หลังจากได้พบตัวเจ้าชายเหมือนว่าจะอยู่ในสถานการณ์ที่หนักหนามากจริง ๆ จึงได้ตัดสินใจเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฉันฟัง แม้ว่าจะเจอกันครั้งแรกก็ตาม…
“พอจะรู้ไหม ว่าตอนนี้เคียร่าอยู่ที่ไหน”
“…ไม่รู้เลย พวกเราคิดว่าหากเกิดอะไรขึ้นพวกเธอจะหนีมาได้ แต่ ดูท่าจะไม่เป็นแบบนั้น”
“งั้นเหรอ…”
รอบยิ้มบนใบหน้าฉันหายไปหลงเหลือเพียงใบหน้าที่เคร่งเครียด แล้วพยายามเขี่ยเอกสารตรงหน้าซึ่งคือข่าวที่รวบรวมมาในไม่กี่วันก่อนหน้านี้ ซึ่งหนึ่งในนั้นมีข่าวไฟป่าที่หมู่บ้าน และเสียงของการต่อสู้ในวันก่อนหน้านั้นอีก ซึ่งเห็นได้ชัดว่าคือการต่อสู้ของเคียร่ากับคนที่ชื่อโอเรลนั่น…
ไม่มีข่าวของศพมังกรหรือหญิงสาว และอย่างฟัวกราคงไม่มีทางจัดการแบบเงียบ ๆ แน่ ถ้าไม่ทิ้งศพเอาไว้ก็แสดงว่ามองว่าพวกเคียร่าเป็นตัวแปรสำคัญ ถ้าฆ่าก็คงเอามาใช้ให้เป็นประโยชน์อย่างการข่มขู่แล้ว
ดังนั้นจึงเหลือตัวเลือกที่ว่าจับตัวไปไว้ที่ไหนสักแห่ง…
“โบล ฝากไปรวบรวมข้อมูลให้อีกรอบที ว่าในช่วงสามวันก่อนที่มีการต่อสู้เกิดขึ้น มีสัมภาระขนาดใหญ่ผ่านเข้าเมืองไหนบ้าง แล้วถ้าเป็นไปได้ก็ตามสืบให้ด้วยว่าขนไปที่ไหนกัน”
“รับทราบครับ”
“ขอแบบเร็วที่สุดด้วย”
ฉันกำชับเขาไปแบบนั้นก่อนที่เจ้าตัวจะเดินออกจากห้องไป ปล่อยให้ฉันอยู่กับแขกไม่คุ้นตาเพียงลำพัง…ซึ่งพวกเขาก็มองมาที่ฉันได้สักพักแล้ว
“อะไร มองอย่างกับเห็นของแปลกแหนะ”
“…ระวังตัวน้อยพอควรเลยนะ”
ฉันเปิดตากว้างกับคำถามนั้นของชายที่อายุรุ่นเดียวกับโกล เขาคงเป็นองครักษ์ของเจ้าชายที่อยู่ด้านข้างล่ะนะ ว่าแต่หมายถึงอะไรกันนะ ก่อนที่ฉันจะมองไปรอบห้องแล้วก็ได้พบคำตอบ…งี้นี่เอง เพราะฉันอยู่คนเดียวสินะ
“ฮะ ๆ ไม่ต้องห่วงฉันหรอก เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้นกับฉัน คนที่ลำบากคือพวกนายนะ…เห็นข้างล่างแล้วใช่ไหมล่ะ”
คำตอบของฉันนั้นไม่ต่างจากคำขู่ ที่นี่เป็นโรงเตี๊ยมซึ่งสร้างมาเพื่อเป็นสาขาย่อยของทหารรับจ้างฟิว ดังนั้นแล้วทุกคนในร้านนี้ล้วนเป็นลูกน้องของฉันทั้งหมด
แต่ว่าโดยไม่ปล่อยให้พวกนั้นได้ถามอะไรอีก ฉันก็หยิบเอกสารแผ่นหนึ่งขึ้นมาม้วน แล้วโยนไปให้เจ้าชาย
ซึ่งเมื่อพวกเขาอ่านก็ต้องขมวดคิ้วด้วยความตึงเครียดทันที
“แล้วพวกนายจะเอาไงล่ะ”
ใช่ นั่นคือข่าวการตามล่าพวกเจ้าชายที่ในขณะนี้ไล่ตามจับทุกหมู่บ้าน โดยทวีความรุนแรงเป็นค้นทุกครัวเรือน แล้วถ้ากองทัพมาถึงที่บอลก้าเมื่อไหร่ ที่นี่ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ดังนั้นแทบจะเรียกได้ว่าพวกเขาโดนเจอเมื่อไหร่ก็ขึ้นอยู่กับเวลา
“นี่เดี๋ยวสิ…เธอจะตามหาเคียร่าเหรอ?”
“หือ ก็ใช่”
“…ผมขอไปด้วยได้ไหม”
เจ้าชายพูดออกมาด้วยสีหน้าเป็นกังวล แต่ก็ราวกับว่าตัดสินใจบางอย่างได้แล้วจึงพูดออกมา…เจ้าชายถ้าจำไม่ผิด คงเคยพยายามจีบเคียร่าสินะ แต่เธอไม่ทันสังเกตแล้วปล่อยเบลอไป ดังนั้นเจ้าตัวจึงยอมแพ้และอยู่กับเคียร่าในฐานะของเพื่อน แต่ถึงกระนั้นเรื่องที่เคยมีความรู้สึกดีด้วยก็คงยังไม่เปลี่ยนแปลง ดังนั้นจึงเป็นห่วงเธอสินะ
ไอ้หมอนี่…
“บ้าป่าว รู้ตัวไหมว่าพูดอะไรออกมา”
“…”
อาจจะเป็นเพราะคิดมากเรื่องของเคียร่าอยู่ จึงได้รู้สึกว่าหงุดหงิดง่ายกว่าปกติ แล้วเผลอสวนกลับไปด้วยท่าทีที่เป็นกันเอง เออะ ลืมไป อีกฝ่ายเป็นถึงเจ้าชายเลยนะต้องสำรวมกว่านี้หน่อย…
แต่ไหน ๆ ก็หลุดไปแล้ว ช่างมันเหอะ
“คิดว่าเคียร่าโดนจับตัวไปเพราะอะไรกัน เพื่อถ่วงเวลาให้นายหนีออกมานะ แล้วจะเป็นฝ่ายวิ่งเข้าหาเองเนี่ย บ้าป่าวเฮ้ย”
เพราะโดนด่าออกไปแบบนั้นจึงไม่มีเสียงอะไรออกมาจากเขา ฉันก็ชักสีหน้าไม่พอใจใส่แล้วเริ่มล้วงหาเอกสารบนโต๊ะแล้วปาให้เจ้าชายอีกครั้ง
“ถ้ามีเวลาไปคิดเรื่องนั้น เอาไปหาทางหลบหนีซะ”
สิ่งที่อยู่ในมือของเขานั่นก็คือแผนที่ของฟัวกรา แน่นอนว่ามันไม่ใช่แบบปกติทั่วไป แต่ว่าเป็นแผนที่เขียนเส้นทางการหลบหนีเอาไว้อย่างละเอียด แถมยังมีในส่วนของเวรการเฝ้ายาม ตำแหน่งกองทัพหรือเส้นทางการเคลื่อนทัพ
มันคือของแถมจากการที่ให้ไปหาข่าวมาให้อย่างละเอียดนั่นเอง มีหนึ่งในลูกน้องของฉันคิดว่าข้อมูลอย่างอื่นก็น่าจะจำเป็น จึงหามาให้ด้วยซึ่งก็เป็นประโยชน์มากจริง ๆ
แล้วหลังจากนั้น พวกเราก็พูดคุยกับเส้นทางการหนีและแผนการต่อไป โดยแทบจะลืมไปแล้วว่าเมื่อครู่ยังเป็นคนแปลกหน้ากัน
ก็นะ ศัตรูของศัตรูคือเพื่อน เคียร่าเคยพูดเอาไว้เช่นนั้น…
—————————— ———————————
“ไม่อยากจะเชื่อเลยแฮะ…”
ฉันที่ตามร่องรอยซึ่งคาดว่าจะเป็นการขนตัวของริเกลและเคียร่าไปนั้น กำลังยืนมองอาคารดังกล่าวด้วยรอยยิ้มแห้ง ๆ นั่นก็เพราะว่าสถานที่ที่เคียร่าโดนขังไว้นั้น…
“ราชวังฟัวกรา…”
ใช่แล้ว ตรงหน้าของฉันในตอนนี้คือ ปราสาทสูงใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางเมืองอันมั่งคั่ง เจ้าพวกนั้นพาตัวเคียร่ากับริเกลมาขังไว้ในวังกันเลยทีเดียว
“เอาเถอะ…เห็นงี้แล้วพวกนายยังจะตามมาอีกรึไง”
“เพราะเห็นงี้พวกเราถึงต้องตามมาไม่ใช่เหรอครับ ใช่ไหมทุกคน”
“โอ้~”
ฟาริสที่ตอบฉันอย่างขันแข็งนั้นหันไปถามกับทุกคนที่อยู่ด้านหลัง ซึ่งเพราะตอนนี้พวกเราต้องปลอมตัวและหลบอยู่ในเงามืด เสียงตอบกลับที่เห็นด้วยนั้นจึงเป็นเพียงเสียงที่แผ่วเบา นั่นทำให้ฉันถอนหายใจออกมา
ทั้งที่บอกไปแล้วแท้ ๆ ว่าไม่ต้องมาช่วยก็ยังได้…เพราะว่านี่เป็นเหมือนการเอาแต่ใจของฉัน ที่อยากจะไปช่วยเคียร่า การที่พาคนอื่นไปด้วยเหมือนแค่ลากมาพัวพันเข้ากับเรื่องอันตรายเท่านั้น
ซึ่งเจ้าพวกนี้ก็อาสาจะมาช่วยด้วยนั่นเอง ดังนั้นฉันจึงทำได้เพียงถอนหายใจออกมา ช่วยไม่ได้แฮะ
จากนั้นฉันก็สวมผ้าคลุมปิดบังใบหน้าตัวเองกับคลุมผ้าให้อิกนิสที่ขี่อยู่ คนอื่นเองก็ทำแบบนั้นเช่นกันก่อนที่จะตรงไปยังราชวังตรงหน้า…
‘บึ้ม!!’
เสียงระเบิดดังสนั่นไปทั่วที่กำแพงของปราสาท ทหารยามแตกตื่นและรีบรวมตัวกันเพื่อรับมือกับเหตุที่เกิดขึ้น พวกเราเปิดฉากบุกเข้าไปด้วยความวุ่นวาย ซึ่งแบ่งกลุ่ม กลุ่มแรกดึงความสนใจด้วยระเบิดตรงกำแพง และอีกกลุ่มก็ใช้เวลานั้นแอบตรงไปยังคุกใต้ดิน
นั่นก็คือฉันเอง
“จำไว้นะ สิ่งที่พวกเราต้องทำมีแค่พาคนออกมาเท่านั้น ทันทีที่ได้ตัวทั้งคู่แล้วฉันจะส่งสัญญาณอีกที ถ้าเห็นแล้วก็ให้ถอยกันทันทีเลย”
“รับทราบ!!”
เมื่อทวนแผนการอย่างง่ายแล้วพวกเราก็วิ่งผ่าความวุ่นวาย มุ่งหน้าไปยังเส้นทางคุกใต้ดินที่จำแผนผังเอาไว้ในหัว จนถึงเส้นทางลงก็เริ่มไม่ได้ยินเสียงความวุ่นวายด้านนอกแล้ว แต่ว่าพวกเราทุกคนก็หยุดวิ่งแล้วมองไปยังยามเฝ้าคุกด้านล่าง…
สมกับเป็นคุกใหญ่ใต้วัง การป้องกันหนาแน่นมากจนแทบจะหาช่องว่างไม่ได้เลย ถ้างั้นต้องใช้แผนนี้แล้วสินะ…
“ฟาริส จัดการเลย”
“ได้เลย!”
ว่าจบเขาที่รับคำสั่งก็ยิ้มแป้นออกมาและขานรับด้วยเสียงไม่ไม่ดังมากนัก ก่อนจะหยิบบางอย่างออกมาจากกระเป๋าและทำการ พึมพำคำร่ายเวทแล้วโยนเข้าไปหายามที่ยืนเฝ้าทางเข้าอยู่
พวกนั้นสังเกตได้ถึงสิ่งที่เข้ามาและเตรียมรับมือในทันที แต่ก็ไม่มีทางที่จะแก้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้อยู่ดี
‘บึ้ม!!’
เสียงระเบิดดังขึ้นอีกครั้งทำให้ทุกคนที่อยู่ภายในคุกไม่ว่าจะเป็น นักโทษหรือคนเฝ้านั้นต่างตื่นตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในทันที ฉันยิ้มกว้างออกมาและสะบัดสายบังเหียนของอิกนิส จนเขาร้องคำรามออกมาพลางยกขาหน้าขึ้น
“ทำลายกรงขังด้านข้างให้หมด แล้ววิ่งตรงไปเลย!!”
พูดจบทุกคนก็ส่งเสียงเฮออกมาพร้อมกับที่อิกนิสวิ่งตรงเข้าไปในคุกใต้ดิน เป็นสัญญาณให้ลูกน้องของฉันทุกคนนั้นกรูเข้าไปในคุกเพื่ออาละวาดให้หนำใจ นานแล้วนะที่ไม่ได้ทำอะไรบุ่มบ่าม นาน ๆ ที่ทำอะไรแบบนี้ก็กระปรี้กระเปร่าดีเหมือนกันแฮะ
อิกนิสวิ่งตรงไปอย่างไม่มีทีท่าจะหยุดแม้จะมีคนขวางไว้ก็ตาม ฉันจึงหัวเราะออกมาในลำคอและใช้มือขวาจับที่ง้าวพร้อมทั้งเปิดปากพูด
“ภายในหมู่เมฆพายุที่โหมกระหน่ำ สายฟ้าที่กักเก็บอยู่ด้านในเอ๋ย จงอาละวาดออกมาซะ!!”
สิ้นบทร่ายที่ออกมา ฉันเหวี่ยงแขนไปรอบตัวทำให้แสงของไฟฟ้าคลุมรอบด้านหน้าของอิกนิส และเมื่อมันชนเข้ากับร่างของคนที่อยู่ตรงหน้า ก็เกิดเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดทันที
“อ๊ากก!!”
และร่างที่ขวางทางอยู่ก็กระเด็นออกไปด้านข้างพร้อมทั้งสายฟ้าที่ยังแล่นผ่านตัวอยู่ ฉันฟาดง้าวของตัวเองออกไปไม่หยุดทั้งทางซ้ายและขวา ทำให้กรงเหล็กที่ขังนักโทษอยู่นั้น พังทลายลงมาในทันที
เสียงกู่ร้องด้วยความยินดีกับอิสรภาพของเหล่านักโทษดังก้องกังวานไปทั่ว พร้อมทั้งวิ่งออกมาคว้าสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวมาเป็นอาวุธวิ่งเข้าโจมตีทหารคุม คนอื่นซึ่งยังอยู่ในคุกเมื่อเห็นสถานการณ์จึงมาเกาะลูกกรง แล้วเขย่าเรียกให้ปล่อยออกไปเช่นกัน
ตอนนี้ภาพภายในคุกใต้ดินนั้น เป็นภาพที่วุ่นวายจนควบคุมไม่ได้นั่นคือแผนสุดเรียบง่ายที่ฉันเลือกใช้ แต่แน่นอนว่าจุดประสงค์ของฉันไม่ใช่การช่วยคนพวกนี้ แล้วก็ไม่ใช่การกำจัดผู้คุมคุกด้วย แต่ว่าสร้างสถานการณ์แบบนี้มาเพื่อลดสิ่งที่ตัวเองต้องทำลง
เพราะว่าตอนนี้ทหารรอบตัวตื่นตระหนกจนไม่รู้ว่าควรทำอะไรก่อน ระหว่างหยุดพวกเราที่พุ่งเข้ามา หรือตามจับนักโทษที่หนีออกไป ทางของฉันจึงโล่งขึ้นเยอะมาก
“แฟลช เคียร่าอยู่ทางไหน”
“กรร!”
แฟลชขานรับคำถามของฉันพร้อมกับบินออกมาจากกระเป๋าด้านหลัง ก่อนจะเริ่มตรงไปด้านหน้าเป็นการนำทาง อิกนิสก็รู้หน้าที่ทันทีว่าตนเองต้องตามไป
หลังการวิ่งไปได้สักพักบรรยากาศก็เริ่มเงียบสงบขึ้นมา ด้านข้างไม่มีนักโทษถูกใส่อยู่เลยสักคนเดียว ในทางกลับกันทหารก็เยอะมากขึ้น
แต่นั่นก็เป็นสัญญาณว่าใกล้ถึงแล้ว ก่อนที่จะเห็นแฟลชบินวนอยู่หน้าห้องหนึ่ง ห้องนั้นสินะ!!
“เคียร่า!”
“กรร!!”
ฉันบังคับให้อิกนิสเลี้ยวเข้าไปในห้องนั้นแล้วตะโกนเรียกเคียร่า แต่มีเพียงความเงียบที่ตอบกลับมา และภาพตรงหน้าของฉันนั้น…
ชายผมแดงกำลังจับไปที่ตัวของเคียร่าที่มีบาดแผลเต็มตัว ดูท่าจะหมดสติไปเรียบร้อยแล้ว แถมที่สำคัญ…
“แกทำบ้าอะไรกับเคียร่าอยู่วะ!!”
“กรร?”
“ห๋า แกเป็นใค—”
ทันทีที่ฉันตะโกนออกไป อิกนิสก็ส่งเสียงร้องด้วยความสงสัยปนตกใจ เพราะฉันโดดลงจากหลังเขาอย่างรวดเร็ว พร้อมกับที่ชายคนนั้นลุกขึ้นละตัวจากเคียร่า ฉันก็เข้าประชิดตัวเขาอย่างรวดเร็วโดยไม่ปล่อยให้พูดจบ
ฉันกำมือขวาตัวเองแน่นพร้อมทั้งกัดฟันกรอดด้วยความโกรธจัด พร้อมทั้งต่อยเข้าไปที่หน้าของชายผมแดงคนนั้นสุดแรงเกิด ทำให้ใบหน้าของเขายู่ไปตามหมัด และปลิวกระเด็นไปชนกับกำแพงด้านข้างของห้องขัง โดยมีฟันและเลือดที่ออกจากปากของเขาไหลออกมาเป็นสายตามทางที่พุ่งไป
‘ตึง!!’
ร่างนั่นชนเข้ากับกำแพงอย่างจังจนเกิดเสียงของก้อนอิฐที่พังทลาย คงเป็นเพราะว่าตอนนี้ร่างกายฉันยังถูกหุ้มด้วยเวทมนตร์อยู่จึงปล่อยหมัดที่แรงขนาดนั้นได้
สิ่งที่ฉันเห็นหลังจากเข้ามานั้นทำให้โกรธจัดจนเลือดขึ้นหน้า เพราะไอ้หมอนี่กำลังถลกเสื้อของเคียร่าที่เป็นเศษผ้าเละ ๆ ผืนหนึ่งออก จนเริ่มเผยให้เห็นไหล่ของเธอที่เต็มไปด้วยบาดแผล…ไม่สิ ทั่วทั้งร่างของเธอสะบักสะบอมมากเลยต่างหาก
ดังนั้นในตอนนี้ฉันจึงจดจ่อไปที่ไอ้คนที่ทำแบบนี้กับเคียร่า และเขม่นมองด้วยสายตาราวกับเห็นเศษขยะ
“อย่าเอามือเน่า ๆ นั่นมาแตะต้องตัวเคียร่านะเว้ย!!”
——————————————– —————————–
ความทรมานยังคงแล่นไปทั่วร่างอยู่เป็นพัก ๆ เป็นเวลานานเกินกว่าจะจำแล้วว่าเท่าไหร่ แต่ว่าในตอนนี้ก็เริ่มชินกับความรู้สึกนั้นแล้ว
ฉันหลับตาลงตั้งสมาธิจดจ่อไปที่ปลายจมูกของตัวเอง รอจังหวะที่จะโดนดูดพลังเวทไปอีกครั้ง
‘อุก…’
หลังเผลอร้องออกมาด้วยความตกใจเล็กน้อย ภายใต้เปลือกตาของฉันก็มองเห็นแสงที่ฟ้าที่ไหลเวียนไปอยู่ตรงด้านหน้า…ซึ่งเป็นจุดที่อยู่ของปลายจมูกฉัน มันดึงไปจนตรงกลางส่องสว่างวาบหนึ่ง ก่อนจะดับไปแล้วไหลออกไปด้านนอกอีกที…
เหมือนว่าอุปกรณ์นั่นจะเหมือนเครื่องสูบที่ดึงไปจนเต็มถัง ก่อนจะหยุดและย้ายพลังเวทที่เต็มไปไว้อีกที่หนึ่ง นั่นหมายความว่าอุปกรณ์นี้มีขีดจำกัดพลังที่รับไหวอยู่นั่นเอง
‘งี้นี่เอง…ฉันจับทางพวกแกได้แล้ว’
ฉันพึมพำแบบนั้นพร้อมทั้งลืมตาขึ้นมา มองเข็มกลัดที่กำลังดูพลังเวทฉันที่ปลายจมูก พร้อมทั้งขมวดคิ้วทั้งสองข้างเข้าหากันด้วยความตั้งใจ
เวลาที่โดนจับเอาไว้นานวันนั้น มากพอที่จะทำให้รู้โครงสร้างเวทมนตร์ของทุกอย่างที่อยู่รอบตัว ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดูดพลังที่น่าขยะแขยงนี่ หรือแม้แต่โซ่จำนวนมากที่ลงพลังเวทเอาไว้ ฉันก็เข้าใจทั้งหมดแล้ว ดังนั้น…
‘ต้องรีบออกไปหาเคียร่า’