“บอดี้การ์ดคนเดียวของฉันก็สามารถ……”
“เพี๊ยะ!”
“เพี๊ยะ!”
หวังเจียจุ้นยังพูดไม่ทันจบ บอดี้การ์ดระดับที่หนึ่งสองคนนั้นก็ถูกฝ่ามือหนึ่งฟาดไปคนละที ไม่เพียงแค่นี้ ยังถอยหลังไปหลายก้าวติดๆ กันด้วย
เห็นได้ชัดเจนมากว่าที่ตีคนคือยีหยุน
หวังเจียจุ้นราวกับถูกสะกดไว้ มองบอดี้การ์ดสองคนนั้นอย่างไม่ขยับเขยื้อน
หลิวเตาเองก็ตกใจจนไร้คำพูดไปนานแล้ว
ซึ่งหลังจากบอดี้การ์ดสองคนถูกตีก็มองสบตากัน จากนั้นก็พุ่งเข้าใส่ยีหยุนพร้อมกัน
ยีหยุนเห็นเช่นนี้ก็แค่นเสียงเย็น ในดวงตามีจิตสังหารขึ้นมาแล้ว
โดยในเวลานี้เอง ไป๋ยี่เฟยก็เอ่ยขึ้นว่า “อย่าทำให้ถึงแก่ชีวิต”
ประโยคนี้ของไป๋ยี่เฟยทำเอาหวังเจียจุ้นกับหลิวเตาตกใจกันไปหมดแล้ว
พวกเขานึกว่าประโยคนี่เป็นการแสร้งพูด
แต่ฉากต่อมาทำให้พวกเขาตระหนักว่าไม่ได้เป็นการเสแสร้ง
สองคนนั้นพากันแกว่งหมัดต้องการจะกระแทกใส่ยีหยุน แต่หมัดของพวกเขายังไม่ทันแตะถูกตัวยีหยุน ยีหยุนก็แฉลบกายทีหนึ่ง รวดเร็วจนทำให้คนมองเห็นไม่ชัด ตรงมาหยุดที่ด้านหลังสองคนนั้น ก่อนจะใช้เท้าข้างหนึ่งถีบแผ่นหลังสองคนนั้นไปคนละที
“พลั่ก!”
“พลั่ก!”
พริบตาสองคนนั้นก็กระเด็นออกไปกระแทกกับโต๊ะทันที
“โครม!”
ชามตะเกียบที่อยู่บนโต๊ะแตกละเอียดอยู่บนพื้น
ยีหยุนเหลือบตามองหวังเจียจุ้นแวบหนึ่งอย่างเหยียดหยาม พลางเยาะหยันว่า “หมัดเท้าปักบุปผา!”
กล่าวจบก็ตามไป๋ยี่เฟยออกจากภัตตาคารพร้อมกัน
หลังจากที่พวกเขาไปแล้ว ในภัตตาคารก็เกิดความเงียบขึ้นพักหนึ่ง
บอดี้การ์ดสองคนนั้นก็พักฟื้นอยู่นาน ถึงค่อยดิ้นรนลุกขึ้นมาได้
หลังหลิวเตาได้ยินเสียงของหนักเคลื่อนไหว จึงค่อยๆ ได้สติขึ้นมาในที่สุด พูดขึ้นด้วยใจที่หวาดผวาว่า “คุณชาย เมืองเทียนเป่ย……สถานที่เช่นนี้……ทำไมถึงมีคนเช่นนี้ได้?”
หวังเจียจุ้นใจเย็นลงแล้ว “ผู้หญิงคนเมื่อกี้ เป็นคนหนานเหมิน”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!” หลิวเตาถึงบางอ้อ “ผมก็ว่าทำไมผิวของเธอถึงดูคล้ำจัง ยังคงเป็นคุณชายที่ร้ายกาจ รอบรู้กว้างขวาง”
“ยอดฝีมือทางฝั่งหนานเหมินมีมากกว่าทางฝั่งนี้ของเราจริงๆ”
ทว่าหวังเจียจุ้นกลับขมวดคิ้วพูดว่า “ยอดฝีมือมีมาก แต่คนที่สามารถทำให้ยอดฝีมือระดับที่หนึ่งชั้นต่ำไม่มีแรงที่จะตอบโต้ได้ กลับมีไม่มาก”
บอดี้การ์ดสองคนต่างประคองกันเดินเข้ามา หนึ่งคนในนั้นกล่าวว่า “คุณชาย ระดับขั้นของคนผู้นั้นอย่างน้อยก็ระดับที่หนึ่งชั้นกลาง”
หวังเจียจุ้นพูดด้วยสีหน้าขรึมลง “สืบให้ฉันที คนมีฝีมือเช่นนี้อยู่ที่หนานเหมินสืบหาได้ง่ายมาก จากนั้นก็แจ้งอาหยางให้มาคุ้มครองฉัน”
“ครับ!” หลิวเตารับคำอย่างรวดเร็ว
หวังเจียจุ้นกล่าวกับบอดี้การ์ดสองคนนั้นอีกว่า “คืนนี้ฉันจะต้องได้หลงหลิงหลิง”
“ครับ!” บอดี้การ์ดสองคนย่อมจะเข้าใจความหมายของคุณชายตนเองดี
จากนั้นหวังเจียจุ้นก็พูดอีกว่า “คนหนึ่งไปพาหลงหลิงหลิงมาให้ฉัน อีกคนไปฆ่าไอ้ผู้ชายคนนั้นให้ฉัน!”
“ครับ!”
……
หลังไป๋ยี่เฟยส่งหลงหลิงหลิงกลับถึงบ้านแล้ว ก็ให้จางหรงจัดหาที่พักให้ยีหยุน ส่วนตนเองก็ขับรถมายังคฤหาสน์หลันโปกั่ง
เพราะตอนนี้หลี่เสว่ยังไม่โทรหาเขา เขาจึงไม่กล้ากลับบ้าน
หลังนั่งอยู่บนรถสักพักก็รู้สึกว่าน่าเบื่อ จงลงจากรถมาหยุดตรงข้างถนน จุดบุหรี่มวนหนึ่ง
……
หลังหลงหลิงหลิงกลับมาถึงบ้านก็พบว่าไฟห้องรับแขกในบ้านเปิดอยู่ ซึ่งของในห้องรับแขกกระจัดกระจายเต็มไปหมด ราวกับถูกคนรื้อค้นอย่างไรอย่างนั้น
หลงหลิงหลิงสีหน้าตื่นตระหนก เธอรีบถอดรองเท้าส้นสูงของตัวเอง หยิบเอามีดปอกผลไม้ที่อยู่บนโต๊ะกลางขึ้นมา เดินไปทางห้องนอนอย่างระมัดระวัง
ห้องนอนไม่ได้ปิดประตูสนิท เธอมองลอดจากในรอยแยกประตูเห็นว่าไฟในห้องนอนก็เปิดอยู่เช่นกัน
ใจที่เครียดขมึงของหลงหลิงหลิงก็เต้นโครมครามขึ้นกว่าเดิม เธอแนบติดกับกำแพงแน่น มองเข้าไปในรอยแยกของประตูอย่างระมัดระวัง
เธอคิดว่าจะเห็นท่าทางที่หัวขโมยกำลังรื้อค้นสิ่งของตามอำเภอใจ กลับกลายเป็นว่าเห็น……ก้นกำลังส่ายไปมาอยู่บนเตียง
หลงหลิงหลิง “……”
ขณะที่หลงหลิงหลิงกำลังถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก็ผลักประตูออกอย่างไร้สุ้มเสียงแล้วเดินเข้าไป เอามีดปอกผลไม้ในมือวางไว้บนโต๊ะเครื่องแป้ง จากนั้นก็ใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งตีไปที่ก้นเล็กๆ ที่กระดกขึ้นนั้น
“ป้าบ!”
“ไอ้หยา!”
เสียงร้องอันไพเราะเสียงหนึ่งดังมาจากในผ้าห่ม
หลงหลิงหลิงมองหลิวเสี่ยวอิงใช้ผ้าห่มคลุมศีรษะ เอาก้นโผล่ด้านนอก แถมยังส่ายไปส่ายมาอีก จึงกล่าวขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เธอทำอะไรอยู่น่ะ?”
ในที่สุดหลิวเสี่ยวอิงก็โผล่หัวออกมาจากผ้าห่ม นั่งอยู่บนเตียงพูดอย่างน้อยใจว่า “ฉันกำลังฝึกโยคะน่ะสิ!”
หลงหลิงหลิงสาธยายว่า “ตอนฝึกโยคะยังห่มผ้าห่มด้วยเหรอ?”
หลิวเสี่ยวอิงพูดเสียงขึ้นจมูกว่า “ฉันกำลังร้องไห้อยู่! เธอไม่เห็นหรือไง?”
“ไหนน้ำตาล่ะ?”
“แห้งไปนานแล้ว”
“ร้องนานแค่ไหนแล้ว?”
“ร้องเสร็จตั้งแต่สองชั่วโมงก่อน”
“งั้นเธอกำลังทำอะไรอยู่?”
“ฝึกโยคะไงล่ะ!”
“ฝึกโยคะเธอยังร้องไห้ด้วย?”
“……”
หลังคนทั้งสองปะทะคารมกันคนละประโยคอยู่พักหนึ่ง จู่ๆ ก็หยุดลงพร้อมกันอย่างกะทันหัน
จากนั้นหลงหลิงหลิงก็ออกไปเก็บกวาดห้องรับแขก
หลิวเสี่ยวอิงเห็นเช่นนี้ก็ตามหลงหลิงหลิงมายังห้องรับแขกด้วย เดินไปพลางพูดไปพลางว่า “หลิงหลิงจ๊ะ หลายวันนี้ฉันต้องพึ่งพาเธอแล้ว เธอต้องเลี้ยงฉันด้วยนะ!”
หลงหลิงหลิงทางหนึ่งเก็บกวาดทางหนึ่งถามว่า “พ่อแม่เธออยู่เทียนเป่ยไม่ใช่เหรอ? วิ่งมาทำอะไรที่บ้านฉัน?”
……
สักพักหลังเก็บกวาดและล้างหน้าบ้วนปากเสร็จ หลงหลิงหลิงกับหลิวเสี่ยวอิงก็ขึ้นนอนบนเตียงพร้อมกัน
หลิวเสี่ยวอิงมองฝ้าเพดาน พูดด้วยความห่อเหี่ยวเต็มใบหน้าว่า “ฉันจะทำยังไงดี?”
พ่อแม่เธอจัดหาคู่ดูตัวให้เธออีกแล้ว แต่เธอไม่ต้องการโดยสิ้นเชิง
ยิ่งไปกว่านั้น หลี่เสว่แสดงออกอย่างใจกว้างขนาดนั้น กลับทำให้หลิวโก๋จงเห็นใจคนทั้งสอง ทำให้พวกเขายิ่งรู้สึกว่าไม่อาจทำให้หลิวเสี่ยวอิงกับไป๋ยี่เฟยอยู่ด้วยกันได้แทน
หลิวเสี่ยวอิงไร้ทางเลือก ดังนั้นจึงหนีออกมาอีกครั้ง
หลงหลิงหลิงเงียบไปชั่วขณะ กล่าวเสียงเบาว่า “ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร สุดท้ายยังคงต้องพูดคุยกับคุณลุงคุณน้าถึงจะได้”
หลิวเสี่ยวอิงขมวดคิ้ว ถอนหายใจพลางกล่าวว่า “แต่พูดคุยยังไงก็ไม่อาจพูดได้”
หลงหลิงหลิงเงียบไปอีกครั้ง
แท้จริงแล้ว เรื่องเช่นนี้ควรจะไปพูดอย่างไรล่ะ? คาดว่าคนทั่วไปคงไม่มีทางยอมให้ลูกสาวตัวเองไปเป็นเมียน้อยคนอื่นหรอก
ดังนั้นจึงพูดไม่ได้โดยสิ้นเชิง
หลิวเสี่ยวอิงนอนไม่หลับ
หลงหลิงหลิงเองก็นอนไม่หลับ
เธอใกล้จะสามสิบแล้ว กลับไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตนเสียที ไม่ใช่ไม่มีใครมาจีบ ตรงกันข้าม เพราะตัวเธอหน้าตาสวย รูปร่างก็ดี ทั้งยังมีความสามารถและตำแหน่ง คนที่ตามจีบเธอจึงมีมากมาย
เธอเองก็ไม่ใช่คนที่เลือกมากขนาดนั้นสักหน่อย แต่คนเหล่านั้นกลับไม่น่าสนใจเลยสักคน
เรื่องความรักสำหรับผู้หญิงนั้น แต่ไรมาก็ล้วนอาศัยความรู้สึก หากไม่มีความรู้สึกเหล่านั้นล่ะก็ คงไม่อาจคบหากันต่อไปได้