ตอนที่ 233 แม่มดสองคำนี้ไม่ใช่แค่ข่าวลือไม่มีมูล
เฉินฝานซิงเดินเข้าไปในห้องด้วยท่าทางสบายๆ ราวกับว่ารังสีอำมหิตจากฉู่อี้ไม่ได้อยู่ในสายตาเธอเลยแม้แต่น้อย
แต่เธอกลับมองเขาด้วยสีหน้าที่เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “เพราะงั้นหมายความว่า เมื่อวานที่ฉีดวัคซีนให้นายไป แต่นายก็ยังไม่ยอมตื่นงั้นเหรอ”
สีหน้าของฉู่อี้เคร่งขรึมลงไปกว่าเดิม
“ของพวกนี้เธอเป็นคนจัดแจงงั้นเหรอ”
เฉินฝานซิงเลิกคิ้วพลางหันไปมองเขาด้วยสายตาเฉยชา
ฉู่อี้เข้าใจทั้งหมดได้เพียงชั่ววินาที
ก่อนจะกัดฟันพูด “เธอมันยัยแม่มด”
เฉินฝานซิงเลิกคิ้วก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมาสไลด์ไปมาไม่กี่ครั้งเสียงเพลงที่ดังสนั่นอยู่ในห้องก็เงียบลงทันที
มุมปากของฉู่อี้เผลอกระตุกอย่างควบคุมไม่ได้
ใช้ระบบควบคุมจากสมาร์ทโฟนเลยเหรอ
“ให้เวลาสิบนาที อาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อย”
ปั้ง เสียงประตูถูกปิดอย่างแรง
เสี่ยวเจ้าที่เสื้อผ้ายับยู่ยี่ไปหมดในเวลานี้เดินเข้ามาหาเฉินฝานซิง
เฉินฝานซิงเงยหน้าขึ้นมามองเย่หมิงที่ยังไม่คลายความโกรธอยู่ด้านหลังเขา ก่อนจะเม้นริมฝีปากเบาๆ
“พี่ซิง…”
“อย่ามาทำตัวน่าสงสารกับฉัน แผนสูงกับเด็กสาวที่ใสซื่อก็สมควรโดนอัดแล้ว”
เสี่ยวเจ้าตกใจอ้าปากหวอ “แต่ว่าความคิดนี้เป็นความคิดของพี่นะ”
“แต่นายก็เลือกที่จะไม่ทำตามได้ไม่ใช่เหรอ สรุปแล้ว ยังไงก็เป็นเพราะนาย…”
เสี่ยวเจ้ารีบยกมือแสดงความจำนน “เป็นความผิดของผมเอง ผมยอมแล้ว นี่เป็นสิ่งที่ผมควรรับผิดชอบ”
เฉินฝานซิงพยักหน้า จากนั้นก็เดินไปยังห้องรับแขกเพื่อสำรวจดอกไม้ในแจกันที่ถูกทะนุถนอมอย่างเป็นพิเศษในช่วงสองวันนี้
ดูแลได้ไม่เลวเลย
สิบนาทีผ่านไป ฉู่อี้เปิดประตูออกมาอย่างตรงเวลา
ทั้งยังแต่งตัวดูเป็นระเบียบเรียบร้อย
เสี่ยวเจ้าและเย่หมิงสองคนตกใจอ้าปากค้างจนคางแทบจะหลุดออกมา
ตลอดระหว่างทางที่ไปสตูดิโอถ่ายรายการ ความศรัทธาเลื่อมใสในตัวเฉินฝานซิงของทั้งสองคนไม่แผ่วลงเลยแม้แต่น้อย
“พี่ซิง พี่มีเรื่องลับมุมมืดอะไรของฉู่อี้ไว้ในกำมือหรือเปล่า ทั้งๆ ที่พี่ดูเหมือนจะซื่อตรงไม่มีพิษภัย แถมยังเป็นแค่ผู้หญิงบอบบางตัวเล็กๆ คนหนึ่ง”
ฉู่อี้แอบยิ้มเยาะอยู่ข้างๆ
บอบบางตัวเล็กงั้นเหรอ
ซื่อตรงไม่มีพิษภัยงั้นเหรอ
เหอะ
หากเป็นเมื่อหกปีก่อน เธอเป็นแบบนั้นจริงๆ
ทั้งยังขี้ขลาดกว่าคำบรรยายพวกนั้นร้อยเท่าพันเท่า
ตอนนี้น่ะเหรอ
นอกจากไม่เห็นว่าอีคิวจะมีการพัฒนาแล้ว ฉายา “แม่มด” ของเธอคำนี้ใช่ว่าจะตั้งให้เธอขึ้นมาลอยๆ โดยไร้สาเหตุ
เฉินฝานซิงเพียงแค่ยิ้มุกมปาก “ไม่มีหรอก ถ้าหากเขามีเรื่องลับมุมมืดจริงๆ ฉันคงปวดหัวแย่”
ระหว่างที่พูด เธอก็เลื่อนดูข่าวในอินเตอร์เน็ตไปด้วย
เพราะว่าหลังจากฉู่อี้กลับเข้าประเทศมาก็รับงานจากจือชิ่นเลยทันที เพิ่งกลับเข้าประเทศมาครั้งแรก การตอบรับก็ดีขนาดนี้
อิทธิพลจากดารานี่ไม่ธรรมดาเลย ฝ่ายการตลาดของจือชิ่นทำผลสรุปออกมา ยอดขายเพียงแค่วันเดียวก็เกือบจะเป็นในหนึ่งสามของยอดขายที่ผ่านมาทุกเดือนก่อนหน้านี้แล้ว
หนึ่งในสาม นี่ไม่ใช่ตัวเลขน้อยๆ เลย
ย้อนกลับมาดูทางด้านของซูซื่อ…
หลังจากที่เธอลาออกมา เฉินเชียนโหรวที่มีแฟนคลับจำนวนไม่น้อยก็เข้ามาแทนที่ทันที ทว่า ยอดขายกลับไม่ได้เพิ่มขึ้นเท่าไหร่นัก ไหนเลยตอนนี้จะมีข่าวฉาวด้านลบพัวพัน เรื่องยอดขายนั้นไม่ต้องคิดอะไรเลย มีเพียงแค่ผลลัพธ์เดียวเท่านั้น
แต่ตั้งแต่เมื่อวานที่เฉินเชียนโหรวเป็นลมเข้าโรงพยาบาล สื่อหลักชื่อดังหลายสำนักพากันลงข่าว ภาพลักษณ์ของเฉินเชียนโหรวก็ค่อยๆ ถูกดึงกลับมา
รวมทั้งซูเหิงด้วย
เนื้อหาข่าวเรื่องนั้นมีเพียงแค่
ช่วงนี้ เฉินเชียนโหรวได้รับการกระทบกระเทือนทางจิตใจติดกันหลายครั้ง สภาพจิตใจบาดเจ็บอย่างรุนแรงจนร่างกายรับไม่ไหวเป็นลมล้มไป
ส่วนซูเหิงยอมทิ้งภาระหนักอึ้งจากบริษัท รีบมุ่งตรงไปยังโรงพยาบาลในทันที คอยเฝ้าอยู่ข้างเตียงผู้ป่วยไม่ยอมห่างไปไหน ดูแลเอาใจใส่อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
จากนั้นก็คือ
“ไม่ทอดทิ้ง พึ่งพากันและกัน อันที่จริง รักแท้ก็เรียบง่ายและบริสุทธิ์แบบนี้เอง”
“รักแท้ชนะทุกอย่าง”
“มีคำกล่าวว่าล้มป่วยเป็นเวลานานลูกหลานจะพาลหายหน้า แต่ซูเหิงกับเฉินเชียนโหรวกลับได้พบเจอความจริงใจในยามทุกข์ยาก”
เฉินฝานซิงแสยะยิ้ม นี่น่ะเหรอ พบเจอความจริงใจในยามทุกข์ยาก!
ตอนที่ 234 เพื่อนเก่าสมัยเรียน
เฉินฝานซิงแสยะยิ้ม นี่น่ะเหรอ พบเจอความจริงใจในยามทุกข์ยาก!
ที่แท้ที่ใครๆ เรียกกันว่าพบเจอความจริงใจในยามทุกข์ยากมันเป็นแบบนี้นี่เอง
ฉู่อี้รู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ของเฉินฝานซิงได้อย่างชัดเจน เมื่อเขาเงยหน้าไปมองเธอ ก็เห็นสีหน้าของหญิงสาวเฉยชานิ่งเรียบ ทว่า มุมปากกลับกำลังแสยะยิ้มอย่างเห็นได้ชัด นั่นพิสูจน์ให้เห็นว่าความรู้สึกของเขาเมื่อครู่นี้ไม่ผิดเลย
หลังจากที่เหลือบมองแท็บเล็ตในมือของเฉินฝานซิงและเห็นเนื้อหาด้านบนแล้ว สีหน้าของเขาก็เคร่งขรึมขึ้นมาจนสังเกตเห็นได้
เวลานี้ ยังสนใจความเคลื่อนไหวของสองคนนั้นอยู่อีกเหรอ
ยัยแม่มด เธอนี่เกินเยียวยาแล้ว!
รถจอดในเวลานี้พอดี เฉินฝานซิงเก็บแท็บเล็ตด้วยใบหน้านิ่งเฉย ก่อนจะหยิบหมวกสีดำด้านข้างโยนให้ฉู่อี้ แล้วจึงเปิดประตูรถก้าวลงจากรถไป
เสี่ยวเจ้าและเย่หมิงสองคนก็ตามลงไปด้วย จากนั้นก็เป็นฉู่อี้ที่ลงตามไปทีหลัง
ทั้งสามคนเดิมล้อมฉู่อี้ไว้ตลอดทางที่มุ่งหน้าไปยังอาคารสถานีโทรทัศน์
เฉินฝานซิงเสนอให้เก็บเรื่องการไปไหนมาไหนของฉู่อี้ไว้เป็นความลับ เพราะความโด่งดังของเขาไม่ว่าจะไปที่ไหนก็อาจจะทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายที่ไม่จำเป็นตามมาได้
ทว่าเหล่าแฟนคลับมักจะหาหนทางที่จะรู้เบาะแสของศิลปินที่ตัวเองชื่นชอบได้เสมอ นับภาษาอะไรกับสถานที่อย่างสถานีโทรทัศน์ที่เป็นตำแหน่งที่มักจะมีแฟนคลับมาสำรวจพื้นที่อยู่บ่อยๆ
แฟนคลับที่รู้เรื่องการเดินทางของฉู่อี้มีไม่มากนัก แต่ที่นี่กลับห้อมล้อมไปด้วยกลุ่มแฟนคลับอย่างคับคั่ง
เฉินฝานซิงสังเกตเห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ตอนที่อยู่บนรถแล้ว ในบรรดากลุ่มคนด้านนอก ส่วนใหญ่แล้วล้วนแต่เป็นกลุ่มแฟนคลับของคนอื่น
ในขณะที่ฉู่อี้ลงจากรถ ก็มีแฟนคลับส่งเสียงเรียกขึ้นมาในทันที
“ฉู่อี้ เจ้าพ่อจอเงินฉู่”
“กรี๊ดๆๆๆ”
ฉู่อี้ถึงแม้ว่าจะใส่หมวกอยู่ แต่สีหน้าของเขาอึมครึมอย่างเห็นได้ชัด
อันที่จริงจะว่าไป มนุษย์มักเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความขัดแย้งและซับซ้อนในตัวเอง
ยกตัวอย่างเช่นเหล่าดารา สิ่งที่จะทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จ แน่นอนว่าคือการยกยอปอปั้นจากเหล่าแฟนคลับอย่างไม่ต้องสงสัย
พวกเขาหวังว่าแฟนคลับของตัวเองจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ในขณะเดียวกันก็รำคาญและต่อต้านการไล่ตามอย่างบ้าคลั่งโดยขาดสติของเหล่าแฟนคลับเช่นกัน
ฉู่อี้เองก็เช่นกัน
ยิ่งไปกว่านั้น เดิมทีนิสัยของเขาก็เป็นคนที่เยือกเย็น
แฟนคลับพวกนั้นต่างก็ชื่นชอบคลั่งไคล้ในนิสัยที่เย็นชาดุจน้ำแข็งของเขาเป็นที่สุด
เสียงตะโกนเรียกจากแฟนคลับหนึ่งประโยค ดึงดูดผู้คนจำนวนไม่น้อยได้อย่างรวดเร็ว
ยังไงซะ ฉู่อี้ก็เป็นถึงนักแสดงสัญชาติจีนที่โด่งดังไปถึงต่างประเทศ จึงไม่แปลกที่จะได้รับความสนใจจากแฟนคลับของคนอื่นด้วย
ผู้คนเริ่มเบียดเสียดพลุกพล่านขึ้นมาถนัดตา สถานีโทรทัศน์จึงต้องส่งพนักงานรักษาความปลอดภัยออกมาจัดระเบียบความเรียบร้อย
กว่าจะเบียดผู้คนเดินไปประตูสถานีโทรทัศน์เข้ามาถึงโถงใหญ่กลางอาคารได้ แต่ละคนถึงกับถอนใจออกมาด้วยความโล่งไปตามๆ กัน
ภายในอ้อมแขนของเสี่ยวเจ้าและเย่หมิงไม่รู้ว่ามีของขวัญกองโตถูกยัดเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่
ทั้งสองคนวิ่งไปยังล็อบบี้เพื่อจะฝากของ ส่วนฉู่อี้ที่ยืนอยู่ที่เดิมกำลังยื่นมือออกมาปัดเสื้อผ้าที่ไม่ได้มีรอยยับอะไรมากนักของตัวเองด้วยท่าทางรังเกียจ
เฉินฝานซิงก้มหน้าดูนาฬิกา เป็นเวลาเก้าโมงแล้ว
“โอ๊ะ นี่ไม่ใช่เพื่อนเก่าสมัยเรียนของฉันหรอกเหรอ”
เสียงของชายหนุ่มที่ฟังดูแล้วถือได้ว่าเป็นเสียงที่สดใสอารมณ์ดีอยู่ไม่น้อยดังขึ้น
เฉินฝานซิงไม่ได้ใส่ใจกับคำว่าเพื่อนเก่าสมัยเรียนคำนี้ ดูเหมือนมันจะเป็นเรื่องที่ห่างไกลจากเธอเหลือเกิน
“เฉินฝานซิงใช่ไหม”
จนกระทั่งฝ่ายตรงข้ามเรียกชื่อเธออกมา เฉินฝานซิงถึงจะหันหน้าไปมองเขา
ดวงตาคู่นั้นหรี่ลงเล็กน้อย
มองเห็นฝั่งตรงข้ามมีกลุ่มคนกำลังเดินตรงเข้ามา
ใบหน้าของคนที่เดินนำหน้านั้น เธอก็ไม่ได้รู้สึกแปลกหน้าไปเสียทีเดียว
กู้เจ๋อเหยียน
นักแสดงที่จัดอยู่ในระดับ แนวสอง [1]ขึ้นไป แต่ยังไม่ถึงระดับแนวหน้าของวงการบันเทิงในประเทศ
สกุลกู้มีบริษัทเอนเตอร์เทนเมนต์เป็นของตัวเอง กู้เจ๋อเหยียนรูปลักษณ์ภายนอกดีใช้ได้ แต่เดิม ภายในบริษัทยังมีศิลปินที่พอจะเป็นหน้าเป็นตาให้ได้ไม่มากนัก เขาจึงออกโรงเอง ตอนนี้รับช่วงต่อจากบริษัทของตระกูลตัวเองแล้ว
ความสำเร็จนับว่าไม่เลวเลย
พวกเขาเป็นเพื่อนสมัยเรียนตั้งแต่สมัยม.ปลายจนเข้าสู่ช่วงมหาวิทยาลัยจริงๆ แต่ทั้งสองคนกลับไม่ได้มีความสัมพันธ์สนิทสนมอะไรกันมากนัก
อ๋อ อย่างเดียวที่มีก็คือ ในช่วงสมัยเรียน กู้เจ๋อเหยียนถือเป็นชายหนุ่มที่ตามจีบเฉินเชียนโหรวผู้ซื่อสัตย์คนหนึ่ง
[1]การจัดระดับนักแสดงในประเทศจีน จะแบ่งเป็น แนวหน้า (แนวหนึ่ง) แนวสอง และแนวสาม โดยจะจัดตามชื่อเสียง คุณภาพผลงาน และค่าตัวเป็นต้น