ความร้อนระอุถูกสุมอยู่ในอก เขากำลังคิดอยู่ว่าควรจะควักเอาลูกตาของอวี๋ซงออกมาดีไหม
อยู่ๆ อวี๋ซงที่ยืนอยู่นอกห้องถึงกับหนาวสั่นขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
เฉินฝานซิงมองความหล่อเหล่าและเข้มงวดบนใบหน้านั้น จู่ๆ เธอก็เผยยิ้มจางๆ ออกมา
“เพราะงั้นตอนนี้คุณกำลังตอกย้ำความจริงใจของคุณอยู่เหรอ?”
ดวงตามืดสลัวจับจ้องรอยยิ้มจางๆ ที่ประดับอยู่ใบบนหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่วางตาก่อนค่อยๆ เปลี่ยนไปอย่างลึกซึ้ง
เขาเดินเข้ามาใกล้เธอ เสื้อสูทมีราคาและถูกรีดจนเนี๊ยบที่เข้ากับร่างสูงพอดิบพอดี กลิ่นกายที่ปะทะเข้ามาของร่างนั้นไม่ว่ากลิ่นของอะไรก็กำลังกระจ่ายกลิ่นอันมีเสน่ห์ออกมา
“นั่นก็หมายความว่าคุณรับรู้ถึงความจริงใจของผมแล้ว”
น้ำเสียงที่ฟังยังไงก็เป็นประโยคคำถาม กลับถูกเขาพูดเป็นประโยคบอกเล่าไปเสียแล้ว
“คุณไม่รู้สึกว่าในตอนนี้เราจะใกล้กันไปหน่อยเหรอสำหรับชายหญิง”
เธอตอบไม่ตรงคำถาม การที่เขาเข้าใกล้เธอเกินไปอาจทำให้จิตใจของเธอปั่นป่วนได้
“เราไม่ใช่แค่ชายหญิงทั่วไป ผมกำลังจีบคุณอยู่”
“ก็แค่จีบ สำหรับการเริ่มต้นพวกเราทำแบบนี้มันไม่ค่อยดีเท่าไหร่” เจ้าของคิ้วงามทักท้วงชายหนุ่มอย่างจริงจังถึงความเป็นไปของลำดับขั้นตอนที่ถูกที่ควร
เขากลับพยักหน้า “ผมคิดว่าก็ไม่แปลก ในเมื่อพวกเราเองก็เคยผ่านความสัมพันธ์แบบจับมือกันมาแล้ว”
“…” เธอหน่ายใจ
แต่ป๋อจิ่งขวนก็เก็บมือกลับมาแนบไว้ข้างกาย ความกดดันจึงหายไปในชั่วพริบตา
“แต่ไม่ต้องเป็นห่วง ถึงยังไงก็เป็นช่วงจีบ ผมจะยังไม่ทำอะไรคุณ”
เขาชะงักลง สายตาปราดมองเรือนร่างของเธอ น้ำเสียงกดต่ำเอ่ยขึ้น “คุณไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเถอะ ก่อนที่ช่วงการจีบพังลงเดี๋ยวนี้”
เธอก้มหน้าลงมองเนื้อหนังที่โพล่หลาออกมานอกเสื้อ
ใบหน้าเธอฉาบไปด้วยความกดดันก่อนจะหันเดินเข้าห้องนอนไป
ป๋อจิ่งชวนเห็นเธอปิดประตูเข้าห้องไปแล้ว ถึงได้หันหันมาเปิดประตูห้อง
อวี๋ซงรีบก้าวเข้ามา “คุณผู้ชาย”
ป๋อจิ่งชวนยื่นมือออกไปรับสองถุงในมือของอวี๋ซงเข้ามา จากนั้นมองเขาสองวิก่อนเสียงเย็นจะเอ่ยขึ้น “ไปซื้อหอมใหญ่มาสิบกิโล”
“ห๊ะ?”
“หลังจากหนึ่งชั่วโมง สับให้ละเอียดแล้วเอามาให้ฉันดู”
“ห๊ะ?”
หน้าของเขาเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม สิ่งที่ตอบกลับมามีเพียงเสียงปิดประตูที่ไร้อารมณ์
เขากะพริบตาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
ไม่มีทางเลือก แค่นึกว่าต้องหั่นหอมใหญ่สิบห้ากิโลให้หมดตาของเขาก็เศร้าไว้ล่วงหน้าแล้ว
ว่าแต่ ทำไมจู่ๆ คุณผู้ชายก็สั่งให้เขาทำเรื่องแบบนี้นะ!
–
หลังจากเฉินฝานซิงเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่มาเรียบร้อยแล้ว ก็เห็นอีกคนกำลังถอดเสื้ออยู่พอดี
เธอจำที่ชิงจือเคยพูดได้ว่า ช่วงเวลาที่ยั่วยวนที่สุดของผู้ชายไม่ใช่ตอนที่เขามายืนล่อนจ้อนอยู่ต่อหน้า แต่เป็นตอนที่เขากำลังถอดหรือสวมผ้าอยู่ต่างหาก
ตอนแรกเธอก็ยิ้มๆ ไปไม่ได้คิดอะไรมาก
ทว่าตอนนี้มองอีกฝ่ายยกมือขึ้นถอดเสื้อสูทออกมา ท่าทีเป็นธรรมชาติแบบนั้นเขาแสดงออกมาได้อย่างไม่อาจละสายได้เลยจริงๆ
เสื้อสูทถูกพาดไว้บนโซฟา จากนั้นเขาก้มหัวลงปลดคัฟลิงค์คู่หรูออกจากแขนเสื้อ ทบท้ายด้วยการหันไปปลดเนคไท
การกระทำอย่างต่อเนื่องนี้ทำให้เห็นถึงเสน่ห์ที่ติดตัวมาของเขา ทว่าเวลานี้เนคไทของป๋อจิ่งชวนกลับติดแหง็กอยู่ครึ่งทาง…