังตัวตนของฉันเท่านั้น
แต่เจ้าชายเองก็หมายตาเธอไว้เช่นกัน ดังนั้นจึงได้ตัดสินใจ ว่ามีเรื่องนี้เรื่องแรกและเรื่องเดียว ที่จะไม่อยากยอมแพ้เขาเด็ดขาด
ทว่า
‘กรร!’
เสียงขู่ร้องในลำคอของมังกรตัวยักษ์ที่น่าขนลุก ดังขึ้นเหนือหัวพร้อมทั้งลมจากจมูกที่ราวกับต้องการผลักไสพวกเราออกไปไกล นั่นคือริเกล แต่เคียร่ากับอยู่สิ่งมีชีวิตแบบนั้นได้อย่างสนิทสนม เจ้าชายเองก็เริ่มเข้ากับมังกรตัวนั้นได้ แต่สำหรับฉันแล้วไม่มีทางหรอก…เจ้าสัตว์ร้ายนั่น
ถึงกระนั้นก็ยังคิดว่าเข้ากันได้ ยังเข้ากับเธอได้เสมอ และตัวตนอย่างริเกลนั่นยังไงซะก็ไม่สำคัญ…ฉันยังคิดเสมอว่าเคียร่าให้ความหวังตลอดเวลา ก็เพราะเธอน่ะ…
‘เรื่องทางบ้านลำบากหน่อยนะ เอ้านี่ ฉันให้เครื่องรางนะ’
เธอมอบเครื่องรางสุดพิเศษที่พกพาได้ง่ายกับฉันในตอนที่ต้องเดินทางไปบ้านของพ่อที่บอลก้า เพื่อคุยเรื่องสงครามที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ว่าฉันจะเลือกฝ่ายไหน ของขวัญสุดพิเศษ ที่ทำให้ฉันเป็นคนพิเศษ ฉันคิดแบบนั้นแล้วดีใจมากจริง ๆ
“ดังนั้น กระผมไม่มีทางทรยศพวกเธอเด็ดขาด”
ในตอนที่ราชาของฟัวกราเรียกไปเข้าเฝ้า จึงได้ตอบกลับไปเช่นนั้นอย่างหนักแน่น ผู้ช่วยของราชาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟในขณะที่พวกเราอยู่ในห้องประชุมส่วนตัว แต่ราชากลับมีเพียงรอยยิ้มแห่งความพึงพอใจ
และพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสนุกสนาน แล้วยื่นมือมาแตะไหล่ของฉัน ทำให้รู้สึกเสียวสันหลังวูบราวกับมีบางอย่างไหลเวียนทั่วร่างกาย อะไรน่ะ?
“แกยังไม่รู้ตัวดีว่าต้องการอะไรไอ้หนู แล้วถ้ารู้ตัวเมื่อไหร่…พวกเรามอบมันให้แกได้แน่ ทุกอย่างเลย”
แน่นอนว่าถึงจะทิ้งท้ายเอาไว้เช่นนั้นฉันก็ไม่หวั่นแม้แต่น้อย แล้วหันหลังกลับไปหาพวกเคียร่าอย่างผ่าเผย…จนกระทั่งวันนั้น ก่อนที่ฟาเรเรียจะโดนปิดประเทศ
ฉันที่อยู่กับเจ้าชายเหมือนทุกวันบังเอิญเห็นว่ามีของหล่นจากกระเป๋ากางเกงเขา จึงหยิบมันขึ้นมา
“เฮ้ นั่นนายทำอะไรตกน่ะ—”
แต่เมื่อได้เห็นของชิ้นนั้น ความปั่นป่วนก็เกิดขึ้นในใจทันที
“อ้อ เครื่องรางที่เคียร่าทำให้น่ะ เห็นว่าเธอทำให้กับทุกคนที่สนิทเลยนะ”
เขาพูดออกมาด้วยสีหน้าระรื่นตามปกติ ทุกคน? ให้กับทุกคนงั้นเหรอ? ทำไม…ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม…ทำไม!!
ทำไม ถึงไม่เคยมีอะไรที่เป็นของฉันคนเดียวเลยล่ะ! ทำไมแกจะต้องมีทุกอย่างเลยล่ะ! ทำไม!!
“รู้แล้วสินะเจ้าหนู…ว่าแกต้องการอะไร”
ราชาฟัวกราพูดออกมาอย่างพึงพอใจ แต่ว่าในสายตาของฉันเขาที่นั่งอยู่บนบัลลังก์นั้น ราวกับว่ามี…เงาของมังกรสีเหลืออยู่ด้านหลัง กำลังแสยะยิ้มกว้างอย่างน่าสยดสยองอยู่ก่อนจะพูดออกมา และฉันเองก็…
กำลังทำแบบเดียวกัน
“แก/ฉันจะได้ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ต้องการ”