ตอนที่ 187 งานเลี้ยงครบรอบ (18)
“ถ้าสายเลือดตัดไม่ขาด ก็สูบเลือดของคนสกุลเฉินที่เหลือออกมาให้หมดก็สิ้นเรื่องแล้ว”
คำพูดที่บ้าดีเดือดเช่นนี้ ทำให้ทุกคนในงานอดหนาวสั่นด้วยความกลัวขึ้นมาไม่ได้
ดวงตาของเจียงหรงหรงสั่นเทา น้ำเสียงที่พูดออกมาก็มีความสั่นเครือเช่นกัน
“แกกล้าเหรอ”
“หรือคุณจะลองไหมล่ะ”
เสียงทุ้มต่ำอยู่ในลำคอของชายหนุ่มดังขึ้นอีกครั้ง น้ำเสียงราบเรียบทำให้ฟังไม่ออกถึงความรู้สึกยินดียินร้ายใดๆ
แต่ทว่ากลับแฝงความอันตรายที่ทำให้ผู้คนที่ได้ยินรู้สึกผวาจนใจสั่น แทบจะหลุดลอยไปตามสายลมอ่อนๆ วันฟ้าใส
เจียงหรงหรงหน้าถอดสี ก้าวถอยหลังเพื่อตั้งหลัก
อวี๋ซงหัวเราะในลำคอด้วยความเย้ยหยัน แววตาเต็มไปด้วยความดูถูก
ดูเหมือนป๋อจิ่งชวนจะคาดเดาท่าทีการตอบสนองของเจียงหรงหรงได้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เธอไม่พูดอะไร เขาเองก็ขี้เกียจจะเปลืองคำพูดกับเธอไปโดยเปล่าประโยชน์
เขาเพียงแค่ก้มลงมองหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างกายตน
ทั้งๆ ที่หากอยู่ในบรรดาผู้หญิงด้วยกันแล้ว ความสูงแบบนี้ไม่นับว่าเตี้ยเลย แต่ตอนนี้กลับสูงถึงเพียงแค่ใต้คางของเขา
หากเธอต้องการจะมองเขาในระยะประชิดก็จำเป็นจะต้องเงยหน้าขึ้น ก็เหมือนกับเมื่อครู่นี้ ช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับการจูบเธอมากที่สุด
ความแตกต่างของความสูงระหว่างเขาและเธอ เป็นความแตกต่างที่พอเหมาะลงตัวพอดี
ป๋อจิ่งชวนยกมือขึ้นขยี้ผมของเฉินฝานซิงเบาๆ น้อยครั้งนักที่จะมีโอกาสได้เห็นเธอปล่อยผมแบบนี้
ดูสวยมากเลยทีเดียว!
หูของเฉินฝานซิงเริ่มแดงระเรื่อขึ้นเล็กน้อย
เดิมที เธอคิดว่าในสถานการณ์แบบนี้ ถ้าหากเธอไม่รู้สึกเศร้าโศกเพราะความไร้เยื่อใยของคนสกุลเฉิน ก็คงจะรู้สึกสมเพชและถากถางกับพฤติกรรมของพวกเขาอยู่ในใจ
ทว่าเวลานี้ เธอกลับถูกสายตาของผู้ชายคนนี้จ้องจนอ่อนระทวยไปทั้งตัว ไม่รู้ว่าควรจะทำตัวอย่างไร
ใบหน้าหล่อเหลาน่าหลงใหลของป๋อจิ่งชวน นัยน์ตาดำขลับที่ดูแข็งกร้าวคู่นั้น แต่กลับมีรอยยิ้มอ่อนโยนไม่เหมือนใครให้กับเธอเพียงผู้เดียว ราวกับเชือกล่องหนผูกมัดเธอเอาไว้จนไม่มีทางขยับไปไหนได้อีก
ผู้ชายคนนี้มีตัวตนอยู่ตรงหน้าเธอชัดเจนขนาดนี้ เธอจะมีอารมณ์ไปคิดถึงเรื่องอื่นได้อย่างไรกัน
เพียงแต่ว่าถูกจับจ้องด้วยสายตาแบบนี้ จะมีผู้หญิงสักกี่คนกันที่ทนไหว
ดวงตาของเธอฉายประกายเล็กน้อย ก่อนจะเบือนหน้าเพื่อหลบสายตาแล้วยกมือขึ้นปัดผมไปด้านหลังอย่างเก้กัง
เพราะเหตุนี้ ใบหูเล็กๆ สีชมพูระเรื่อของเธอก็เผยออกมาให้เห็น เส้นผมปกคลุมหน้าผากเรียบเนียนเห็นเป็นเงารางๆ เมื่อถูกแสงไฟกระทบจึงสะท้อนความวาวน้อยๆ ออกมา
มือที่กำลังลูบผมอยู่ของป๋อจิ่งชวนกระชับแน่นขึ้น ลึกลงไปในดวงตาดำขลับ ประกายความมืดมนพรั่งพรูออกมาจากส่วนที่ลึกที่สุดจากนัยน์ตาสีนิลสุดล้ำลึกของเขา
“อวี๋ซง” เขาเอ่ยปากขึ้นอย่างฉับพลัน ในขณะที่สายตายังคงไม่ละไปจากใบหน้าของเฉินฝานซิง
“ครับ คุณผู้ชาย”
“นายอยู่นี่แหละ”
“ครับ!”
ป๋อจิงชวนช่วยจัดทรงผมให้เฉินฝานซิง สุดท้ายพูดขึ้นมาเบาๆ
“เราไปกันเถอะ”
เฉินฝานซิงไม่ได้ต้องการจะอยู่ที่นี่ต่อไปตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เวลานี้บอกให้เธอออกไป แน่นอนว่าเธอไม่มีทางปฏิเสธเป็นเรื่องธรรมดา
บอดี้การ์ดนับสิบคนส่วนใหญ่เริ่มมีความเคลื่อนไหว ต่างคนต่างกลับหลังหันเดินออกไปทางบริเวณนอกงาน
เฉินเชียนโหรวที่ยังเอามือปิดปากไว้พยายามสอดส่องสายตาไปทางด้านนอกงาน ช่องว่างที่เล็ดลอดออกมาระหว่างที่กลุ่มคนกำลังเคลื่อนไหวทำให้เธอมองเห็นเงาของสองร่างอยู่ลางๆ
ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งในชุดสูท แม้จะเห็นเพียงแค่เงา แต่ก็รับรู้ได้ถึงราศีแห่งความสูงส่งและน่าเกรงขามอย่างไม่ต้องสงสัย
ผู้ชายคนนั้น เป็นใครกันแน่
ทำไมถึงได้อยู่กับเฉินฝานซิงได้
เฉินเชียนโหรวขมวดคิ้วมุ่น ดวงตาฉายประกายความร้ายกาจ!
ซูเหิงเองก็มองเห็นแล้ว เห็นร่างสูงใหญ่กำยำของชายหนุ่ม และร่างผอมเพรียวบางของเฉินฝานซิง
ทั้งสองเดินเคียงคู่กันไป ถึงแม้จะไม่ได้แสดงท่าทีใกล้ชิดสนิทสนมแต่กลับดูเหมาะสมคู่ควรกันจนน่าประหลาดใจ
โดยเฉพาะตอนที่เฉินฝานซิงหันศีรษะกลับมาแล้วแหงนหน้าขึ้นไปมองชายหนุ่มที่รูปร่างสูงกว่าเธอหนึ่งช่วงศีรษะ รอยยิ้มนั้นที่เปื้อนยู่บนใบหน้า เป็นความสดใสและอ่อนหวานที่ใช่ว่าเขาจะเห็นได้บ่อยๆ
ที่แท้ ฝานซิงไม่ได้มีเพียงความแข็งกระด้าง
เธอยังมีความอ่อนหวานและเสน่ห์ความงามในแบบที่ผู้หญิงควรจะมีอยู่ในตัวด้วย
เพียงแต่ ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยค้นพบมาก่อน
บอดี้การ์ดร่วมสิบคนคุ้มกันทั้งสองคนออกจากงาน ความรู้สึกบีบคั้นอย่างรุนแรงค่อยๆ หายไป บรรยากาศภายในงานผ่อนคลายขึ้นมาเพียงชั่วพริบตา…
–
ลิฟต์สำหรับแขกค่อยๆ เปิดออกอย่างช้าๆ ป๋อจิ่งชวนจูงมือเฉินฝานซิงเข้าลิฟต์ไป
“ไม่ได้บอกว่าอย่างน้อยต้องใช้เวลาอาทิตย์หนึ่งหรอกเหรอ ทำไมถึงได้กลับมาเร็วขนาดนี้”
เฉินฝานซิงยืนพิงกำแพง เงยหน้าขึ้นมองป๋อจิ่งชวนด้วยแววตาเปื้อนรอยยิ้ม
ป๋อจิ่งชวนจ้องมองใบหน้าเธอด้วยดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความหมายลึกซึ้ง ผ่านไปครู่หนึ่ง น้ำเสียงแหบพร่าก็ดังขึ้นเบาๆ ในลำคอ
“ตอนนี้ยังไม่ต้องพูดเรื่องนี้ก่อน”
ในระหว่างที่พูด ร่างสูงใหญ่ค่อยๆ เข้าประชิดตัวเธอช้าๆ!
ตอนที่ 188 รู้หรือยังว่าผมคิดถึงคุณแค่ไหน
เฉินฝานซิงจึงต้องถอยไปจนแผ่นหลังชิด กำแพงอย่างขัดไม่ได้ ลำตัวของเธอแข็งทื่อด้วยความประหม่า
ดวงตาคู่นั้นหันไปชำเลืองมองเขาปราดหนึ่งก่อนจะรีบเบือนหน้าไปอีกทาง
นิ้วอันอบอุ่นของป๋อจิ่งชวนลูบไล้ไปบนใบหน้าขาวเนียนของเธอ สุดท้ายข้อนิ้วก็ไปหยุดอยู่บริเวณสันกรามเรียวแหลมของเธอ ก่อนจะค่อยๆ เชยคางเธอให้หันกลับมาแล้วค่อยๆ ช้อนขึ้นช้าๆ เพื่อจะบังคับให้เธอหันมาสบตากับเขาเสียให้ได้
เฉินฝานซิงจึงจำต้องมองเขา ก่อนจะยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย
นัยน์ตาดำขลับของป๋อจิ่งชวนจ้องเข้าไปในตาของเธอ ราวกับจะกลืนกินเธอเข้าไปทั้งตัว
“รู้ไหมว่าผมจะทำอะไร”
เฉินฝานซิงพยักหน้าเบาๆ รอยยิ้มจางๆ ปรากฏในดวงตาของเธอ “พอจะรู้บ้าง”
นิ้วของป๋อจิ่งชวนลูบไล้ไปมาที่คางของเธอ พลางพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มอย่างเบาๆ “ไหนลองบอกมาดูสิว่าผมอยากจะทำอะไร”
“จูบฉัน”
ป๋อจิ่งชวนยิ้มมุมปาก น้ำเสียงชอบใจที่ทุ้มต่ำน่าฟังเอ่อล้นออกมา
“ได้”
เฉินฝานซิงชะงักไป รับรู้ได้ว่าเขากำลังเข้าใจอะไรบางอย่างผิดไปจึงรีบพูดขึ้นมาอย่างรีบร้อน
“ฉันหมายความว่าคุณอยากจะ…”
เธอรีบอธิบายอย่างรวดเร็ว แต่ยังไม่ทันได้อธิบายให้ชัดเจนก็ถูกชายหนุ่มประชิดตัวเข้ามาเสียก่อน
ร่างกายเธอสั่นเทาและเกร็งจัด มือทั้งสองข้างถูกกดแน่นอยู่บนกำแพงด้านหลัง
ปลายจมูกเต็มไปด้วยกลิ่นลมหายใจหอมสดชื่นของชายหนุ่ม ทำให้เฉินฝานซิงแอบถอนหายใจอย่างโล่งอกอยู่ลึกๆ ร่างกายเกร็งแน่นก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลงอย่างช้าๆ
ทันใดนั้น แขนแข็งแกร่งพลันยื่นตรงเข้ามาโอบเอวของเธอไว้แน่น
สมองของฝานเฉินซิงชะงักงัน ดวงตาคู่นั้นจ้องมองไปยังเขา
ป๋อจิ่งชวนออกแรงโอบเธอแน่นขึ้นกว่าเดิมอย่างไม่อาจควบคุมได้
ผู้หญิงคนนี้มีอิทธิพลต่อเขาจนถึงขั้นที่ใครๆ ก็คาดไม่ถึง
ไม่มีเวลาไหนที่เขาไม่อยากอยู่ใกล้เธอ จูบเธอ หรือกอดเธอเลย ขอเพียงแค่ให้เธออยู่ข้างกายเขา หรือปรากฏตัวให้เห็นอยู่ในสายตาของเขาเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว
ผู้หญิงคือสารเสพติดที่อันตรายกว่าเหล้าเสียอีก
ผู้หญิงอ่อนแอเป็นจุดอ่อนของผู้ชาย
ห้ามเสพติด ห้ามหมกมุ่น ห้ามถลำลึก
สิ่งเหล่านี้เป็นคำเตือนที่ใครบอกกับเขากันนะ
เขาลืมไปแล้ว แล้วก็ไม่อยากจะนึกถึงอีก
ตราบที่เขาต้องการ เขาก็พร้อมที่จะให้
ตราบที่เขาอยากจะได้ เขาก็จะได้รับ
จุดอ่อนก็ช่างจุดอ่อนมันสิ คนอย่างเขา ป๋อจิ่งชวน จะปกป้องไม่ได้แม้แต่จุดอ่อนของตัวเองอย่างนั้นเลยเชียวเหรอ
เมื่อลิฟต์ค่อยๆ เคลื่อนตัวลงมาจนถึงชั้นจอดรถใต้ดิน ป๋อจิ่งชวนจึงค่อยๆ ปล่อยเธอออกอย่างช้าๆ
ในขณะที่เฉินฝานซิงยังคงจับเสื้อของเขาเอาไว้แน่น สองแก้มแดงระเรื่อ
หัวใจของเธอเต้นแรงจนไม่เป็นจังหวะ ไม่รู้ว่าเพราะขาดอากาศไปชั่วขณะ หรือเพราะตื่นเต้นเกินไป ในหัวจึงสับสนวุ่นวายไปหมด
เสียงทุ้มต่ำเปี่ยมเสน่ห์ดังก้องขึ้นข้างหูของเฉินฝานซิง “รู้หรือยังว่าผมคิดถึงคุณแค่ไหน”
คราวนี้ เฉินฝานซิงได้ยินแจ่มแจ้งชัดเจน เพียงแต่เธอยังคงเอาแต่ก้มหน้าเพราะไม่มีความกล้าหาญพอที่จะสู้สายตาของชายหนุ่ม
ถึงแม้ขาทั้งสองข้างของเธอจะยังคงอ่อนแรงอยู่ แต่เธอกลับพยายามเขย่งปลายเท้าอย่างสุดกำลังเพื่อที่จะโอบต้นคอของป๋อจิ่งชวนเอาไว้ให้ได้
“ฉันก็คิดถึงคุณค่ะ”
น้ำเสียงเบาและนุ่มนวลแต่ไม่อาจปกปิดความเขินอายของหญิงสาวดังขึ้น เพื่อที่จะแสดงออกถึงความรู้สึกของตัวเองให้กับชายหนุ่มรับรู้ เธอจึงพยายามทำลายความหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีของตัวเอง
ทั้งๆ ที่ประโยคนี้คือความรู้สึกจริงๆ ของเธอ แต่เธอกลับไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าควรจะใช้คำพูดและท่าทางแบบไหนถึงจะแสดงความรู้สึกของตัวเองออกมาได้อย่างเหมาะสมที่สุด
เธอรู้เพียงแต่ว่านี่คือความต้องการของเธอ เธอหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเขาจะรับรู้ถึงความรู้สึกถึงแท้จริงของเธอได้บ้าง
มือทั้งสองข้างของป๋อจิ่งชวนโอบเอวเธอเอาไว้ พร้อมกับโน้มร่างสูงใหญ่ของตัวเองลงเล็กน้อยเพื่อให้เธอกอดเขาได้โดยไม่ต้องออกแรงมากเกินไป