ตอนที่ 65 ให้ผมนำของไปให้
ครืด ครืด เสียงนั้นได้ยินชัดเจนเมื่ออยู่ในห้องประชุมอันเงียบสงบ…
นัยน์ตาสีดำดุจน้ำหมึกกลอกมายังหางตาอย่างอัตโนมัติแล้วค่อยๆ ปรายตามองหนึ่งครั้งนั้นยิ่งทำให้ทุกคน ณ ที่นั่นตื่นตัวจนเหงื่อกาฬแตกพลั่ก
อวี๋ซงยกโทรศัพท์ขึ้นมาอย่างเลิ่กลั่ก กลับพบว่ามันเป็นโทรศัพท์ของคุณผู้ชายของเขาแถมตัวหนังสือที่โชว์หราอยู่นั่นก็คือ “ฝานซิง”
เขาลอบกลืนน้ำลายลงคอหนึ่งอึก หลังจากแอบใคร่ครวญอยู่สองวินาที สุดท้ายเขาก็เดินไปรับโทรศัพท์ตรงมุมของห้องประชุมโดยไม่สนสายตาของผู้คนที่กำลังตื่นตระหนก
“ครับ คุณหนูเฉิน”
“อวี๋ซง?” เสียงอันว่างเปล่าเธอแว่วมาตามสาย
อวี๋ซงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
“ครับ คุณหนูเฉิน คุณผู้ชายกำลังประชุมอยู่ครับ”
เฉินฝานซิงปิดประตูรถเสียงดัง ปั้ง “โอเค ตอนนี้ฉันอยู่กับคุณท่านป๋อ คุณรีบมาที่จัตุรัสซินซื่อเจี้ยด่วนเลย…”
อวี๋ซงตะลึงไปก่อนจะตอบรับ “…ครับ!”
หลังจากวางสายไปแล้ว อวี๋ซงรีบก้าวไปหยุดตรงหน้าป๋อจิ่งชวนแล้วโน้มตัวรายงานเบาๆ ที่ข้างหู
“คุณผู้ชาย เป็นสายของคุณหนูเฉินครับ ตอนนี้เธอกำลังอยู่กับนายหญิงที่จัตุรัสซินซื่อเจี้ย ฟังจากน้ำเสียงแล้วไม่ค่อยชอบมาพากล…เธอบอกให้ผมไปที่นั่นแล้วให้นำของบางอย่างไปให้…”
ป๋อจิ่งชวนเลิกคิ้วสูง “อืม”
หลังจากนั้นเฉินฝานซิงก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้ารถของเฉินเชียนโหรว
“แกคิดจะทำบ้าอะไร”
“ฉันก็แค่อยากจะสอนความเป็นคนให้กับพวกเธอ! สอนให้เธอรู้ว่าคุณค่าของชีวิตคืออะไร”
ซูเหิงขมวดคิ้วแน่น ก้าวขึ้นมาบังหลินเฟยเฟยและเฉินเชียนโหรวไว้ จ้องมองเฉินฝานซิงอย่างคิดไม่ตก
“ฝานซิง เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ว่าตามตรงก็ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บอะไรวันนี้ขอให้แล้วกันไปไม่ได้เหรอ”
“แล้วกันไป?” เฉินฝานซิงกวาดมองเขาอย่างเยือกเย็น “ลืมที่ฉันบอกกับนายไปแล้วหรือไง ตั้งแต่ฉันตื่นขึ้นมาในโรงพยาบาลวันนั้น เรื่องระหว่างฉันกับเฉินเชียนโหรวก็ไม่มีคำว่า ‘เลิกแล้วต่อกัน’ อยู่ในตัวเลือก”
ใบหน้าซูเหิงเต็มไปด้วยความจนใจ “ฝานซิง ฉันรู้ว่าตอนนี้เธอกำลังโกรธฉันอยู่ แต่…เธอช่วยใจเย็นๆ ลงหน่อยไม่ได้เหรอ”
เฉินฝานซิงเม้มปากผินหน้าไปอีกทางพร้อมกับรอยยิ้มถากถางตรงมุมปากที่ปิดไม่มิด
“ที่นี่ไม่มีเรื่องของฉันกับนาย แต่ถ้านายอยากยื่นมือเข้ามาร่วม ฉันก็ไม่มีทางเลือก”
อีกด้านหนึ่งหลินเฟยเฟยกำลังจ้องมองเฉินฝานซิงอย่างขุ่นเคือง “ให้ไปสองแสนถือว่าไว้หน้าแล้วนะที่เชียนโหรวไม่คิดติดใจพวกแก คิดจะเหยียบจมูกขึ้นหน้า [1] กันใช่ไหม!”
“เหอะ ฉันว่าเธอแค่ไม่พอใจมากกว่า คิดว่าสองล้านแปดเมื่อกี้ยังน้อยไป ถึงได้อยากตักตวงจากพวกเราอีกหน่อยใช่ไหมล่ะ”
“อยากได้เงินก็บอกตรงๆ เลยสิ ยังไงซะก็เป็นศิษย์เก่าร่วมสถาบันกันมาสองปี ให้เธอยืมสักนิดสักหน่อยคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง ไม่แน่อาจเป็นความสุขของฉันก็ได้ บอกว่าไม่ต้องคืนก็ไม่ต้องคืนล่ะ เธอคิดว่ามันคุ้มไหมเนี่ยที่อุตส่าห์เสียแรงชนเครื่องเคลือบ [2] แล้วรีดไถแบบนี้”
หลินเฟยเฟยพูดเองเออเองไปฝ่ายเดียว น้ำเสียงอัดแน่นไปด้วยความเหน็บแนมและหยามเหยียด
เฉินฝานซิงไม่สะทกสะท้านสีหน้าไร้อารมณ์ปล่อยให้หลินเฟยเฟยโชว์เดี่ยวไมโครโฟนไปคนเดียว
“นายหญิงคะ…”
อีกด้านหนึ่งไหลหรงทนฟังต่อไปไม่ไหว ดูจากรถที่คนกลุ่มนี้ขับแล้ว ถ้าไม่ใช่คนมีฐานะก็เป็นพวกผู้ดี ผู้หญิงของสองคนนั่นมองยังไงก็ดูเป็นลูกคุณหนู มาถึงขั้นนี้แต่ทำไมกลับมีความคิดต่ำๆ ได้ขนาดนี้
หญิงชราซึ่งหันหลังให้แก่คนเหล่านั้นตั้งแต่ต้น เมื่อได้ยินเสียงของไหลหรงที่พูดแล้วเงียบไปเธอจึงยกมือขึ้นยั้งคำพูดของไหลหรงด้วยท่าทีนิ่งสงบ
“ช้าก่อน รอดูว่าหนูฝานซิงจะจัดการยังไง!”
“แต่ว่า…”
“ผ่านอะไรมาตั้งเยอะ หากอยู่ต่อหน้าคนพวกนั้นแล้วยังปล่อยตัวเองถูกรังแกได้อีก งั้นเธอก็คงไม่สมเป็นสะใภ้บ้านสกุลป๋อของเรา!”
ตอนที่ 66 พังรถคันนั้นให้ฉัน
“ผ่านอะไรมาตั้งเยอะ หากอยู่ต่อหน้าคนพวกนั้นแล้วยังปล่อยตัวเองถูกรังแกได้อีก งั้นเธอก็คงไม่สมเป็นสะใภ้บ้านสกุลป๋อของเรา!”
“ค่ะ นายหญิง” น้ำเสียงหนักแน่นของนายหญิงทำให้หญิงรับใช้ไม่พูดอะไรต่อ
สิบนาทีให้หลัง โออาร์วีคันสีดำก็ได้มาจอดอยู่ข้างๆ รถของเฉินฝานซิงอย่างรวดเร็ว
ตามมาด้วยรถอีกคันที่เคลื่อนมาจอดติดๆ
นั่นคือ มายบัคที่เงียบสงบ
อวี๋ซงกระโดดลงมาจาก มายบัค คันนั้นก่อนที่เฉินฝานซิงจะเดินเข้าไปหา
“คุณหนูเฉิน” เขาเอ่ยพลางโน้มคำนับ
“ของที่บอกให้คุณเอามา ได้เอามาหรือเปล่า”
“นำมาแล้วครับ”
เขาตอบก่อนจะถอยไปยังรถโออาร์วีคันนั้นแล้วยกมือขึ้นให้สัญญาณ
ประตูของรถโออาร์วีคันนั้นก็เปิดออกทันที ชายร่างกำยำห้าคนในชุดสูทสีดำทยอยเดินกันลงมา ทุกคนมีค้อนสีเงินวาวถืออยู่ในมือ
ท่าทางดุดันนั้นทำเอาคนที่อยู่ในเหตุการณ์ตื่นตระหนกจนถอยกรูกันไปคนละก้าว
“ไม่ทราบว่า…คุณหนูเฉินให้ผมพาคนพวกนี้มาทำไมกันครับ”
ตอนโทรคุยกันเฉินฝานซิงก็ไม่ได้บอกอะไร แค่บอกให้เขาพาบอดี้การ์ดมาให้สักสี่ห้าคนและให้นำเครื่องมือมาด้วย
เขาเองก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ในเมื่อคุณผู้ชายอนุญาตแล้วก็เลยพามาได้
แต่มันก็น่าสงสัยอยู่ดี
เฉินฝานซิงยกมุมปากขึ้นอย่างเยือกเย็น หยิบกระเป๋าเงินออกมาจากรถแล้วหยิบเช็คขึ้นมาเขียนจำนวนเงินลงไปมูลค่าแปดล้านห้าแสน ก่อนจะเดินไปหยุดลงตรงหน้าเฉินเชียนโหรว
“แปดล้านห้า! รับไป”
“พี่คิดจะทำอะไร”
เฉินเชียนโหรวกำลังมองคนที่ลงมาจากรถเหล่านั้นด้วยหัวใจระส่ำ
สีหน้าตื่นตระหนก หันมองเฉินฝานซิงอย่างหวาดระแวง
ภายในใจคาดเดาไปในทางที่ไม่เป็นสิริมงคล…
คนพวกนี้ถูกจ้างมาให้ทำร้ายเธอเหรอ
แต่ว่าเฉินฝานซิงกลับไม่สนใจเธอ เธอจับเช็คใบนั้นยัดใส่มือของเชียนโหรวโดยไม่ตอบคำถามใดๆ
จากนั้นก็เดินไปยังคนที่เดินลงมาจากรถโออาร์วีเหล่านั้น สองแขนยกขึ้นกอดอกแล้วหลบไปอีกทาง แล้วเชิดคางไปยังรถที่จอดอยู่ข้างๆ เฉินเชียนโหรว
แล้วเอ่ยขึ้นอย่างไร้อารมณ์ว่า
“พังรถคันนั้นให้ฉัน!”
“…”
“…”
ต่างคนต่างก็อึ้งรับประทาน
บอดี้การ์ดเหล่านั้นเองก็ชะงักไปเช่นกัน หลังจากที่แน่ใจแล้วว่าไม่ได้หูฝาดพวกเขาก็ได้ตรงเข้าไปอย่างพร้อมเพรียง ใบหน้าเรียบเฉยง้างค้อนในมือขึ้นทุบลงไปยังกระจกหน้ารถ
กระจกได้แตกออกเป็นเสี่ยงๆ ในทันที
“อ๊ายยย”
เฉินเชียนโหรวร้องเสียงแหลม ซูเหิงปรี่เข้าไปโอบเธอและหลินเฟยเฟยให้พ้นทาง
เสียงทุบนั้นดังสนั่นหวั่นไหว คนที่ห้อมล้อมกันเขายิ่งมากันมากขึ้น
เสียงเกรียวกราวที่ดังขึ้นกว่าเก่าไม่อาจกลบเสียงทุบรถที่ดัง ตึ้งตึ้ง ลงไปได้
สีหน้าเฉยเมยของหญิงชราค่อยๆ คลี่ยิ้มออกมาอย่างสบายใจ
อวี๋ซงที่อยู่ข้างๆ ก็อับอายจนเหงื่อตก ยกมือขึ้นมาถูจมูกอย่างอดไม่ได้
นี่เขาพลาดอะไรไปงั้นเหรอ?
คุณหนูเฉินกลายเป็นคนห้าวหาญแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
ซื้อเฟอร์รารี่แล้วจากนั้นก็ทำให้มันกลายเป็นเศษเหล็กกองหนึ่งไปเสียตรงนั้นเลย?
สุดยอดไปเลย!
บุคคลแรกแห่งประวัติการณ์!
เฉินเชียนโหรวมองรถแสนรักตาค้างอีกไม่นานมันคงจะกลายเป็นเศษเหล็กไปต่อหน้าต่อตาเธอ หลังจากที่คนเหล่านั้นจากไปแล้วเธอจึงค่อยๆ ได้สติกลับคืนมา
ฝ่ามือกำเช็คที่เฉินเชียนโหรวเพิ่งยัดใส่มือเธอมาเมื่อครู่เอาไว้แน่น
โกรธจนเนื้อตัวสั่นเทิ้ม
อวี๋ซงเดินไปหยุดตรงหน้ารถ มายบัค แล้วโน้มตัวลงไปแนบหน้าต่างรถก่อนจะพูดว่า “คุณผู้ชายครับ คุณหนูเฉินพังรถเฉินเชียนโหรวไปแล้วครับ!”
“ฉันรู้แล้ว”
เสียงทุ้มต่ำและราบเรียบแว่วดังมาจากในตัวรถ น้ำเสียงแฝงไปด้วยความพึงพอใจเล็กน้อย
——
[1] เหยียบจมูกขึ้นหน้า ชี้ถึงฝ่ายหนึ่งให้เกียรติแต่อีกฝ่ายกลับไม่สนและยิ่งได้ใจ
[2] ชนเครื่องเคลือบ หมายถึงการสร้างสถานการณ์ว่าโดนรถชนแล้วเรียกร้องค่าเสียหาย