ตอนที่ 109 ยอมก้มหน้าเพื่อจูบคุณแค่คนเดียว
“แค่คุณยอมนั่งอยู่ในนี้แบบไม่ดื้อไม่ซนก็พอแล้ว”
เธอขมวดคิ้วมองเขาที่ได้ผละตัวออกไป ก่อนจะหันไปหยิบแก้วน้ำที่วางอยู่บนถาดและยาที่วางอยู่ในฝาขึ้นมาแล้วเดินมาทางนี้
“คุณทานยาก่อนเถอะ”
เธอเองก็ไม่ได้ปฏิเสธ รับยานั่นมาทานมันลงไปต่อหน้าเขา
“เด็กดี”
ดูเหมือนวันนี้ป๋อจิ่งชวนจะชอบเล่นผมเธอเสียเหลือเกิน เขาขยี้ผมบนศีรษะเธอไปมาก่อนจะผละตัวออกไป
เธอมองเขานั่งลงไปบนเก้าอี้อีกครั้งแล้วยกโจ๊กขาวที่วางอยู่ในถาดขึ้นมาด้วยท่วงท่าสง่าและน่ามอง
จะมองมุมไหนก็ดูสูงค่าไปหมด แม้แต่ทานอาหารยัง…ดูดีเลยเหรอ
เธอรวบขาเข้าด้วยกันแล้วเอนตัวพิงกับโซฟา สองมือวางไว้บนหัวเข่าแล้วมองเขาทานอาหารไปอย่างเงียบๆ
เขาทานโจ๊กหมดไปอย่างรวดเร็วจากนั้นก็ยกผ้าขึ้นมาเช็ดมุมปาก
“นี่คุณไม่ก้มหน้าเลยเหรอ”
เธอถามคำถามนี้ออกไปอย่างอดใจไม่ไหว
จะเคร่งมารยาทไปถึงไหนแม้แต่ดื่มซุปก็ยังไม่ก้มหน้า
ป๋อจิ่งชวนนำผ้าเช็ดปากวางไว้อีกทางแล้วหยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่มไปหนึ่งคำ
หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่สักพักเขาก็หันไปยิ้มจางๆ พร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า
“ผมก้มหัวต่อหน้าคุณเท่านั้น”
“ว่าไงนะ”
ดวงตาคู่นั้นที่พกพาความงัวเงียมาด้วยเมื่อครู่
กลับถูกแทนที่ด้วยความฉงน เธอมองไปยังชายหนุ่มที่กำลังเดินเข้ามาหาเธอ
เขาโน้มตัวลง สองมือยันไว้ข้างลำตัวเพื่อขังเธอไว้ให้อยู่ระหว่างโซฟาและแผ่นอกของเขา
เธอแหงนหน้าขึ้นมอง ร่างกายเผลอถดหนีไปด้านหลัง ท้ายทอยพาดลงพนักพิงหลัง
“จู่ๆ คุณจะมา…จูบฉันอีกทำไมเนี่ย”
“ตอบคำถามคุณไง”
เฉินฝานซิงสงสัยว่าสมองของเธอจะโดนไข้เผาไหม้ไปแล้วหรือเปล่า
ทำไมเธอถึงได้รู้สึกว่าตัวเองไม่ฉลาดเหมือนเมื่อก่อนเลย
เธอเพิ่งถามเขาไปเรื่อง…ไม่เคยก้มหน้าเลยไม่ใช่เหรอ
ทำไมถึงมอบจูบให้เธอเป็นคำตอบล่ะ
หลังจากที่ขมวดคิ้วครุ่นคิดไปได้ไม่นานความประหลาดใจก็ได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอ
ตามมาด้วยอาการหัวใจเต้นแรงและความเขินอาย
“เข้าใจแล้ว?” เขาถามเสียงกดต่ำ
เธอส่ายหน้าปฏิเสธ “…เปล่า”
“โกหกต้องถูกลงโทษ” นิ้วเรียวของเขาลูบไล้ริมฝีปากของเธอพร้อมนัยน์ตาที่แฝงไปด้วยรอยยิ้ม
เมื่อนึกถึงภาพที่เขาจับโกหกเธอได้แล้วจู่ๆ ก็จูบเธอเมื่อวาน เธอจึงเสหน้าไปอีกทาง
“ยอมก้มหน้าก็ต่อเมื่อจะจูบ”
“ผิดแล้ว” เขากดเสียงต่ำ “ยอมก้มหน้าเพื่อจูบคุณแค่คนเดียว”
นั่นทำให้เขายืดตัวขึ้นอย่างพอใจก่อนจะกลับไปนั่งที่เก้าอี้อีกแล้วนำงานขึ้นมาทำใหม่อีกครั้ง
ป๋อจิ่งชวนแกล้งแหย่กันเล่นเช่นนี้ทำเอาเฉินฝานซิงจิตใจไม่สงบไปค่อนวัน
ผู้ชายคนนี้ ชักจะน่ากลัวเกินไปแล้ว
แค่ร่างกายนั้น ใบหน้านั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้สาวๆ ใจเต้น นึกไม่ถึงเลยว่าจะมีฝีมือในการมอมเมาหัวใจของคนอื่นได้ขนาดนี้
เธอยกยิ้มขึ้นอย่างลืมตัว จ้องมองเขาทำงานต่อไปอย่างไม่ไหวติง
ดวงตาที่เปิดอยู่นั้นปิดลงไป แล้วก็เปิดขึ้นอีกครั้ง เป็นเช่นนั้นซ้ำๆ หลายครั้งก่อนที่เธอจะรู้สึกง่วงขึ้นมาจริงๆ
เป็นเช่นนั้นจนกระทั่งยี่สิบนาทีให้หลัง เฉินฝานซิงแหงนหน้าขึ้นมองชายหนุ่มและเขาก็ยังคงแก้ไขเอกสารอยู่เช่นเดิม
เธอเปลี่ยนอิริยาบถโดยการลุกออกจากโซฟา
ป๋อจิ่งชวนที่รับรู้ได้ถึงการเคลื่อนไหว จึงเงยหน้ามองก่อนจะพบว่าเธอกำลังถือแก้วน้ำหนึ่งใบ ขาเรียวตรงคู่นั้นวนเวียนไปมาอยู่ข้างหน้าและใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
จากนั้นจึงมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขาก่อนที่แก้วน้ำจะถูกยื่นมาให้
“คุณได้เวลากินยาแล้ว”
ตอนที่ 110 ป่วยครั้งนี้คงจะไม่หายแล้ว
“คุณได้เวลากินยาแล้ว”
น้ำเสียงมีความแหบแห้งและขึ้นจมูก ดวงตาคู่นั้นดูสะลึมสะลือเล็กน้อย
อันที่จริงเมื่อกี้เขาก็เงยหน้ามองเธออยู่หลายครั้ง ทุกครั้งเขามักจะคิดว่าเธอกำลังจะหลับ แต่ไม่นานก็ฝืนลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะใช้สายตางัวเงียนั้นหันไปมองนาฬิกาที่หัวเตียงของเขาแล้วก็หันกลับมามองเขาอีกครั้ง
เขาไม่เข้าใจเลยว่าเธอจะฝืนทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร แต่ว่าตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะกระจ่างแล้ว
ผู้หญิงคนนี้…
เขาวางเอกสารลงแล้วรับน้ำมาทานยาลงไปต่อหน้าเธอ
เธอยกมือขึ้นขยี้ผมป้อยๆ “คุณแน่ใจเหรอว่าจะไม่นอนสักหน่อย เอาจริงๆ ฝืนทำงานไปตอนนี้ ก็ไม่สู้เก็บแรงรักษาตัวให้หายดีหรอก ลงทุนน้อยแต่ได้ผลคุ้มค่านะ”
สิ่งที่เธอพูดฟังดูมีเหตุผล แต่เธอเองก็ไม่มีสิทธิ์พูดอะไร
หลายปีมานี้ การทำงานทั้งที่ยังป่วยแบบนี้กลายเป็นความเคยชินของเธอไปแล้ว
“ไม่เป็นไร เหลืออีกแค่นิดเดียว ทำงานไม่เสร็จแล้วผมไม่ค่อยสบายใจ”
ลัทธิย้ำคิดย้ำทำอันโหดร้ายอย่างสมบูรณ์แบบ!
เธอทอดถอนหายใจออกมาหนึ่งครั้งแล้วตอบรับเบาๆ “อืม” จากนั้นก็กลับไปนั่งบนโซฟาตามเดิม
ป๋อจิ่งชวนเลิกคิ้วขึ้น เชื่อฟังซะงั้น
จนกระทั่งป๋อจิ่งชวนอ่านเอกสารฉบับสุดท้ายเสร็จเรียบร้อย
เขาก็เงยหน้าขึ้นมามองใครบางคนที่ซุกตัวอยู่บนโซฟาและตอนนี้ได้หลับไปเรียบร้อยแล้ว
เธอคว่ำหน้าเอียงศีรษะหนุนบนแขนทั้งสองข้างของตัวเองแล้วหันหน้ามาทางเขา
ขดตัวลงเล็กน้อย เรียวขาที่เรียกร้องความสนใจมาทั้งวันจนพอใจแล้วถูกรวบงอเข้าหากัน ด้วยท่านอนของเธอจึงทำให้ชุดนอนถลกขึ้นมาเล็กน้อยจนเห็นเนินขาขาวเนียนได้รูปของเธอ
นัยน์ตาสีดำขลับของเขามืดลง ก่อนจะยกมือขึ้นกดตรงหว่างคิ้ว
ผู้หญิงปล่อยเนื้อปล่อยตัว
เขาตรงเข้าไปโน้มตัวลงมองเธอ เส้นผมสยายลงปรกหน้าเธอไปเกือบครึ่ง ห้องนอนที่มีแสงสว่างเพียงพอ เสริมให้ผิวขาวสะอาดดูผุดผ่องเป็นพิเศษ
ซูเหิงทอดทิ้งผู้หญิงแบบนี้ด้วยเหตุผลอะไรกันแน่
แค่ความสวยเมื่อเทียบกับผู้หญิงคนอื่นก็กินขาดแล้ว
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้หญิงที่น่ารักขนาดนี้
คิ้วหนาเลิกขึ้นสูง ปล่อยไปซะได้ก็ดี
ไม่อย่างนั้นเขาก็คงต้องเสียเวลาไปแย่งมาอีก
เขายื่นมือสอดเข้าไปที่หลังคอของหญิงสาว มืออีกข้างหนึ่งสอดเข้าไปใต้ศีรษะแล้วอุ้มเธอขึ้นมาอย่างระมัดระวัง
ผมยาวสลวยแผ่สยายอยู่กลางอากาศราวกับสายน้ำตก
เพราะพิษไข้ทำให้เธอหายใจแรงเล็กน้อย เขาโน้มตัวลงเพื่อวางร่างของเธอลงกับเตียง ขณะนั้นริมฝีปากของเธอได้ลากผ่านแก้มของเขาเบาๆ
เขาหยุดมองเธอที่กำลังหลับสบาย
อาจเป็นเพราะไข้อยู่จึงทำให้เธอปล่อยเนื้อปล่อยตัวเช่นนี้
การป่วยนี่ หากไม่ดีขึ้นสักพักก็ดูจะไม่ใช่เรื่องเลวร้าย
—
เฉินฝานซิงลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็หลังจากสองชั่วโมงไปแล้ว
เมื่อเห็นว่าตัวเองกำลังนอนหลับอยู่บนเตียง ใจของเธอก็รู้สึกตื่นตัวขึ้นมา
เธอจำได้ว่าก่อนจะหลับไปเหมือนว่าเธอจะนอนอยู่บนโซฟา
หันไปมองแผ่นหลังของป๋อจิ่งชวนที่กำลังปิดตาเอนตัวนอนอยู่บนโซฟา ดูเหมือนว่าเขาจะกำลังหลับอยู่
หัวใจเธอสั่นไหวเล็กน้อย
ในบางครั้งเธอก็ไม่เข้าใจผู้ชายคนนี้เลยจริงๆ
ทั้งๆ ที่บางครั้งโอกาสที่จะให้คนอื่นต่อสู้ขัดขืนสักนิดก็ไม่มี เหมือนดั่งเช่น…
ถูเฝ่ยผู้สง่างาม
บางครั้งกลับเป็นสุภาพบุรุษผู้สุภาพ ให้ระยะห่างที่ปลอดภัยที่สุดแก่คนอื่นๆ
แต่เป็นเพราะเขาที่ไม่อาจเข้าใจได้อย่างลึกซึ้งเช่นนี้จึงทำให้ยึดกุมหัวใจคนอื่นได้ง่ายๆ อย่างที่ไม่ทันได้ตั้งตัว
“ตื่นแล้ว?”
เสียงของเขาดังขึ้นก่อนที่ดวงตาจะค่อยๆ เปิดออก ราวกับมีแสงเหนือฉาบอยู่บนนัยน์ตาสีนิลคู่นั้น