ตอนที่ 61 ถอดออกจากตัวเธอ
“นี่ เฉินฝานซิง อย่าได้คืบแล้วจะเอาศอกนะ เชียนโหรวพูดถึงขนาดนี้แล้ว เธอจะเอายังไงอีก!”
“ของของฉัน ฉันจะให้มันเป็นยังไงมันก็ต้องเป็นอย่างนั้น! แล้วหล่อนเป็นอะไรถึงได้มาโหวกเหวกโวยวายใส่ฉัน”
เผชิญหน้ากับหลินเฟยเฟยที่มักเรียกร้องความสนใจขึ้นมาครั้งคราว เฉินฝานซิงชักจะเหลืออดเต็มทน!
ทำไมกันนะแม้แต่เพื่อนข้างกายของเฉินเชียนโหรวยังมีตรรกะเพี้ยนๆ พรรค์นี้
“แก…” ตาของหลินเฟยเฟยขึ้นสีแดงทันที
ทว่าในตอนนี้เอง น้ำเสียงทุ้มต่ำได้แว่วเขาหูของพวกเธอในทันใด
“เกิดอะไรขึ้น”
แม้เฉินฝานซิงจะไม่ได้หันไปมองก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นซูเหิง!
เมื่อเห็นว่าซูเหิงมา ความกล้าของหลินเฟยเฟยก็ได้เพิ่มขึ้น “พี่คะ! ดูสิเชียนโหรวโดนยัยผู้หญิงคนนี้รังแกอีกแล้ว!”
ซูเหิงเดินไปหยุดระหว่างกลุ่มคนเหล่านั้น สายตาจดจ้องไปยังเฉินฝานซิง ทันใดนั้นในตาลึกล้ำก็ฉายแววตกตะลึง
หลายปีมานี้ เหมือนนี่จะเป็นครั้งแรกที่เขาเห็นเฉินฝานซิงสวมชุดอื่นนอกจากชุดทำงาน อีกทั้งชุดราตรีชุดนี้ รับกับรูปร่างสูงโปร่งของเธอได้อย่างสมบูรณ์แบบ!
เมื่อเทียบกับความซ้ำซากเมื่อก่อนแล้วเห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจน สวยแปลกตามาก!
เมื่อสังเกตเห็นความชื่นชมในสายตาซูเหิง เฉินเชียนโหรวได้แต่ลอบขบฟันกรอด
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะพี่เหิง พวกเราไปกันเถอะ”
“ไปเปยอะไรกัน ไหนๆ พี่ก็มาแล้ว เธอยังจะกลัวอะไรอีก”
หลินเฟยเฟยรั้งแขนของเชียนโหรวเอาไว้พลางพูดกับซูเหิง
“พี่คะ พี่ดูชุดราตรีที่เธอสวมอยู่สิ ดูก็รู้ว่าถ้าเชียนโหรวใส่แล้วจะต้องสวยกว่าเห็นๆ เธอดันมาแย่งไปหน้าตาเฉย! เราพูดดีก็แล้วพูดไม่ดีก็แล้วเพื่อให้ยกชุดราตรีตัวนี้ให้กับเรา แต่เธอก็ไม่ยอม!”
ได้ยินดังนั้นเขาจึงเลิกคิ้วขึ้นแล้วเอ่ยเสียงต่ำ
“แล้วไม่มีชุดอื่นแล้วหรือไง ทำไมต้องเป็นชุดนี้”
หลินเฟยเฟยประท้วง “ก็เชียนโหรวชอบหนิ!”
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก ช่างมันเถอะในเมื่อพี่เขาไม่ยอมยกให้ ฉันก็ไม่คิดจะแย่งของรักของเขาหรอก”
แม้จะพูดแบบนั้นแต่ความเสียดายและผิดหวังกลับถูกอัดแน่นไปในน้ำเสียง
ซูเหิงก้มลงมองเธอ เฉินเชียนโหรวหันมองเขาพร้อมรอยยิ้มอ่อนหวาน
แววตาของซูเหิงได้เปลี่ยนไปเล็กน้อย ใบหน้าเต็มไปด้วยความเอ็นดู
แต่ในสายตาที่เฉินฝานซิงส่งมาให้พวกเขาเพียงแวบเดียวนั้น สิ่งเดียวที่เกิดขึ้นในใจนั่นก็คือความถากถาง
“พี่คะ เชียนโหรวชอบชุดราตรีตัวนี้จริงนะ หรือเราซื้อต่อให้เธอดี”
หลินเฟยเฟยเริ่มใช้ความคิดอีกครั้ง หลังจากที่ได้เห็นซูเหิงมีสีหน้าชอบใจ เธอก็มองเฉินฝานซิงอย่างไม่สนใจใครอีกครั้ง
“นี่ เธอต้องการเงินเท่าไหร่ถึงจะยอมขายชุดนี้ให้กับเรา ถ้าเราจ่ายเพิ่มสามเท่าจากราคาเดิมเธอจะขายไม่ขาย!”
“…” เฉินฝานซิงยกยิ้มอย่างเยือกเย็น
“ห้าเท่า!”
“…” เฉินฝานซิงยังคงไม่ไหวติง
“แปดเท่า! เฉินฝานซิงเธออย่าหน้าไม่อายนักนะ!”
“หลินเฟยเฟย!”
ซูเหิงดุเสียงเข้มทำเอาหลินเฟยเฟยตกใจจนต้องรีบหดคอรูดซิปปาก
จากนั้นซูเหิงก็มองมายังเฉินฝานซิงอย่างลังเลใจอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ
“ฝานซิง เธอยกชุดนี้ให้เชียนโหรวได้ไหม ฉันให้เงินเธออีกสิบเท่าเลย…”
“ตกลง”
เฉินฝานซิงไม่ลังเลแม้แต่น้อย แทบจะทันทีที่คำสุดท้ายของเขาจะได้พูดจบเธอก็แทรกตอบขึ้นมาก่อน
คำพูดของซูเหิงติดอยู่ในลำคอ ไม่นึกว่าเฉินฝานซิงจะตอบกลับมาเร็วขนาดนี้ จนในใจของเขากลับเริ่มรู้สึกถึงความต่ำต้อย
เฉินฝานซิงกลับยกยิ้มที่เต็มไปด้วยการถากถาง
“แม้แต่ผู้ชายฉันยังยกให้อย่างไร้ข้อแม้! นับประสาอะไรกับเสื้อผ้าแค่นี้ นับประสาอะไรกับกำไลที่ได้มาโดยไม่ต้องลงทุน”
ตอนที่ 62 พวกไม่มีอันจะกิน
“เฉินฝานซิง ทำไมฉันถึงเพิ่งรู้นะ ว่าคนอย่างเธอมันปากร้ายได้ถึงขนาดนี้!”
แม้แต่คนโง่ยังฟังคำพูดเสียดสีนั้นออก ดังนั้นไม่ต้องบอกอะไรหลินเฟยเฟยก็รู้ได้ทันที
และคำพูดเรียบๆ ของเฉินฝานซิงทำให้ซูเหิงรู้สึกหดหู่ขึ้นทันตา
ความเยือกเย็นฉาบอยู่ทั่วใบหน้า
เขาเป็นผู้ชายคนหนึ่ง แถมยังเป็นถึงผู้ชายที่อยู่ในตำแหน่งอันทรงเกียรติต่างหาก เพียงแค่ศักดิ์ศรีของลูกผู้ชายก็มากพอแล้วที่จะทำให้เขาไม่พอใจกับท่าทีของเฉินฝานซิงในตอนนี้
“จ่ายมาสิ เงินมาฉันถึงจะยอมถอดชุดนี้ออก สิบเท่าก็สองล้านแปด”
“สะ…สองล้านแปด?!”
หลินเฟยเฟยแทบเสียสติ!
แค่ชุดมีระดับตัวเดียว ก็เกือบจะจ้างช่างตัดเสื้อส่วนตัวได้อยู่แล้ว!
“ทำไม เสียดาย? เขาว่าทองพันตำลึงยากจะซื้อรอยยิมหญิงงาม แค่นี้ก็ลังเลแล้ว?”
ซูเหิงมองลึกเข้าไปในตาของเธออีกครั้ง เขาหยิบเช็คขึ้นมาแล้วเซ็นเช็คให้เฉินฝานซิงไปเป็นจำนวนเงินสามล้านแล้วส่งให้เธอ
เฉินฝานซิงรับมันมาแล้วกวาดตามองหนึ่งครั้งก่อนจะหันหลังเดินเข้าห้องลองเสื้อไป
“ฉันว่าเธอคงคิดแต่เรื่องเงินจนเป็นบ้าไปแล้ว! หน้าเลือดไร้ยางอาย!”
ซูเหิงที่ยืนอยู่ข้างๆ กันได้ควักเงินสามล้านเพื่อให้เฉินฝานซิงยอมถอดชุดราตรีที่สวมอยู่ออกมา ต่อมาเชียนโหรวที่แอบตื่นเต้นและได้ใจอยู่นั้นก็ไม่ลืมที่แสร้งพูดขึ้นอย่างเห็นอกเห็นใจด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
“อย่าพูดแบบนั้นสิเฟยเฟย พี่น่ะยังมีบริษัทที่ต้องดูแลอยู่นะ หลายปีมานี้ต้องคอยประคองอย่างยากลำบาก อีกทั้งไม่เคยอ่อนข้อให้ครอบครัวเลย จะขาดเหลือก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอก…”
“ถ้างั้นต้องเรียกว่า…พวกไม่มีอันจะกิน แต่เห็นช้างขี้ก็ขี้ตามช้างตามคนอื่นมาถลุงเงินในที่แบบนี้!”
เพียงไม่นานเฉินฝานซิงก็เดินออกมาจากห้องลองเสื้อแล้วโยนชุดราตรีให้กับซูเหิง
“รับไปสิ”
ซูเหิงนำชุดนั้นส่งให้พนักงานที่ยื่นอยู่ข้างๆ ก่อนจะพูดขึ้น
“หากบริษัทเธอมีปัญหาอะไรล่ะก็ ให้ฉัน…”
เจ้าของสีหน้าอันเฉยเมยก้าวผ่านร่างเขาไป เขาตั้งสติก่อนจะเห็นว่าเฉินฝานซิงนั้นนิ่งเงียบและเดินจากไปโดยไม่มีคำล่ำลา
เสียงของเขาชะงักกึก มองแผ่นหลังของเธอ นึกถึงทุกๆ อย่างของเธอเมื่อครู่ ในแววตาคู่นั้นไม่มีความรู้สึกใดๆ อยู่เลยแม้แต่น้อย
นัยน์ตาลึกล้ำสะท้อนไปมาอย่างซับซ้อน ในใจสั่นไหวไม่สงบ
“ไปกันเถอะค่ะคุณย่า”
หญิงชราและไหลหรงผละแล้วเฉินฝานซิงก็เดินลงไปพร้อมกับพวกเธอ
“ขอบคุณค่ะคุณย่า ของขวัญวันนี้หนูชอบสุดๆ ไปเลย”
โดยเฉพาะตอนที่ซูเหิงบังคับให้เธอยกของตัวเองให้ยัยนั่นเธอยิ่งชอบ!
ทางด้านเฉินเชียนโหรว
“ยังอยากเดินต่อไหม”
“ไม่แล้วค่ะ ว่าจะกลับบริษัทสักหน่อย ไม่แน่ตอนนี้นั่งข่าวหน้าบริษัทคงซาลงไปเยอะแล้ว”
“ฉันไปส่งนะ”
เฉินเชียนโหรวสับสนเล็กน้อย “แต่ฉันขับรถมา…เอาอย่างนี้สิ ให้เฟยเฟยขับรถพี่ ส่วนพี่ก็ขับรถของฉันไปส่งฉัน”
ซูเหิงก้มหน้าลงด้วยใบหน้าอมยิ้ม เฉินเชียนโหรวเขินจนม้วนหน้าหนี
“เจอเธอแล้วก็ไม่อยากจากกับเธอเลย…เธอก็อยู่เป็นเพื่อนฉันสักหน่อยน้า…”
สุดท้ายก็เป็นไปตามที่ซูเหิงขอไว้ เพียงแต่ขณะที่ทั้งคู่เดินไปขึ้นรถที่โรงรถใต้ดินนั้น คนที่ขึ้นไปประจำที่นั่งคนขับกลับเป็นเฉินเชียนโหรว
“ฉันจะขับรถไปส่งพี่ที่บริษัทเองค่ะ”
เฉินเชียนโหรวเงยหน้าขึ้นมองซูเหิงอย่างงดงาม ยั่วยวนจนซูเหิงหลงทำตัวไม่ถูก
“เด็กน้อย ทำไมถึงได้ยกของขวัญให้คนอื่นไปล่ะ ต่อให้มันไม่เหมาะกับเธอ เธอก็ไม่ควรปล่อยให้แผนชั่วของพวกมันสำเร็จนะ!”
หญิงชราท่าทางเรียบเฉย สีหน้าสงบนิ่ง
เฉินฝานซิงค่อยๆ คลี่ยิ้ม “มันไม่เหมาะกับหนูค่ะ ให้ไปฟรีๆ ยังได้เลย นับประสาอะไรกับครั้งนี้ที่ได้กำไรมาเป็นกอบเป็นกำ”
รอยยิ้มฉายชัดในแววตาหญิงชรา “เหมือนว่าหลายปีนี้หนูยังไม่นับว่าติดอยู่ในวงล้อมนี้ซะทีเดียว ครั้งก่อนที่โรงพยายาบาลย่ายังเป็นเด็กหัวรั้น เป็นห่วงหนูแทบแย่!”
เฉินฝานซิงค่อยๆ ยกยิ้ม “ถูกเอาเปรียบได้ค่ะ แต่ไม่ใช่ถูกเอาเปรียบไปตลอดชีวิต”
ไหลหรงที่อยู่ข้างๆ รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย “เข้าทางยัยผู้หญิงจอมปลอมนั่น! ป่านนี้คงกระอักความสุขตายไปแล้ว!”
ความหลักแหลมปรากฏขึ้นในตาของหญิงชราอย่างเด่นชัด “ปล่อยให้เธอได้ใจไปก่อน มันจะต้องมีสักวันที่เธอต้องน้ำตาเช็ดหัวเข่า!”