ข่าวการออกจากตำแหน่งของเฉินฝานซิงพริบตาเดียวก็แพร่สะพัดไปทั้งบริษัท
ระหว่างทางกลับห้องทำงานเธอถูกคนจำนวนไม่น้อยห้อมล้อมกันเข้ามาเหนี่ยวรั้งเธอเอาไว้
แต่ท่าทีของเธอยังคงหนักแน่น ไม่โอนอ่อน
แน่นอนว่าก็มีทั้งพวกที่เข้ามาเยาะเย้ยแต่เธอก็ไม่ได้ไปให้ค่าแม้แต่น้อย
ตอนที่เธอกลับถึงห้องทำงานอย่างทุลักทุเล เฉินเชียนโหรวและซูเหิงก็ได้มารอเธออยู่ที่นั้นก่อนแล้ว
เฉินเชียนโหรวยืนอยู่ข้างๆ ซูเหิง เสียงนุ่มออกคำสั่งดังลอยออกมาจากห้องทำงาน
“โต๊ะนี่ฉันไม่เอา ตู้นั้นด้วย ข้อมูลที่เกี่ยวกับการปรุงน้ำหอมฉันขอข้อมูลที่ใหม่ล่าสุด เอกสารเก่าๆ เอาไปถ่ายมาใหม่ หนังสือซื้อใหม่…”
เธอหันมามองซูเหิงพลางเผยยิ้มอ่อนโยน “ขอโทษทีนะ พอดีฉันไม่ค่อยใช้ชอบของที่เคยผ่านมือคนอื่นมาแล้ว”
เขายิ้มน้อยๆ เอ่ยขึ้นเสียงแผ่ว
“ไม่เป็นไร ทำทุกอย่างตามที่ต้องการได้เลย”
เฉินฝานซิงมองพวกเขาอย่างเยือกเย็น รู้สึกว่าวันนี้ซูเหิงกับเฉินเชียนโหรวดูขัดหูขัดตาไปหมด
มันเป็น…ระยะห่างที่จงใจเปิดช่องว่าง
“มัวยืนงงอะไร ยังไม่รีบย้ายไปอีก?”
มองสองผู้ใต้บังคับบัญชา ซูเหิงเลิกคิ้วขึ้นสูงตำหนิเสียงเข้ม!
ทั้งคู่มองหน้ากันอย่างลังเล
“พวกเธอ…”
“อาฮุ้ย” น้ำเสียงเฉยชาลอยขึ้นมา
สองสามคนที่อยู่ในห้องทำงานมองไปยังประตูทางเข้าอย่างพร้อมเพรียง เฉินฝานซิงเดินไปหยุดลงข้างๆ อาฮุ้ย
“หัวหน้าเฉิน…”
“มีไฟไหม” เฉินฝานซิงถามขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“มี” ว่าพลางล้วงเอาไฟแช็กขึ้นมาให้เฉินฝานซิง
เธอรับมันมาแล้วหันเดินไปเปิดตู้เอกสาร หยิบแฟ้มเอกสารทั้งออกมาเดินไปยังเบื้องหน้าของซูเหิงเพื่อให้เขามองมัน
“นี่เป็นสูตรน้ำหอมที่ฉันวิจัยออกมาด้วยตัวเองตลอดหลายปีมานี้…ทั้งของที่เป็นโมฆะก่อนหน้านี้และของที่ยังไม่เคยใช้มาก่อนอยู่ในนี้ทั้งนั้น เห็นใช่ไหม”
“เธอคิดจะทำอะไร”
ซูเหิงเพ่งมองเฉินฝานซิงอย่างหวาดระแวง
เฉินฝานซิงขมวดคิ้ว หยิบเอกสารเหล่านั้นขึ้นมาต่อหน้าซูเหิงก่อนที่พวกมันจะถูกไฟลุกไหมจนหมด
แสงจากเปลวไฟสะท้อนลงบนใบหน้าของของทุกคนในห้องให้ดูจริงจังหนักแน่นเป็นพิเศษ
มองจนกระทั่งแผ่นกระดาษเปลี่ยนเป็นเถ้าถ่าน เธอจึงโยนไฟแช็กคืนให้อาฮุ้ยไปแล้วเอ่ยขึ้น
“ของของ ฉัน ฉันมีสิทธิ์จะจัดการ กันไม่ให้ใครบางคนเอาไปสร้างชื่อเสียงอีก!”
เธอว่าพลางกวาดสายตามองเฉินเชียนโหรวอย่างเยือกเย็น คาดการณ์ด้วยใบหน้าอันเ**้ยมโหด
เฉินฝานซิงนิ่งเงียบดึงสายตากลับมากพลายบอกกับอาฮุ้ยว่า
“ของในห้องทำงานนี้ก็โยนทิ้งให้หมดเถอะ โดนคนทำสกปรกหมดแล้ว!”
“…ครับ” อาฮุ้ยอึ้งไปแป๊บนึงก่อนจะตอบรับ
จากนั้นเฉินฝานซิงจึงหยิบเสื้อโค้ตและกระเป๋าออกมาจากราวแขวน ก้าวออกไปอย่างเงียบเชียบ
ซูเหิงมองแผ่นหลังของคนที่ไม่เหลือเยื่อใย เขานิ่งคิดและสุดท้ายก็วิ่งตามไป เขาตามเธอมาได้ทันขณะที่เธอกำลังอยู่ที่โถงลิฟต์แล้วคว้าหมับเข้าที่ข้อมือของเธอ
“ปล่อย” เธอขมวดคิ้วด้วยท่าทีเกรี้ยวกราด
เขากลับกระชับฝ่ามือให้แน่นขึ้น
“เฉินฝานซิงระหว่างเราต้องตัดขาดกันแบบนี้จริงๆ เหรอ”
เฉินฝานซิงออกแรงดึงมือตัวเอง ถอยหลังไปหลายก้าวเพื่อออกห่างจากซูเหิง จ้องมองเขาอย่างเฉยเมยแต่อัดแน่นไปด้วยความเย้ยหยัน
“ไม่ตัด? แล้วจะช่วยให้นายกับเชียนโหรวสมหวังได้ยังไง”
–
เฉินฝานซิงขับรถมุ่งตรงไปยังคอนโด ระหว่างทางก็กำลังครุ่นคิด
นึกไปถึงตอนที่อันน่าลี่พูดเรื่องเมื่อหกปีก่อน ชื่อเสียงฉาวโฉ่มากมายเสียน้ำสักหยดก็ลอกผ่านไปไม่ได้
นัยน์ตาวูบไหวฉับพลัน ไม่อยากนึกถึงเรื่องเก่าๆ สูดหายใจเข้าปอดอย่างแรงแล้วเร่งความเร็วของรถ โฟล์คสวาเกน พาสสาท ซีซี คันสีดำแล่นอยู่บนถนนของเมืองด้วยความเร็วสูง
สิ่งแรกที่ทำหลังจากก้าวเข้าห้องมานั่นคืออาบน้ำ
คุณย่าป๋อพูดถูก ที่โสโครกแบบนั้นจะไปอาลัยทำไมอีก
ทั้งที่จริงๆ แล้วเธอเองก็ไม่ได้อาลัยอาวรณ์อะไรนัก
แต่ว่า เธอต้องภูมิใจในอดีตของตัวเองและจะไม่ปล่อยให้อดีตของเธอไม่ได้รับความยุติธรรม
บางเรื่อง สุดท้ายเธอก็ไม่อาจปล่อยวางไปได้
ต้องมีสักวันที่เธอจะสามารถลบคำครหาให้ตัวเองในอดีตได้
แค่ช่วงนาทีที่นึกถึงคุณย่าป๋อ สมองก็ดันฉายภาพใบหน้าอันหล่อเหล่า
ยังจำคำเมื่อวานที่เคยพูดไว้…
เฉินฝานซิงสวมชุดนอนกระโปรงเดินออกมาจากห้องน้ำนั่งลงบนโซฟาพร้อมหยิบโทรศัพท์จากกระเป๋าขึ้นมากดดู
ไม่มีข่าวคราว
‘วันสองวันนี้ผมคงจะยุ่งมาก คุณพักผ่อนให้เต็มที่ เดี๋ยวผมจะโทรไป’
เสียงในลำคอที่กระซิบอย่างอ้อยอิ่งนั้น เธอยังจำได้ชัดเจนมาถึงตอนนี้ มันช่างน่าหลงใหลราวกับต้องมนต์สะกด
เธอเม้มปากเข้าหากัน ใบหน้าเรียบเฉยฉายแววหมองหม่น เขาคงจะยุ่งจริงๆ นั่นแหละ
หลังจากนั้นเธอก็ต้องตกใจอีกครั้ง
แล้วทำไม…เธอต้องมารออะไรแบบนี้ด้วย
ส่ายศีรษะอย่างหน่ายใจ จัดการวางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะกาแฟแล้วลุกขึ้นยืน
แต่แล้วร่างนั้นก็หยุดลงกลางคันอีกครั้ง เธอจับจ้องมือถืออยู่ครู่หนึ่งแล้วหยิบมันขึ้นมาเดินเข้าห้องนอนไปด้วย
–
ชั้นแปดสิบเอ็ดของสมาคมสกุลป๋อ
ในห้องประชุมอันอ่าถูกตกแต่งอย่างวิจิตรหรูหา
ในเวลานั้นเองบรรยากาศข้างในกลับเต็มไปด้วยความตึงเครียดและกดดัน!