“อุ๊…”
‘เคร้ง เคร้ง’
เมื่อรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาสิ่งแรกที่ได้ยินเลยคือเสียงของโซ่กระทบกัน ต่อด้วยความรู้สึกเจ็บปวดที่ยังคงเหลืออยู่จากบาดแผล ทำให้ฉันตื่นและเริ่มทบทวนความจำตัวเองอีกครั้ง…
โอเรล…ทรยศพวกเรา แต่ตอนนี้ฉันก็ยังไม่ตายและถูกจับตัวเองไว้ แผลเองก็ได้รับการรักษาเบื้องต้นบ้างแล้ว ซึ่งก็แค่ระดับที่ให้ไม่ตายเท่านั้น
ตอนนี้ดูเหมือนว่าฉันจะโดนขังเอาไว้ในคุกของที่ไหนสักที่ กลิ่นอับชื้นแบบนี้คงอยู่ใต้ดินห่างไกลจากแสงสว่างพอควร ที่ข้อมือถูกล่ามโซ่และดึงขึ้นแล้วเหนือหัวเล็กน้อย ขาเองก็โดนล่ามเอาไว้แบบเข่าชนกัน ท่านั่งตอนนี้ฉันเลยเหมือนตัว W
ชุดก็ถูกเปลี่ยนกลายเป็นผ้าบาง ๆ เพียงเล็กผืนเดียว ที่เหมือนแค่เอาเศษผ้าผืนใหญ่มาเจาะรูตรงแขนสองข้างเอาไว้ เวลาขยับทีก็รู้สึกได้ถึงลมเย็นที่ทำให้ร่างกายหวิว ๆ เข้ามาทันที
รสนิยมแย่ชะมัด
“…ริเกลล่ะ”
สิ่งต่อมาที่ฉันนึกถึงนั่นก็คือริเกล สหายข้างกายที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก ในตอนที่ฉันยังช็อกกับการกระทำของโอเรล ริเกลก็เป็นคนไหวตัวทันและช่วยปกป้องไว้จนดึงสติของตัวเองกลับมาได้ แต่ก็เพราะแบบนั้นริเกลจึงเสียท่าเหมือนกัน…
ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเธอฉันคงทนไม่ได้แน่
“ตื่นมาก็เรียกหาเจ้าสัตว์นั่นเลยนะ”
เสียงของชายหนุ่มดังขึ้นจากด้านนอกของกรง ทำให้ฉันหน้านิ่วคิ้วขมวดขึ้นมาในทันที ความร้อนรุ่มก่อขึ้นในจนรู้สึกอึดอัด มันคือความรู้สึกที่ไม่ได้เป็นมานานมากแล้วเพราะพยายามปกปิดมันเอาไว้ในส่วนลึกของจิตใจ แต่ในครั้งนี้มันโหมกระหน่ำขึ้นมา
นั่นคือความโกรธ
“…แล้วคาดหวังจะให้ฉันเรียกอะไรอีกล่ะ คนทรยศเหรอ?”
“พอเป็นแบบนี้แล้วเธอพูดจาโหดร้ายจังนะ”
โอเรลเดอนเข้ามาในสายตาของฉันจากอีกฝั่งของกรงขัง โดยที่บนใบหน้านั้นยิ้มกริ่มอย่างพึงพอใจ อย่างกับคนละคนกับโอเรลที่ฉันรู้จักเลย…
“ถ้าว่างนักก็ตอบคำถามฉันมาดีกว่า ริเกลอยู่ไหน เธอปลอดภัยรึเปล่า”
เมื่อฉันดึงดันที่จะรับรู้เรื่องของริเกลทำให้สีหน้าของโอเรลเปลี่ยนไป กลายเป็นใบหน้าโกรธจัดและกัดฟันแน่นอย่างไม่พอใจ ก่อนจะเค้นคำพูดออกมา
“อะไรก็ริเกล…มีอะไรก็มังกรนั่นตลอด…เธอจะแต่งงานกับมันรึไง!!”
“ห๋า ยังไม่ตื่นดีรึไง ริเกลเป็นคู่หูคนสำคัญของฉัน เธอเป็นเพื่อนที่ไม่มีใครมาแทนที่ได้ นายก็เป็นเพื่อนกับฉันมาตลอดก็น่าจะเข้าใจไม่ใช่เรอะ”
“ไม่เข้าใจอะไรเลย…”
โอเรลก้มหัวลงมองพื้นจนไม่เห็นใบหน้าของเขาว่ารู้สึกอะไรอยู่ แต่ว่ามือทั้งสองข้างของเขานั้นกำหมัดแน่นและไหล่ก็เริ่มสั่น แปลกจังนะ ทั้งที่ยังโกรธเรื่องโดนทรยศอยู่ แต่…กลับมีความรู้สึกเป็นห่วงอยู่ลึก ๆ ในใจ
“เฮ้ เป็นไรไหม—”
“เธอมันไม่เคยเข้าใจอะไรเลย!!”
ฉันพึมพำออกไปด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแต่เกรงว่ามันคงส่งไปไม่ถึง เพราะว่าเจ้าตัวดันตะโกนออกมาเสียงดังราวกับคนเสียสติ พร้อมทั้งรีบหยิบกุญแจมาเปิดประตูกรงขังออกก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ฉัน
และแน่นอนว่าเมื่ออีกฝ่ายเข้ามาด้วยอารมณ์โกรธ ฉันเองก็ไม่อาจเก็บความโกรธของตัวเองได้เหมือนกัน
“ฉันจะไปรู้เรอะ ทั้งที่ก็คิดว่าจะเชื่อใจนายได้แล้วแท้ ๆ ทั้งที่สัญญาว่าจะช่วยเหลือกันแล้ว ทั้งที่…คิดว่าเป็นเพื่อนกันซะอีก แต่ไม่เข้าใจเลยว่านายทำแบบนี้ต้องการอะไรกันแน่!”
เขายืนนิ่งเงียบมองต่ำลงมาหาฉันที่นั่งอยู่ติดกับพื้น ตอนนี้ในดวงตาของเราทั้งคู่คงมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันก็คือ ความโกรธ
“ถ้าให้เดานะ คงคิดแผนนี่เพื่อกำจัดทั้งฉันทั้งเจ้าชายสินะ งั้นก็เปล่าประโยชน์แล้วล่ะ ป่านนี้เจ้าชายคงหนีไปแล้ว และเขาก็เปลี่ยนไปแล้ว ถึงฟาเรเรียจะอ่อนแอแต่ตอนนี้ไม่ได้โง่อีกต่อไปแล้ว ถ้าหากว่าเจ้าชายยังอยู่ ฟัวกราไม่มีทางเอาลงได้ง่ายอย่างที่คิดหรอก”
เมื่อฉันยิ่งคิดถึงสิ่งต่าง ๆ ในใจก็ยิ่งปั่นป่วนรวนไปหมด ราวกับทุกสิ่งทุกอย่างย้อมไปด้วยความโกรธจนหมดสิ้น เหมือนกับว่า…กำลังสูญเสียตัวตนของตัวเองไปทุกครั้งที่ระเบิดอารมณ์
“…ถึงปากจะบอกว่าเราเป็นเพื่อนกันมาหลายปี…เธอก็ยังไม่รู้อะไรเลยสินะ เกี่ยวกับฉัน”
“ก็ถ้าไม่พูดใครมันจะไปรู้ด้วยล่ะวะ!! ก็พูดออกมาสิ!”
“เออ!! ฉันรักเธอ!!”
“…หะ”
หะ…ในตอนที่สติเริ่มจมดิ่งไปกับความโกรธนั้น คำพูดของโอเรลทำให้ดึงตัวเองกลับมาได้และหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะส่งเสียงแห่งความตกใจออกมา
ห๊ะ เมื่อกี้…หมายความว่ายังไง?
“ดูเหมือนเธอจะยังไม่เข้าใจสินะ ที่เธอพูดมาน่ะคือสิ่งที่ราชาต้องการ แต่ว่าสิ่งที่ฉันต้องการน่ะ”
เขาย่อเข่าลงมาให้ใบหน้าอยู่ในระดับเดียวกันกับฉันพลางเว้นช่วงเล็กน้อย โดยที่ฉันยังตกใจอยู่นั้นโอเรลก็ยื่นมือมาบีบแก้มของฉันให้จ้องมองไปที่ดวงตาของเขา
“สิ่งที่ฉันต้องการ…คือเธอ”
ฉันอ้าปากค้างกับคำตอบของเขาจนทำตัวไม่ถูกและแข็งทื่อไป ในขณะนั้นใบหน้าของโอเรลก็เข้ามาใกล้เรื่อย ๆ อย่างเชื่องช้า ฉันรู้ได้ในทันทีว่าเขาพยายามจะประกบริมฝีปากเพื่อจูง ดังนั้น…
“อ๊าก!!”
ฉันกัดฟันแน่นและใช้หัวพุ่งเข้าใส่เขาในทันที ทำให้เกิดเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ดูท่าที่ปากและจมูกนั้นมีเลือกไหลออกมา และหัวฉันที่โขกเข้าอย่างรุนแรงก็เช่นกัน จนรู้สึกปวดร้อนขึ้นมาตุบ ๆ
“นายคิดบ้าอะไรอยู่ คิดว่าทำแบบนี้แล้วฉันจะชอบนายขึ้นมารึไง นี่ทำทั้งหมดไปเพื่อเรื่องแค่นี้งั้นเหรอ!?”
“เรื่องแค่นี้…นี่เธอบอกว่ามันเป็นเรื่องแค่นี้งั้นเหรอ!!”
โอเรลเปิดตากว้างและพึมพำสิ่งที่ฉันพูดออกมา ก่อนจะหันมาตะคอกใส่ด้วยใบหน้าที่อาบไปด้วยเลือด
“นายจะให้เรื่องแบบนั้นมาทำลายความสัมพันธ์ของพวกเราเรอะ? ยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อของแบบนี้น่ะเรอะ? นี่มัน…ดูไม่ใช่ตัวนายเลยนะ”
ในตอนที่ฉันดึงสติออกมาจากความโกรธได้ ฉันก็ทบทวนตัวเองอีกครั้งอย่างรวดเร็ว เมื่อกี้ความรู้สึกมันพลุ่งพล่านออกมามาก…มากจนเกินไป ราวกับว่าโดนสะกดจิตเอาไว้
ดังนั้นอาจจะเป็นเหมือนความหวังอันเห็นแก่ตัว…ว่าที่โอเรลเป็นเช่นนี้ก็เพราะอะไรที่คล้ายกัน
“…เธอจะบอกว่าพลังของท่านมังกรพิภพ คือสะกดจิตงั้นเหรอ?”
“พลังของ…มังกรพิภพ?”
“อา…นั่นสินะ เธอคงไม่รู้หรอก เพราะนี่เป็นความลับภายในของฟัวกรา…ฉันจะบอกเธอให้เป็นพิเศษเลยนะ”
ทันทีที่หัวข้อสนทนากลายเป็นเรื่องนี้ สีหน้าโกรธจนคลั่งของเขาก็หายไป แทนที่ด้วยดวงตาที่เหม่อลอยอย่างเคลิบเคลิ้ม ราวกับสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
เขาล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อของตัวเองและหยิบบางอย่างออกมา…มันคือกล่องใส่แหวนขนาดเล็กซึ่งมีตราสัญลักษณ์ของฟัวกราประดับอยู่
และในขณะที่เขาเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าราวกับกำลังทะนุถนอม ก็อธิบายเสริมไปด้วย
“ถ้าเป็นเธอคงรู้อยู่แล้วสินะ ว่ามังกรพิภพมีอยู่ทั้งหมด 8 ตัว”
“…อา ทั้งในตำนานของศาสนาวารุน และบันทึกโบราณก็บอกเอาไว้เหมือนกัน…แต่มีแค่พ่อของริเกล ที่มีบันทึกข้อมูลเอาไว้ ส่วนตัวอื่นนั้นยังเป็นปริศนา”
“สมแล้วที่เป็นเธอ”
พูดจบเขาก็หยิบกล่องใส่แหวนนั่นเปิดขึ้นมาให้ฉันดู ภายในนั้นมีแหวนซึ่งถูกแกะสลักไว้อย่างสวยงามวางอยู่ ซึ่งมันเป็นหัวของมังกร…ที่มองมาทางนี้
“!!”
ทันใดนั้นเอง ดวงตาของมันก็ส่องแสงวาบเข้ามาพร้อมกับภาพบางอย่างที่ปรากฏในหัว ฉันมองเห็นแค่แวบเดียวว่ามันคือมังกรตัวสีเหลืองนอนอยู่บนกองสมบัติขนาดใหญ่
แต่ไม่ทันที่มันจะหันมามองทางนี้ ฉันก็ชิงปิดตาของตัวเองและสะบัดหน้าหนีจากแหวนนั่นไปทันที
“อึก!!”
เพราะแบบนั้นทำให้รู้สึกปวดหัวขึ้นมาจนขึ้นไปถึงสมอง ฉันรู้ดีว่าอาการแบบนี้มันคืออะไร…มันคือสิ่งที่เกิดขึ้นหากเราตัดขาดกับเวทมนตร์ที่ไหลเข้าร่างอย่างฉับพลันเกินไป พลังเวทที่ควรไหลเวียนตามปกติจึงรวนเล็กน้อยและส่งผลให้รู้สึกปวดหัว
แหวนนั่น มันใช้เวทมนตร์บางอย่าง…ไม่สิ มันไม่ได้ใช้ด้วยซ้ำ พลังเวทมันแค่เอ่อล้นออกมามากจนคนที่จ้องเผลอซึมซับมันเข้าไปต่างหาก
“แหวนวงนี้กักเก็บพลังของมังกรพิภพส่วนหนึ่งเอาไว้…มังกรพิภพตัวที่ 3 ท่านแมเมิน มังกรแห่งความโลภ”
พูดจบเขาก็ปิดกล่องแหวนเอาไว้อีกหน ราวกับไม่อยากให้พลังที่ว่าล้นออกมามากเกินไป แต่ว่า พลังของมังกรแห่งความโลภ…เหรอ ถ้างั้นก็คงใช่จริง ๆ
“นาย…รับพลังจากแหวนนั่นเหรอ”
“ใช่”
“แล้วรู้ใช่ไหม…ว่ามันสะกดจิตนายด้วย นายกำลังเสียตัวตนนะ”
หลังพูดจบออกไปแบบนั้นเขาก็เปิดตากว้างด้วยความตกตะลึง ไม่รู้ตัวเลยงั้นเหรอ? เขาค่อย ๆ ลุกขึ้นแล้วใช้มือกุมหัวของตัวเองราวกับเจ็บปวด ถ้าช่วยดึงสติ…จะได้ไหมนะ
“อา…”
“โอเรล แหวนนั่นอันตรายนะ พลังของมังกรพิภพนั่นก็ด้วย นายกำลัง—”
“อา ฮะฮะฮะ!! ว่าแล้ว เธอต้องคิดแบบนั้น ฮ่า ๆ ๆ!!!”
ยังไม่ทันที่ฉันจะพูดจบเขาก็หัวเราะลั่นออกมาอย่างน่ากลัว ก่อนจะใช้มือปิดหัวของตัวเองบิดไปมาอย่างน่าสยดสยอง และเหลือบมามองทางฉัน
“ท่านแมเมินไม่ได้สะกดจิตพวกเรา…แต่แค่ให้พวกเรารู้ตัวต่างหาก ว่าต้องการอะไร”
“…”
“พลังเวทของท่านช่วยปลดปล่อยพวกเรา!! นี่แหละคือตัวตนของฉัน!!”
ในตอนนี้ฉันก็เข้าใจได้ในทันที มันคงไม่สำคัญอีกแล้วว่าเวทนั่นทำอะไรไปกันแน่ แต่ว่ามีสิ่งหนึ่งที่เป็นความจริงอย่างไม่เปลี่ยนแปลงแน่นอนนั่นก็คือ…
โอเรลเสียสติไปอย่างสมบูรณ์แล้ว
“อะไร…มองฉันด้วยสายตาแบบนั้นมันหมายความว่ายังไงกัน??”
เขาที่หัวเราะอยู่นั้นเหลือบมามองทางนี้อีกครั้งแล้วหยุดชะงักไปทันที แล้วถามออกมาด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบอย่างน่ากลัว พร้อมทั้งเดินเข้ามาใกล้อีกครั้งโดยขยับคอไปมาซ้ายขวา
“มองด้วยสายตาแบบนั้นมันหมายความว่าไงกัน!!”
“อั่ก!!”
เขาตะคอกออกมาอีกครั้งด้วยความบ้าคลั่ง พร้อมทั้งใช้เท้าเตะเข้ามาที่ท้องของฉันอย่างแรง จนสำรอกออกมาและขดตัวจนเกิดเสียงกระทบกันของโซ่อีกครั้งหนึ่ง
หลังสำรอกสิ่งที่ไหลออกมาจากปากหมดแล้ว ฉันก็กลืนน้ำลายพร้อมทั้งกัดฟันมองขึ้นไปหาเขา และช่วยตอบคำถามให้
“ถามมาได้…นายนี่มัน…น่าสงสาร…”
ใช่แล้ว…หลังจากได้ฟังเรื่องราวจนพอจับต้นชนปลายได้ ทั้งความโกรธและความเกลียดชังที่มีต่อเขาก็หายไป แล้วแทนที่ด้วยความสงสารจากใจจริง ถึงแม้จะโดนเขาถีบฉันก็ยังมองเขาด้วยสายตาเวทนาเช่นเดิม
นั่นคงทำให้เขายิ่งฉุนขาดกว่าเดิม
“ฉันน่ะเรอะน่าสงสาร! ไม่มีทางซะหรอก!!” เขาเปลี่ยนจากเตะท้องกลายมาเป็นเตะเข้าที่หน้าของฉัน
“หรือว่าเธอเองก็จะพูดเหมือนกัน!?? ว่าฉันไม่ควรจะเป็นคนแบบนี้ ฉันควรที่จะทำตัวให้ดีกว่านี้ ให้สมกับขุนนาง ให้สมกับที่เป็นเพื่อนของเจ้าชาย…จะบอกให้ฉันทิ้งสิ่งที่ตัวเองเป็นไปเหมือนกันน่ะเหรอ!!”
เขาพูดออกมาแบบนั้นพร้อมทั้งขยี้และจิกหัวของตัวเอง แม้จะดูเหมือนพูดด้วยความโกรธและเกลียดชัง แต่ว่าเมื่อมองลึกเข้าไปในสายตาแล้ว…เขากำลังหวาดกลัว
งั้นเหรอ…เพราะแบบนั้นถึงได้อึดอัด และเรียกว่านี่คือการปลดปล่อยสินะ…
“ไม่หรอก…ฉันไม่บอกให้นายเปลี่ยนหรอก เพราะนั่นคือตัวตนของนาย”
ในตอนนั้นเอง เขาก็หยุดขยับมือและหันมามองที่ฉันอย่างมีความหวัง แต่ว่า…
“แต่ว่า…ทุกคนก็มีตัวตนของตัวเองทั้งนั้น ทุกคนก็ต้องอดทนอดกลั้นตัวตน อดกลั้นความรู้สึก แล้วก็ความต้องการของตัวเองเอาไว้กันทั้งนั้น…เพื่ออยู่ร่วมกับคนอื่นแบบให้เกียรติกันและกัน เพื่อไม่ให้…ตัวตนของเราไปทำร้ายคนอื่น”
ในตอนนี้ฉันเข้าใจเรื่องหนึ่งได้อย่างถ่องแท้ ว่าพลังของมังกรพิภพที่เขาว่านั้น ไม่ใช่การสะกดจิตจริง ๆ …แต่มันเป็นการ ดึงสัญชาตญาณดิบออกมา จนทำให้ขาดการยับยั้งชั่งใจ
“ฉันเห็นใจนายนะ แล้วก็เข้าใจนายด้วย ดังนั้น…”
ฉันเว้นช่วงพูดเล็กน้อยพร้อมทั้งพยายามเงยหน้าที่ปวดระบมไปหมดขึ้นมามอง และเมื่อโอเรลสบตาเข้ากับฉันก็ต้องสะดุ้งโหยงในทันที ก่อนที่ฉันจะพูดต่อด้วยดวงตาที่หนักแน่นและไม่สั่นคลอนแม้แต่น้อย
“ดังนั้น ฉันถึงไม่มีทางให้อภัยนายแน่”
กรณีของโอเรลเป็นเหมือนกับที่ฉันเคยคิดเกี่ยวกับฟัวกรา…ไม่มีใครหยุดพวกเขาได้อีกแล้ว นอกจากความพังพินาศ