หลังจากที่ไป๋ยี่เฟยหลับตาลงแล้ว เขาก็มองทะลุทุกอย่างได้ทันที
วินาทีที่เขาใช้มือบีบคอของชายชรา ไป๋ยี่เฟยถึงจะค่อยๆลืมดวงตาที่แดงเถือกนั้นของเขาขึ้นมา
ภายในแววตาของชายชราเต็มไปด้วยความหวาดกลัว “เป็นไปได้ยังไง? ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้?”
ไป๋ยี่เฟยพูดด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น “แผนการเจ้าเล่ห์ทั้งหมดทั้งมวลเมื่ออยู่ต่อหน้าความสามารถที่แท้จริงแล้ว ล้วนเก่งได้แค่เปลือกภายนอก แต่ความเป็นจริงแล้วมันไก่อ่อนจนอ่อนกว่านี้ไม่ได้แล้ว!”
หลังจากที่พูดจบ ไป๋ยี่เฟยยื่นมือออกไปคว้าโทรศัพท์ของชายชราไว้ โทรศัพท์ยังคงอยู่ในสถานะการโทรอยู่
“หวังเจียจุ้น แกฟังคำพูดของฉันให้ดีๆ!” ไป๋ยี่เฟยพูดด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น “ถ้าแกกล้าแตะต้องแม้แต่ปลายเล็บของหลงหลิงหลิง ฉันจะฆ่าตาแก่นี่เดี๋ยวนี้เลย!”
“อีกอย่างฉันจะทำให้แกตายอย่างไร้ที่ฝังศพอีกด้วย!”
หลังจากที่พูดจบ สิ่งที่ทางปลายสายส่งกลับมาคือความเงียบเหงา ก่อนที่จะมีเสียงตบที่ดังใสดังขึ้นมา
“เพี๊ยะ!”
เป็นเสียงของฝ่ามือกระทบกับใบหน้า
จากนั้นก็มีเสียงร้องไห้ของผู้หญิงดังขึ้น “ฮื่อๆ…..”
เมื่อไป๋ยี่เฟยได้ยินเสียงนี้แล้วร่างกายเขาก็สั่นไปทั้งตัว ก่อนที่ดวงตาจะกลับมาแดงเถือกอีกครั้ง
ปลายสายมีเสียงของหวังเจียจุ้นดังขึ้นมา “ฉันแม่งไม่สนใจหรอกนะว่าแกคือใคร ทางที่ดีตอนนี้แกรีบปล่อยตัวอาหยางจะดีกว่า ไม่งั้นฉันจะเล่นงานอินี่ต่อหน้าแกเอง!”
“ฉันจะบอกอะไรแกให้ว่าบนโลกใบนี้ยังไม่มีใครที่กล้าข่มขู่ฉัน!”
ถัดจากนั้น ปลายสายมีเสียงฉีกขาดของเสื้อผ้าดังมา ก่อนที่จะมีเสียงของหลงหลิงหลิงตามมา “อย่านะ! หยุด! แกปล่อยฉันนะ!”
เสียงพวกนี้ทำให้ไฟโกรธของไป๋ยี่เฟยพุ่งปรี๊ดขึ้นถึงจุดสูงสุด ดวงตายิ่งแดงเถือกขึ้น
อาหยางเห็นสภาพนี้ของไป๋ยี่เฟยแล้วก็อดที่จะหัวเราะไม่ได้ “คุณไป๋ ถึงแม้คุณจะฆ่าผมไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก ผมก็เป็นแค่หมาตัวนึงในตระกูลหวังเท่านั้นเอง”
“แต่ความสำคัญที่เกิดขึ้นระหว่างคุณชายและหลงหลิงหลิงกลับสามารถส่งผลต่อการเป็นอยู่ของตระกูลหวังของเราได้เลย คุณข่มขู่คุณชายไม่ได้ด้วยซ้ำ”
“ฉึก!”
“อ๊า!”
ทันทีที่อาหยางเพิ่งพูดจบ ไป๋ยี่เฟยจึงใช้เท้าถีบไปที่ข้อเข่าของอาหยางจนพิการ
ไป๋ยี่เฟยพูดด้วยน้ำเสียงที่เลือดเย็น “ถึงจะเป็นหมา แต่ก็แบ่งแยกอยู่ว่าสำคัญหรือไม่สำคัญ!”
“หวังเจียจุ้น ถ้าเกิดแกไม่สนใจความเป็นความตายของหมาหัวเน่าตัวนี้ล่ะก็ งั้นฉันก็จะเอาให้กระดูกทั้งร่างกายของมันแตกหักทุกซี่ จากนั้นค่อยสับแล้วเอาไปให้หมายักษ์สองตัวนั้นแดก!”
“แกกล้าหรือ?” หวังเจียจุ้นตะคอกอย่างโกรธเกรี้ยว
เมื่อดูจากแบบนี้แล้วข้อสันนิษฐานของไป๋ยี่เฟยเป็นเรื่องจริงจริงๆด้วย ถึงแม้ตาแก่นี่จะเป็นหมาตัวหนึ่งในตระกูลหวัง แต่นั่นก็เป็นหมาตัวหนึ่งที่สำคัญมากๆ อย่างน้อยถ้าขาดมันไป ต้องทำให้ตระกูลหวังเจ็บปวดแน่นอน
“ทำไมฉันถึงไม่กล้าล่ะ?” ไป๋ยี่เฟยพูดอย่างไม่สบอารมณ์
หลังจากที่พูดคำนี้จบ ไป๋ยี่เฟยใช้เท้าถีบลงไปอีกครั้ง ทำให้ข้อเข่าอีกข้างของอาหยางพิการไปอีก
“อ๊า!”
อาหยางทนต่อความเจ็บปวดไม่ไหว กรีดร้องอย่างอนาถ
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” หวังเจียจุ้นตะคอกพูดอย่างลน
ไป๋ยี่เฟยพูดด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น “ฉันก็ขอบอกอะไรแกด้วยว่า บนโลกใบนี้ไม่มีใครที่สามารถข่มขู่ฉันได้ด้วยเหมือนกัน!”
หวังเจียจุ้นนิ่งเงียบไปอย่างกะทันหัน
ไป๋ยี่เฟยจึงพูดอีกว่า “ถ้าไม่อยากให้มันทรมานต่อ พวกเราก็มาแลกเปลี่ยนตัวประกันกัน ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พวกเราจะไม่มายุ่งเกี่ยวกันอีก!”
ปลายสายยังคงเรียบนิ่งเหมือนเคย
และในตอนนี้ อาหยางที่เจ็บจนใบหน้าบูดเบี้ยวตะโกนพูดขึ้นมาอย่างกะทันหันว่า”คุณชายอย่าได้ตอบตกลงเป็นอันขาดนะครับ ถึงผมจะตายไปก็ไม่มีอะไรที่ต้องเสียดายคุณชายคุณต้องจำภารกิจสำคัญของทางตระกูลไว้ให้ขึ้นใจด้วยนะครับ!”
“ตระกูลหวังของเราจะเก็บตัวซ่อนเร้นสิบกว่าปีเพียงเพราะผมคนเดียวไม่ได้นะครับ ถ้าเกิดเป็นแบบนั้นจริงๆ งั้นถึงแม้ผมจะมีชีวิตต่อไป แต่ก็คงต้องใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ความรู้สึกผิด!”
“อาหยาง…..”
หวังเจียจุ้นกำลังลังเลใจ
ในจิตใจไป๋ยี่เฟยมีเสียงกรึกดังขึ้นมาอย่างกะทันหัน ถ้าเกิดปล่อยให้อาหยางพูดแบบนี้ต่อไป คาดว่าหวังเจียจุ้นอาจจะไม่สนใจเขาจริงๆแล้วก็ได้
ดังนั้นไป๋ยี่เฟยจึงออกแรงเพิ่มมากขึ้นภายในพริบตา ทำให้อาหยางอัดอั้นความเจ็บปวดจนใบหน้าแดงก่ำ
อย่างไรก็ตามเขายังคงพูดอย่างติดๆขัดๆ “คุณชาย…..คุณ…..ทำต่อเลย…..ฉัน…..ขอลา…..ก่อน…..”
หลังจากที่พูดคำพูดสุดท้ายนี้จบ เลือดจำนวนมากพรั่งพรูออกมาจากปากอาหยาง
“เชี่ย!”
สีหน้าของไป๋ยี่เฟยเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน เขารีบใช้สันมือทุบไปที่ท้ายทอยของอาหยาง อาหยางเป็นลมหมดสติภายในพริบตา
ตาแก่ที่อยู่ทางฝั่งนี้กลับจะกัดลิ้นตัวเองเพื่อเป็นการฆ่าตัวตายงั้นหรอ เพื่อไม่ให้รบกวนสภาพจิตใจของหวังเจียจุ้น
และหวังเจียจุ้นที่อยู่ทางปลายสาย หลังจากที่ได้ยินคำพูดสุดท้ายของอาหยางแล้ว เขาก็ได้ตะคอกพูดผ่านโทรศัพท์อย่างโกรธกริ้ว “แกแม่งจำไว้เลยนะ ความแค้นของอาหยางฉันจะเอาคืนแน่นอน ฉันจะเอาชีวิตของคนทั้งครอบครัวของแกมาชดใช้!”
“แกให้ความสนใจกับอิแม่นางคนนี้มากเลยไม่ใช่หรอ? งั้นฉันจะจัดการเอามันเดี๋ยวนี้เลย!”
“อย่า!” ไป๋ยี่เฟยพูดกับหวังเจียจุ้นอย่างร้อนรน “มันยังไม่ตาย มัน…..”
“ตู๊ดๆ…..”
คำพูดของไป๋ยี่เฟยยังไม่ทันได้พูดจบก็ถูกกดวางสายไปแล้ว
“แม่งเอ้ย!”
ไป๋ยี่เฟยร้อนรนมากจนดวงตาแดงเถือก โยนอาหยางไปข้างๆ ก่อนจะรีบกดโทรศัพท์โทรกลับไป และแล้วทันทีที่โทรติดปลายสายก็ได้กดวางไปทันที
ไป๋ยี่เฟยกดโทรต่อย่างไม่ตายใจ หลังจากที่โทรติดแล้วก็ถูกตัดสายไปทันที
ไป๋ยี่เฟยร้อนรนมากจนเดินวนอยู่ในสนามไปสองรอบ ตอนนี้เขาไม่รู้แล้วว่าควรจะทำยังไงดี
และเมื่อเขานึกขึ้นมาได้ว่าตอนนี้หลงหลิงหลิงกำลังถูกหวังเจียจุ้นกระทำชำเรา เขาก็โมโหมากจนร่างกายสั่นไปทั้งตัว
ยังมีวิธีไหนอีกที่สามารถหยุดยั้งเขาไว้ได้?
ไป๋ยี่เฟยเดินไปมา พลางคิดหาวิธีการแก้ไขอย่างเร่งรีบ
ผ่านไปสักพัก ไป๋ยี่เฟยยืนนิ่งอยู่กับที่ เขาล้มเลิกการกดโทรหาหวังเจียจุ้นแล้ว แต่เป็นการหยิบโทรศัพท์ของอาหยาง แล้วเริ่มค้นดูบันทึกการโทรเข้าออกของเขา
เร็วมากเขาก็ได้พบกับรายชื่อโทรศัพท์ที่ถูกเมมไว้ว่า เจ้าบ้านตระกูล
ซึ่งนั่นก็หมายความว่าเบอร์โทรนั้นเป็นเบอร์โทรของเจ้าบ้านตระกูล ตระกูลหวัง
ดังนั้น ไป๋ยี่เฟยจึงกดโทรออกไปอย่างไม่ลังเลใจ
หลังจากที่เสียงตู๊ดดังไปสองครั้ง ฝั่งปลายสายก็ได้กดรับ
“ฮัลโหล?”
เสียงที่ส่งมาจากปลายสายแหบแห้งเล็กน้อย “อาหยาง ดึกขนาดนี้แล้วโทรมามีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ? ไอ้เด็กเวรนั่นก่อเรื่องอีกแล้วใช่ไหมครับ?”
ไป๋ยี่เฟยจึงรีบพูด “แกฟังไว้เลยนะ ฉันไม่ใช่อาหยาง ตอนนี้อาหยางกำลังอยู่ที่ฉัน แกรีบกดโทรหาลูกชายแกเดี๋ยวนี้ ให้มันหยุดการกระทำของมัน ไม่งั้นฉันจะฆ่าอาหยางเดี๋ยวนี้เลย!”
“…..แกคือใคร?” เห็นได้ชัดเลยว่าปลายสายหยุดชะงักไปสักพัก ถึงจะถามคำถาม
ไป๋ยี่เฟยตอบกลับ “ฉันคือไป๋ยี่เฟย”
แต่ฝั่งปลายสายกลับพูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่งไว้ “ฉันรู้แล้ว แต่ฉันต้องทำการยืนยันให้แน่ชัดก่อนว่าตอนนี้อาหยางยังมีลมหายใจอยู่”
เห็นได้ชัดเลยว่าเจ้าบ้านตระกูลหวังคนดังกล่าวรู้จักไป๋ยี่เฟยด้วยเหมือนกัน
จะว่าไปมันก็จริง ตระกูลที่ซ่อนเร้นจากโลกภายนอกมานานหลายสิบปี การที่พวกเขาอยากจะกลับมาอีกครั้ง จึงต้องทำการสืบค้นประวัติและความเป็นมาของผู้คนและตระกูลที่มีชื่อเสียง ณ ปัจจุบันก่อนแน่นอน
หลังจากที่ไป๋ยี่เฟยได้ยินแบบนี้แล้ว จึงรีบคุกเข่าลงไปยิกใต้จมูกของอาหยาง
“แค๊กๆ…..”
ก่อนที่อาหยางจะกัดลิ้นตัวเองเพื่อทำการฆ่าตัวตาย หลังจากที่ตื่นขึ้นมาเลือดได้ไหลเวียนขึ้นมากั้นช่องทางเดินหายใจไว้ ทำให้สำลักเลือดจนไอสองที
ถัดจากนั้น ไป๋ยี่เฟยจึงทำการชกอาหยางอีกครั้งหนึ่งจนเขาเป็นลมหมดสติ
ไป๋ยี่เฟยพูดกับคนที่อยู่ปลายสายว่า “ได้ยินหรือยัง?”
คนที่อยู่ทางปลายสายพูดว่า “ฉันรู้แล้ว แต่แกต้องรับประกันความปลอดภัยของอาหยาง ถ้าเกิดมีเรื่องที่ไม่คาดฝันอะไรที่เกิดขึ้นกับเขาแม้แต่น้อย ฉันไม่มีทางปล่อยแกไปแน่นอน”
ไป๋ยี่เฟยก็พูดเหมือนกันว่า “ถ้าเกิดมีเรื่องที่ไม่คาดฝันอะไรเกิดขึ้นกับเพื่อนฉันเหมือนกันฉันก็จะไม่ปล่อยตระกูลหวังของพวกแกไปแน่นอน!”
“ดังนั้น ทางที่ดีแกรีบจัดการให้เสร็จสิ้นจะดีกว่า!”
ทันทีที่พูดจบ ไป๋ยี่เฟยก็กดวางสายไป
ไป๋ยี่เฟยกระชากร่างกายที่ไม่ได้สติของอาหยางมุ่งหน้าเดินออกไป เขาลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนที่จะเดินออกไปจากสนามแห่งนี้อย่างชิลล์สบาย
หลังจากนั้นเขาโยนอาหยางขึ้นไปบนรถ ส่วนตัวเองนั้นได้ขึ้นไปนั่งบนที่นั่งคนขับ ก่อนจะขับรถออกจากที่นี่ และได้กดโทรหาจางหัวปินอีกด้วย ให้เขาไปตรวจสอบกล้องวงจรที่อยู่รอบๆ