เฉินฝานซิงพักผ่อนที่บ้านหนึ่งวัน เธอได้โทรไปบอกข่าวเรื่องที่เธอออกจากโรงพยาบาลกับสวี่ชิงจือ
เป็นที่เรียบร้อย
ผลคือเธอได้รับเสียงบ่นจากเพื่อนรัก
“ตอนเธอเข้าโรงพยาบาลฉันไม่เคยไปเยี่ยมเธอสักครั้ง ออกจากโรงพยาบาลก็ไม่ยอมบอกก่อนล่วงหน้า เธอจงใจให้ฉันรู้สึกผิดใช่ไหมฮะ”
“ก็ใช่น่ะสิ เธอรู้สึกผิดฉันถึงจะมีข้าวกิน [1] อะ”
เธอขำเบาๆ พลางนึกขึ้นมาได้ว่าชีวิตของเธอก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น
สวี่ชิงจือที่นั่งบนเก้าอี้ในห้องทำงาน ได้ฟังน้ำเสียงที่ดูสดใสขึ้นอย่างรวดเร็วของเฉินฝานซิง เธอจึงเลิกคิ้วขึ้นสูงอย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเอง
เธอนึกว่าคนหัวรั้นอย่างเฉินฝานซิง คงจะหมดอาลัยตายอยากไปสักพักหนึ่ง
เธอเตรียมคำปลอบใจไว้ตั้งเยอะ และเข้าใจดีว่าเหตุผลของคนบางคนอย่างเฉินฝานซิงไม่จำเป็นต้องเข้าใจเสมอไป
แต่ว่าทุกคนก็เหมือนกัน
เข้าใจเหตุผล แต่พอปัญหาเกิดขึ้นกับตัวไม่มีใครจะมาแบ่งเบาความรู้แทนกันได้
สิ่งที่เธอคาดไว้คือจิตใจของเฉินฝานซิงจะต้องรู้สึกตกต่ำ ดังนั้นน้ำเสียงที่ได้ยินวันนี้จึงที่อยู่เหนือความคาดหมายของเธอไม่ใช่น้อย
แต่ว่าแบบนี้ก็ดีแล้ว
“ไม่ใช่แค่ข้าวมื้อเดียวหรอก ถ้าเธอกินจนฟ้าถล่มได้ฉันก็จะเชียร์เต็มที่”
“งั้นก็น่าเสียดาย คงทำแบบนั้นไม่ได้ไปสักพัก”
เฉินฝานซิงถือโทรศัพท์ออกมาจากห้องน้ำ ท้องฟ้าด้านนอกหน้าต่างได้มืดลงแล้ว
“เธอจะไปลาออกจากบริษัทของซูเหิงเมื่อไหร่”
สวี่ชิงจือครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ แล้วจึงถามขึ้น “ถึงฉันจะอยากให้เธอมาที่นี่เร็วๆ แต่สองวันนี้ฉันก็ไม่ได้ขาดเหลืออะไร”
“ฉันแค่อยากให้เธอตัดขาดจากพวกนั้นได้เร็วๆ ฝานซิง ฉันขอทวนสิ่งที่เคยพูดไปนะ….”
“อีตาซูเหิงคนนี้ ชาตินี้ทั้งชาติก็อย่าได้ยกโทษให้เชียว ฉันรู้ว่าเธอไม่ใช่เขาที่ความรู้สึกแปดปีคิดจะเทก็เท! แต่คนคนนี้มันใช้ไม่ได้จริงๆ ตั้งแปดปีเชียวนะ แถมยังจะไปสุงสิงกับเฉินเชียนโหรวอีก…ต่ำที่สุด เจ้าคนปลิ้นปล้อนในคราบผู้ดี!”
น้ำเสียงของสวี่ชิงจือพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่เพราะการอบรมมาดีจากทางบ้านทำให้เธอไม่สามารถด่าซูเหิงด้วยคำที่หยาบคายได้
เฉินฝานซิงหมองใจเล็กน้อย แปดปี ใครก็รู้ว่าความรู้สึกแปดปีมันไม่ได้ตัดทิ้งกันง่ายๆ แต่ท่าทีที่ซูเหิงมีต่อเฉินเชียนโหรว มันก็ไม่น่าให้อภัยจริงๆ
เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ ปิดดวงตาเข้าหากันข่มความเจ็บปวดในดวงตานั้นไว้ ก่อนจะลืมตาขึ้นมาอีกครั้งพ่นลมหายใจที่สูดเข้าไปก่อนหน้าออกมาอย่างหนักหน่วง “ฉันเข้าใจแล้ว”
“ฉันจะไปลาออกพรุ่งนี้”
“…ดี” สวี่ชิงจือนิ่งเงียบไปครึ่งวินาที ก่อนจะเอ่ยขึ้นหนึ่งคำด้วยเสียงแผ่วเบา
เนื่องจากสวี่ชิงจือกำลังทำโอทีอยู่ ทั้งคู่จึงไม่ได้คุยอะไรกันมากนักหลังจากนั้นจึงวางสายลงอย่างรวดเร็ว
โทรศัพท์ถูกวางลงบนโต๊ะกาแฟ เธอเทน้ำร้อนหนึ่งแก้วแล้วเดินไปที่ริมหน้าต่างทอดมองลงไปยังเมืองที่ถูกชโลมไปด้วยหยาดฝนอย่างไม่ขาดสาย ดวงไฟวาววับถูกกลบทับจนมืดสลัว แม้ว่าจะเจริญเหมือนก่อนแต่เมื่อเทียบกับเมื่อก่อนแล้วทั้งเมืองนั่นเงียบสงบกว่ามาก
เธอยืนอยู่เงียบๆ เช่นนั้นอยู่นาน ใบหน้าเกลี้ยงเกลาเต็มไปด้วยเรียบเฉย
ในคืนฝนพรำอันเงียบสงัด เป็นเวลาเดียวกับที่ความคิดหลั่งไหลเข้ากมา
เฉินฝานซิงคิดว่า เธอจะปลดปล่อยเรื่องที่ซูเหิงทรยศเธอได้อย่างเต็มที่
ปล่อยให้ความเจ็บปวด เสียใจและขื่นขมลุกลาม
ทุกข์ใจกับการถูกทอดทิ้ง คร่ำครวญ โศกเศร้าอาลัยอย่างเสียไม่ได้กับรักที่ตายจากไป
เธอเตรียมตัวไว้ดีแล้วว่ามันคงเจ็บราวกับหัวใจฉีกขาดจดเลือดไหลออกมาไม่หยุด เธอก็จะปล่อยยอมตัวเองไปสักครั้ง
แต่เปล่าเลย
มีแค่ร่างกายที่ชาไปหมดเท่านั้น
เธอไม่ปฏิเสธว่าเมื่อพูดถึงซูเหิงแล้วไม่รู้สึกอะไรเลยนั้นเป็นเรื่องโกหก แต่เมื่อเทียบกับสิ่งที่เธอต้องเผชิญ จุดนั้นแทบจะกลายเป็นจิ๊บจ๊อยไปเลย
หากถามถึงเหตุผลเธอเองอาจจะยอมรับได้อย่างไม่เต็มปากนัก
บางที…
ทุกอย่างอาจเป็นเพราะผู้ชายจอมเผด็จการคนนั้นถลันเข้ามาในชีวิตเธอ
——
[1] มีข้าวกิน มีความหมายว่าได้รับผลประโยชน์หรือแสดงอาการพอใจกับสิ่งที่ได้รับ