หวังเจียจุ้นรู้สึกว่าเหมือนตัวเองโดนเหยียดหยาม
ตอนนี้หลงหลิงหลิงถูกหวังเจียจุ้นกระชากชุดนอนกระโปรงออกหมดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ถูกหวังเจียจุ้นขึ้นคร่อมอยู่ด้านบนร่างกายที่เปลือยเปล่า
แต่ในขณะที่เขากำลังจะประทับจูบลงไปอยู่นั้น ด้านนอกกลับมีเสียงที่ร้อนรนดังขึ้นมาก่อน
“คุณชาย รีบหนี! ไฟไหม้แล้ว!”
หวังเจียจุ้นตกตะลึงอย่างกะทันหัน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองออกไปข้างนอกหน้าต่าง “พวกแกแม่งโง่หรือเปล่าวะ? ไฟไหม้ก็รีบไปดับไฟดิ มาแหกปากตะโกนทำห่าอะไร?”
“รีบไปดับไฟเดี๋ยวนี้ ใครกล้ามาขัดฉัน ฉันจะเอาคนนั้นตาย!”
……….
บนแม่น้ำบริเวณสะพานเทียนเป่ยมีเรือกู้ชีพจอดอยู่หลายลำ พวกเขาต่างกำลังค้นหาร่างของไป๋ยี่เฟยอย่างต่อเนื่อง
สถานการณ์ในตอนนี้ดูยิ่งใหญ่มาก ทำให้ดึงดูดความสนใจของผู้คนที่เดินผ่านไปมา
นอกเหนือจากผู้คนที่มามุงดูแล้ว ยังมีเหล่าลูกน้องของไป๋ยี่เฟยอีกด้วย
ไม่รู้ว่าค้นหาไปนานเท่าไหร่ ไป๋หู่ขึ้นมาบนบกแล้ว เขาพูดกับจางหัวปินด้วยดวงตาที่แดงเถือก “งมได้แค่รถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่ง”
แต่จางหัวปินกลับเอาแต่กระพริบตาให้ไป๋หู่
ไป๋หู่ผงะไปสักพัก ตอนนี้เขาถึงจะสังเกตเห็นหลี่เสว่ที่ยืนอยู่ด้านหลังของพวกเขา
เมื่อเฉินห้าวเห็นเช่นนี้จึงรีบเข้าไปปลอบใจหลี่เสว่ “ซ้อครับหาตัวคนไม่เจอเลย แสดงว่าพี่ยังมีลมหายใจอยู่แน่นอนเป็นไปได้ว่าพี่อาจจะลอยตามน้ำไป……”
เสียงของเขายิ่งพูดยิ่งแผ่วเบาลง เห็นได้ชัดเลยว่าเขาก็มีความมั่นใจเหมือนกัน
จางหัวปินพูดขึ้นมาต่ออีกว่า “ผมจำได้ว่านายซาเคยดูดวงให้ไป๋ยี่เฟยมาก่อน บอกว่าโชคชะตาชีวิตของเขาไม่ใช่คนที่ชีวิตสั้น ในเมื่อเป็นคำพูดของนายซางั้นต้องเป็นสิ่งที่แม่นยำแน่นอน”
อย่างไรก็ตามใบหน้าของหลี่เสว่กลับเรียบนิ่งเป็นอย่างมาก น้ำเสียงก็เรียบนิ่งด้วยเช่นกัน “ฉันไม่เป็นอะไร พวกนายไม่ต้องเป็นห่วงฉัน ขอบคุณที่พวกนายยอมลำบากนะ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทุกคนก็ได้ก้มหน้าเงียบกริบลงไป
พวกเขาต่างรู้ดีว่าถึงแม้ภายนอกหลี่เสว่จะดูเรียบนิ่งมาก แต่ในความเป็นจริงแล้วเธอแบกรับความเจ็บปวดและความรู้สึกไม่สบายใจมากกว่าคนอื่นเสียอีก
ผ่านไปไม่นานนัก หลิวจื่อหยุนและหลี่เฉียงตงก็ได้มาถึง
หลิวจื่อหยุนมองดูหลี่เสว่ที่เรียบนิ่งขนาดนี้ จึงไม่รู้ว่าควรจะพูดปลอบใจลูกสาวของตัวเองยังไงดี “เสว่เอ๋อ……ต้องไม่เป็นอะไรแน่นอน…..”
………
ตระกูลไป๋ใช้อิทธิพลอำนาจทั้งหมดของเมืองหลวง มุ่งหน้าตรงมายังเมืองเทียนเป่ย
พวกเขาได้ทำการค้นหาทั้งสายแม่น้ำและทุกเมืองที่แม่น้ำไหลผ่าน
แต่ทว่าเวลาผ่านพ้นไปแล้ววันนึง ก็ยังไม่ได้รับบทสรุปใดๆเลย
เบื้องบนไม่มีคำสั่งให้หยุดค้นหาจึงไม่มีคนใกล้หยุดค้นหา พวกเขากำลังค้นหาอย่างต่อเนื่อง
สำนักงานใหญ่ของเฟยเสว่กรุ๊ป ไป๋หยุนเผิงกับหลี่เฉียงตงและรวมไปถึงคนอื่นต่างมารวมตัวกันอยู่ในห้องประชุม
นอกจากพวกเขาแล้ว เจ้าบ้านตระกูลเย่ เย่เจี่ยเจ้าบ้านตระกูลหลิน หลินขวางก็ได้มาถึงเมืองเทียนเป่ยด้วยเช่นกัน
ตอนนี้ไป๋หยุนเผิงโกรธเป็นอย่างมาก เขาตบโต๊ะแล้วพูดด้วยดวงตาที่แดงเถือก “ไม่ว่าประวัติความเป็นมาของตระกูลหวังจะเป็นยังไง กล้ามาแตะต้องลูกชายฉัน ฉันไม่มีทางปล่อยพวกมันไปแน่นอน!”
เย่เจี่ยรีบพูดต่ออีกว่า “ประธานไป๋ ตระกูลเย่ของเราจะร่วมต่อกรตระกูลหวังนั่นพร้อมกันกับตระกูลไป๋เอง!”
หลินขวางก็พูดเหมือนกันว่า “ตระกูลหลินด้วย ไป๋ยี่เฟยคือเพื่อนของผม ผมก็ไม่มีทางปล่อยให้คนที่มารังแกข่มเหงเพื่อนผมรอดไปได้แน่นอน!”
“ดี!” ไป๋หยุนเผิงพยักหน้าก่อนจะพูดว่า “เรื่องนี้ผมจำไว้แล้ว ขอยังไม่พูดคำเกรงใจอะไรต่อทุกท่านก่อนนะครับ”
ถัดจากนั้น เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วกดโทรหาหัวหน้างานของตระกูลไป๋ทันที “ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป รวบรวมผลตอบแทนทั้งหมดของกองทุนของบริษัทและกรุ๊ปทั้งหมดที่อยู่ภายใต้ตระกูลไป๋ เพื่อจัดการตระกูลหวัง”
เย่เจี่ยที่เห็นเช่นนี้ จึงโทรกลับไปยังตระกูลเย่ด้วยเช่นกัน “ตอนนี้ให้รวบรวมลตอบแทนทั้งหมดของกองทุนของบริษัทและกรุ๊ปทั้งหมดที่อยู่ภายใต้ตระกูลเย่ เพื่อจัดการตระกูลหวัง”
หลินขวางก็ได้ทำเหมือนคนอื่นๆเช่นกัน
หวังโหลวก็ได้เข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้ด้วยเช่นกัน ตอนนี้เมื่อเห็นว่าสามตระกูลใหญ่แห่งเมืองหลวงร่วมมือกันเพื่อจัดการตระกูลหวัง เขาก็ทั้งรู้สึกกังวลทั้งรู้สึกดีใจ
สิ่งที่กังวลคือตอนนี้เขายังหาตัวไป๋ยี่เฟยไม่เจอ ส่วนที่รู้ดีใจก็เพราะว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นถึงศักยภาพความสามารถที่แท้จริงของตระกูลใหญ่เองกับตา
ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้เฟยเสว่กรุ๊ปพัฒนาขึ้นมาได้ไม่เลวเลย แต่เมื่อเปรียบเทียบกับสามตระกูลใหญ่นี้แล้ว ก็เท่ากับปลาเล็กเจอปลาใหญ่ชัดๆ
ภายใต้แต่ละตระกูลของพวกเขามีกรุ๊ปและบริษัทย่อยหลายสิบหรือหลายร้อยกรุ๊ปและบริษัท และภายใต้เฟยเสวกรุ๊ปมีแค่สามกรุ๊ปและสิบกว่าบริษัทเท่านั้น
เพราะฉะนั้นจึงสามารถจินตนาการได้เลยว่า ถ้ารวบรวมเงินทุนทั้งหมดของสามตระกูลใหญ่เข้าด้วยกัน จะเป็นตัวเลขที่น่ากลัวมากขนาดไหน
ถึงแม้พื้นฐานอิทธิพลของตระกูลหวังจะมีลึกมากแค่ไหน เป็นตระกูลเก่าแก่ที่ซ่อนเร้นมานานหลายสิบปี คาดว่าคงไม่สามารถต่อกรกับการร่วมมือกันของสามตระกูลใหญ่ได้หรอก
แต่ทว่าในขณะเดียวกันเขาก็นึกปัญหาหนึ่งขึ้นมาได้ ก่อนที่เขาจะรีบพูดกับไป๋หยุนเผิงว่า “ก่อนหน้านี้ไป๋ยี่เฟยให้กำลังทั้งหมดในเฟยเสว่กรุ๊ปไปสกัดกั้นธุรกิจกิจการของสหพันธ์วรยุทธสำนักหนานเหมิน และยังบอกอีกว่าจะตัดช่องทางเศรษฐกิจของฝ่ายตรงข้ามให้ขาดอย่างสิ้นเชิง โดยที่ไม่สนใจว่าจะต้องแลกกับอะไร”
“ลุงไป๋ครับ ตอนนี้…..พวกเราจะดำเนินการต่อหรือว่า…..”
หวังโหลวก็แค่อยากเป็นอีกกำลังแรงในการแก้แค้นให้ไป๋ยี่เฟยเท่านั้นเอง
แต่ไป๋หยุนเผิงกลับส่านหน้าแล้วพูดว่า “ไม่ต้อง ทำตามที่ไป๋ยี่เฟยบอกเถอะ”
“ครับ”
หลังจากที่ปรึกษาหารือเรื่องนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเขาจึงพากันแยกย้าย แล้วไปรออยู่ที่ข้างแม่น้ำ
และหลังจากที่พวกเขาจากไปแล้ว เหมือนกับว่าจางหรงอยากรายงานอะไรบางอย่าง แต่เขากลับพบว่าหวังโหลวกำลังยืนอยู่หน้าประตูพร้อมกับใบหน้าที่เหม่อลอย
จางหรงเดินขึ้นไปถามอย่างไม่เข้าใจว่า “ประธานหวังครับ คุณเป็นอะไรไปน่ะ?”
หวังโหลวแค่ฝืนยิ้มพลางส่ายหน้า “นักธุรกิจเนี่ยนะ……”
จางหรงยิ่งไม่เข้าใจ
หวังโหลวแค่พูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาว่า “เกิดเรื่องขึ้นกับไป๋ยี่เฟย แต่สามารถทำให้สามตระกูลใหญ่ร่วมมือกันได้ พวกเขาช่างหน้าโอกาสเป็นจริงๆเลยนะเนี่ย!”
“นี่…..” จางหรงผละไปก่อนครู่นึง กว่าจะตอบสนองกลับมาได้ และร่างกายเริ่มสั่นขึ้นมาเล็กน้อย “คุณหมายความว่า……”
แต่ตอนนี้หวังโหลวกลับตบไหล่ของเขาแล้วพูดว่า “นายมาที่นี่แค่มารายงานข่าวเท่านั้น”
จางหรงตอบสนองกลับมาได้ทันที “ครับ ผมแค่มารายงานข่าวเท่านั้น”
ถัดจากนั้นเขาจึงนำข่าวสารทั้งหมดรายงานให้หวังโหลวทราบ หลังจากที่พูดจบร่างกายของเขาก็เต็มไปด้วยเหงื่อ
……….
ณ โรงแรมเมืองเทียนเป่ย หลิวเสี่ยวอิงกำลังถูกขังอยู่ในห้องๆนึง
วินาทีนี้หลิวเสี่ยวอิงกำลังตบประตูอย่างต่อเนื่อง “พ่อแม่ ขอร้องพวกคุณล่ะ รีบปล่อยหนูออกไปที! ปล่อยหนูออกไป!”
ถึงแม้เธอจะถูกกักขังอยู่ในห้อง แต่โทรศัพท์ของเธอกลับไม่ได้ถูกยึดไป เพราะฉะนั้นเธอจึงทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเมื่อคืนเป็นธรรมดาอยู่แล้ว
แต่ว่าสิ่งที่เธอทราบนั้นไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่นัก เนื่องจากสิ่งที่เธอเห็นล้วนเป็นข่าวที่รายงานผ่านทางสื่อโซเชียล
เนื้อหาในข่าวรายงายว่าเจ้านายที่แท้จริงของเฟยเสว่กรุ๊ป เพราะคิดไม่ตกเรื่องความรัก ทำให้เขาขับมอเตอร์ไซค์พุ่งตรงเข้าไปในแม่น้ำเพื่อเป็นการฆ่าตัวตาย
ทันทีที่เห็นข่าวนี้ หลิวเสี่ยวอิงก็เกือบจะอกแตกตาย
จากนั้นเธอจึงรีบโทรไปทางโรงพยาบาลโว่หลง หลังจากที่ทราบว่าคนของไป๋ยี่เฟยได้ออกไปตามหาไป๋ยี่เฟยหมดแล้ว เธอก็รู้แล้วว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง
อีกอย่างเรื่องนี้แค่คิดๆดูก็รู้แล้วว่าเป็นเพราะอะไร เพราะฉะนั้นตอนนี้เธอจึงรู้สึกร้อนรนมากและรู้สึกผิดมากเช่นกัน
พ่อของหลิวเสี่ยวอิงหลิวโก๋จงพูดด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน “ไอ้ลูกทรพี! แกยังรู้สึกขายหน้าไม่มากพอใช่ไหม? แกอยู่ในห้องต่อไปเถอะ ห้ามไปไหนทั้งนั้น!”
“เสี่ยวอิง เขาก็ตายไปแล้ว แกอย่าทำอะไรโง่ๆอีกเลย กรรมตามสนองจริงๆ….. ผู้ชายเลวๆอย่างไป๋ยี่เฟย มันไม่คุ้มค่าที่แกจะเสียใจให้มันเลยนะ เสี่ยวอิง!” แม่ของหลิวเสี่ยวอิง อู๋หยุนพูดห้ามอย่างใจเย็น
อย่างไรก็ตามคำพูดพวกนี้กลับทำให้หลิวเสี่ยวอิงยิ่งรู้สึกสิ้นหวังและเสียใจ
“อ๊าย!”
หลิวเสี่ยวอิงร้องไห้เสียใจอย่างทุกข์ทรมาน
อู๋หยุนที่ได้ยินแบบนี้ก็รู้สึกเสียใจมากเช่นกัน น้ำตาร่วงลงมาอย่างควบคุมไม่ได้
………
บ้านพักอาศัยในเขตชานเมืองของเทียนเป่ย
ไป๋ยี่เฟยค่อยๆได้สติกลับคืนมา ก่อนจะลืมตากวาดตามองบริเวณรอบรอบครั้งนึง เขาพบว่าเขากำลังนอนอยู่ในห้องที่แสงไฟร่ำไรห้องนึง
ห้องดังกล่าวนี้ไม่มีหน้าต่างแต่อย่างใด เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ที่ไหน
และในตอนนี้เอง ประตูห้องก็ถูกคนผลักออก
“ลูกพี่ไป๋ พี่ตื่นสักที” ผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมกับโจ๊กถ้วยนึงในมือ
บนใบหน้าเธอมีรองพื้นที่หนาปึกและสีลิปแดงก่ำบนปาก ผมถูกย้อมด้วยสีเหลืองทองและทรงผมมัดจุก
ก่อนจะมองไปที่เสื้อผ้าหน้าผมของเธอ ทั้งๆที่อายุดูไม่ค่อยมากเท่าไหร่นัก แต่เธอกลับสวมใส่เสื้อผ้าถักที่ดูค่อนข้างมีอายุ
เธอเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มที่สวยงาม พร้อมกับโจ๊กในมือแล้วพูดว่า “ลูกพี่ไป๋ พี่หมดสติไปหนึ่งวันหนึ่งคืน รีบลุกขึ้นมากินโจ๊กก่อนเถอะค่ะ”