ไป๋ยี่เฟยถูกกำแพงนั้นทับร่างเอาไว้ ฝุ่นควันลอยฟุ้งไปทั่ว
ยีหยุนที่รีบตามเข้ามาพอเห็นภาพนี้เข้า เธอก็อึ้งไปก่อนแปบหนึ่งจากนั้นจู่ๆ ก็ยิ้มออกมา
แบบนี้แหละดี
บทสรุปแบบนี้แหละดีที่สุดแล้ว
แต่แล้ว ยังไม่ทันให้ยีหยุนได้ยิ้มอย่างหนำใจ กำแพงที่ล้มลงมาพวกนั้นก็เริ่มสั่นไหว
ทุกๆ คนต่างก็เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วสีหน้าก็ดูตื่นเต้นกันขึ้นมา
ไม่รู้ว่าพวกเขาอยากให้คนที่อยู่ในนั้นตายหรืออยากให้คนที่อยู่ในนั้นรอดดี
และสุดท้าย หลังจากที่มันขยับไปพักหนึ่ง ก็มีเสียงซ่าๆ ดังขึ้น
ยีหยุนขมวดคิ้ว สองตาจ้องเขม็งไปยังกองหินนั่น
“โครม!”
หลังเสียงนั่นดังขึ้น ก็ได้มีคนคนหนึ่งยืนขึ้นจากกองหินนั่น
คนคนนั้นก็คือไป๋ยี่เฟยนั่นเอง
ร่างกายของไป๋ยี่เฟยนั้นแข็งแกร่งเกิดกว่าคนทั่วไปไปมาก ดังนั้นการที่กำแพงพังลงมาทับเขาก็ไม่อาจสร้างความเสียหายอะไรให้เขาได้
พอไป๋ยี่เฟยลุกขึ้นก็หันไปมองฉุงลี่ซือ ยังไงก็โล่งอกไปที ที่สามารถช่วยฉุงลี่ซือไว้ได้แล้ว
แต่ฉุงลี่ซือในตอนนี้นั้นกำลังตกอยู่ในความตะลึง
ไม่ใช่แค่การที่ไป๋ยี่เฟยถูกกำแพงทับใส่แล้วไม่เป็นอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว ที่สำคัญไปกว่านั้นคือเขาได้ปกป้องเธอไว้โดยที่ไม่ต้องตัดสินใจอะไรเลย
บางทีการกระทำอาจไม่มีอะไรเลยในสายตาของคนอื่น แต่สำหรับเธอแล้ว ในใจนั้นมันกลับกำลังซาบซึ้งมาก
“เมื่อกี้คุณ……ช่วยฉันไว้……” และเป็นการช่วยที่ยอมสละได้แม้แต่ชีวิตของตัวเอง
แต่ไป๋ยี่ช็อกก็ได้พูดออกมาอย่างไม่ใส่ใจอะไรว่า “ไม่ว่าเป็นใครผมก็จะช่วยทั้งนั้นแหละครับ”
แต่ฉุงลี่ซือก็ไม่ได้รู้สึกแย่เหมือนที่ผ่านๆ มา เธอกลับยิ้มให้ไป๋ยี่เฟย
ไป๋ยี่เฟยไม่เข้าว่ามันสื่อถึงอะไร และไม่ได้ใส่ใจอะไร เขาดึงตัวฉุงลี่ซือขึ้น แบกเธอแล้วเดินออกไปด้านนอก
แต่ระหว่างที่ไป๋ยี่เฟยเดินไปนั้น เขาก็รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างที่ไม่ปกติ
ความรุนแรงของระเบิดนั้นสามารถสังหารท่านดยุกได้ แต่ทำไมเขายังรู้สึกว่ามันยังไม่จบ ท่านดยุกนั้นตายง่ายเกินไป
พอมาถึงตรงหน้าของยีหยุน ยีหยุนก็ยิ้มๆ แล้วพูดกับไป๋ยี่เฟยว่า “ขอบคุณมาก”
แต่ไป๋ยี่เฟยกลับส่ายหน้าอย่างเคร่งขรึม “ยังไม่ต้องใจร้อน เดี๋ยวผมขอไปตรวจดูให้มั่นใจก่อนว่าท่านดยุกนั้นตายแล้วรึยัง?”
“เขายังจะรอดได้อีกเหรอ?” ยีหยุนถามออกมาอย่างตื่นตกใจ
ไป๋ยี่เฟยตอบไปอย่างไม่ใจว่า “ผมแค่รู้สึกว่าเราฆ่าเขาง่ายเกินไปเท่านั้น”
พอยีหยุนได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกโล่งอกไปมาก
ไป๋ยี่เฟยคิดๆ แล้วพูดออกมาว่า “พวกคุณรออยู่ด้านนอกก่อน เดี๋ยวผมขอเข้าไปดูอีกที”
“ตกลง คุณก็ระวังหน่อยแล้วกัน” ยีหยุนบอกเขาด้วยความเป็นห่วงอย่างมาก
ไป๋ยี่เฟยพยักหน้า จากนั้นหมุนตัวแล้วเดินเข้าไป
แต่พอเขาเดินไปได้แค่ก้าวเดียว ตอนที่เดินผ่านฉุงลี่ซือ ฉุงลี่ซือก็ยื่นมือมาดึงเขาเอาไว้
“ทำอะไรครับ?” ไป๋ยี่เฟยอึ้งไปแวบหนึ่ง แล้วถามไปอย่างไม่เข้าใจ
ฉุงลี่ซือสีแดงก่ำ ตาทั้งสองข้างจ้องเขม็งไปที่ไป๋ยี่เฟย จากนั้นก็แอบหันไปมองยีหยุนทีหนึ่ง ก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าวแล้วกระซิบเบาๆ ว่า “เมื่อกี้คุณ……ยอมสละชีวิตช่วยฉันไว้”
ไป๋ยี่เฟยขมวดคิ้วเบาๆ “ผมบอกไปแล้ว ไม่ว่าเป็นใครผมก็จะช่วยทั้งนั้น”
“ฉันไม่สน ยังไงในใจของคุณมันก็เป็นห่วงฉัน!” ฉุงลี่ซือพูดด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างหนัก
ไป๋ยี่เฟยนั้นแย้งไปทันทีว่า “ผมเปล่า!”
ฉุงลี่ซือรีบฉวยโอกาสนี้เขย่งขา ขมิบปาก แล้วหอมไปที่แก้มของไป๋ยี่เฟย
ไป๋ยี่เฟยอึ้งไปแปบหนึ่ง จากนั้นก็ถามออกมาเสียงดังว่า “นี่คุณทำอะไรของคุณเนี่ย?”
ฉุงลี่ซือไม่สนใจการตอบสนองของไป๋ยี่เฟย แล้วพูดอย่างมีความสุขว่า “ในใจของคุณมีฉันอยู่ ฉันรู้ดี ฉันเองก็ไม่ถือสาเรื่องที่คุณมีลูกมีเมียแล้ว เพราะไม่ว่ายังไง ฉันก็จะอยู่กับคุณตลอดไป”
“อย่าได้หวังเลย!” ไป๋ยี่เฟยแย้งออกมาทันที แต่สิ่งที่ควบคุมไม่ได้คือ หัวใจมันเต้นเร็วขึ้นมาแวบหนึ่ง เขาสงบสติอารมณ์ลงแล้วสะบัดมือของฉุงลี่ซือออก จากนั้นก็เดินดุ่มๆ เข้าไปในอาคาร
ฉุงลี่ซือไม่ได้รู้สึกโกรธเลยแม้แต่นิดเดียว แถมยังตะโกนให้ไป๋ยี่เฟยว่า “ที่รักระวังตัวด้วยนะคะ!”
ไป๋ยี่เฟยอดไม่ได้ที่จะตะคอกหลับมาว่า “ประสาท!”
ฉุงลี่ซือหัวเราะคริคริ
ยีหยุนที่กำลังจ้องมองฉุงลี่ซือ ความรู้ที่ซับซ้อนก็ได้เกิดขึ้นในแววตาของเธอ
……
หลังจากที่ไป๋ยี่เฟยเข้าไปในอาคาร ก็มองหารอยเลือดกับเศษผ้าที่หล่นอยู่ตามพื้นไปทั่ว
แต่ยิ่งหาก็ยิ่งใจหาย
เพราะเสื้อผ้าที่หล่นอยู่ตามพื้นนั้นไม่ใช่ของท่านดยุกเลย แต่เป็นเสื้อผ้าของพวกลูกน้องแทน
ที่สำคัญคือเขายังหาศพของท่านดยุกไม่เจอด้วย
และสิ่งสุดท้ายคือ จุดที่เกิดระเบิดนั้นไม่ใช่จุดที่เขาตั้งไว้เมื่อกี้
ดังนั้น เมื่อเอาข้อสงสัยทั้งหมดนี้มารวมกัน ก็มีคำตอบแค่อย่างเดียวก็คือ
ท่านดยุกยังไม่ตาย!
ไป๋ยี่เฟยรู้สึกร้อนใจขึ้นมาทันที
ในเมื่อท่านดยุกยังไม่ตาย แล้วตอนนี้เขาไปอยู่ที่ไหนแล้วล่ะ?
ด้วยสภาพร่างกายของท่านดยุก ถ้าไม่มีคนคอยช่วยพยุงเขาก็ไม่มีทางเดินไปไหนได้แน่นอน
ไป๋ยี่เฟยมองไปรอบๆ สงสัยว่าท่านดยุกจะหลบอยู่ที่ไหนสักแห่ง เพื่อรอจังหวะลอบฆ่าเขา
และในตอนนั้นเอง ก็ได้มีเสียงเฮลิคอปเตอร์ดังมาจากบนท้องฟ้า
ไป๋ยี่เฟยรู้สึกใจหายในทันที ไม่มีเวลามาสนใจอะไรมาก เขารีบวิ่งออกไปด้านนอก คนที่อยู่ด้านนอกตะโกนออกมาเสียงดังว่า “หลบเร็ว รีบหลบเร็ว!”
แต่ว่า เขาก็ยังช้าไปก้าวหนึ่ง
“ตูม!”
“ตูม!”
“ตูม!”
เสียงระเบิดดังขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่ยอมหยุด
พอไป๋ยี่เฟยได้ยินอย่างนั้นก็คิดว่าน่าจะเป็นมิสไซล์ที่ยิงออกมาจากเฮลิคอปเตอร์ เพราะพลังการทำลายล้างนั้นรุนแรงกว่าระเบิดมาก
ไป๋ยี่เฟยที่หนีออกนอกตึกไม่ทัน ได้แต่พุ่งไปหลบอยู่ตรงใต้บันไดอย่างรวดเร็ว
หลังจากเสียงดังอันต่อเนื่องหยุดลง อาคารของสำนักยี่เหมิงก็ได้พังทลายลงมา
ด้วยเหตุนี้ไป๋ยี่เฟยจึงถูกฝังอยู่ใต้ซากประหลักหักพัง
โชคดีที่เขาวิ่งไปหลบอยู่ตรงใต้บันไดได้ทัน พอมีที่ว่างหลงเหลือ จึงยังถือว่าปลอดภัยอยู่
รอจนเสียงทั้งหมดเงียบไปแล้วจริงๆ ผู้คนที่หลบอยู่รอบๆ ก็ค่อยออกมาจากที่หลบภัย
ไป๋ยี่เฟยเองก็ผลักซากประหลักหักพังที่อยู่ตรงหน้าออก แล้วคลานออกมาจากด้านใน
เขาอยู่ในสภาพที่ฝุ่นเกาะเต็มตัว หลังจากถูกชำระล้างบาปไปสองรอบ เขาก็เหมือนกับเพิ่งกลิ้งออกมาจากกองฝุ่นเลย
พอออกมาได้ เขาก็เห็นยีหยุนคลานออกมาจากที่ไม่ไกล
ในเวลาเดียวกันยังเห็นเฮลิคอปเตอร์ลำหนึ่งกำลังทำการลงจอด
ยีหยุนเดินเข้ามา แล้วถามไป๋ยี่เฟยว่า “คุณเป็นอะไรรึเปล่า?”
ตอนนั้นไป๋ยี่เฟยยังตั้งสติไม่ค่อยได้ พอได้ยินคำถามเขาก็ดึงสติกลับมา แล้วใจหายทันที
แล้วฉุงลี่ซือล่ะ?
เขาวิ่งไปดูคนที่อยู่รอบๆ ที่หนึ่งรอบ แต่ก็ไม่เห็นวี่แววของฉุงลี่ซือเลย
“เธออยู่ที่ไหน?” ไป๋ยี่เฟยถามอย่างร้อนใจ
ยีหยุนช็อกไปแวบหนึ่งก่อนจะตั้งสติได้ แล้วจึงมองไปยังจุดที่ฉุงลี่ซือยืนอยู่เมื่อกี้
ตรงนั้นได้ถูกซากประหลักหักพังทับถมไปแล้ว
พอไป๋ยี่เฟยได้เห็นแบบนั้น ก็รู้สึกใจหาย แล้วลางสังหรณ์ที่ไม่ดีก็เกิดขึ้นทันที
เขารีบวิ่งไปทางซากประหลักหักพัง นั่งลงแล้วใช้มือคุ้ยกองหินพวกนั้นทันที
ในตอนนั้นเอง ไป๋ยี่เฟยก็ได้ยินเสียงร้องไห้ดังขึ้น
“ฮือฮือ……”
ไป๋ยี่เฟยรู้สึกตกใจ จากนั้นก็มองไปยังหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งด้วยความตื่นเต้น เสียงมันดังมาจากทางนั้น