หยุนอิงรู้สึกว่าตัวเองถูกเล่นขึ้นมาในทันที จ้องไป๋ยี่เฟยด้วยความโมโหเป็นอย่างยิ่ง
สีหน้าของไป๋ยี่เฟยจริงจังกว่าก่อนหน้านี้มาก “ผมต้องการฆ่าท่านดยุก”
การปรากฏตัวของหยุนอิง ทำให้ไป๋ยี่เฟยคิดถึงฉุงลี่ซือขึ้นมา คิดถึงหมู่บ้านที่ถูกเผา คิดถึงคำสัญญาที่ตัวเองมีต่อสือหยุน เขาต้องล้างแค้นให้กับพวกเขา
ไป๋ยี่เฟยก่อนหน้าที่จะตายยังมีความเสียใจในสิ่งที่ยังไม่ได้ทำมากมาย และในความเสียใจในสิ่งที่ไม่ได้ทำมากมายเช่นนี้ สิ่งเดียวที่เขาสามารถทำให้สำเร็จได้ก็มีเพียงสิ่งนี้เท่านั้น
“ท่านดยุกคือหนึ่งในหุ้นส่วนที่สำคัญของสมาพันธ์วรยุทธ ฆ่าไม่ได้!” น้ำเสียงของหยุนอิงเด็ดขาด
ไป๋ยี่เฟยท่าทีไม่แยแส “ได้ งั้นพวกเราก็เป็นปรปักษ์กันให้ถึงที่สุดก็แล้วกัน”
หยุนอิงเกิดจิตสังหารต่อไป๋ยี่เฟยขึ้นมา
ไป๋ยี่เฟยกำลังข่มขู่เธอ และเธอ ดูเหมือนจะทำได้เพียงยอมรับ
เธอรู้อย่างชัดเจนว่า ท่านดยุกคนหนึ่งกับเศรษฐกิจของทั้งหนานเหมิน อะไรสำคัญยิ่งกว่า
“ไม่มีที่ว่างให้เจรจาต่อรองแล้ว?” หยุนอิงเอ่ยถามขึ้นอย่างไม่เต็มใจนัก
“ไม่มี” ท่าทีของไป๋ยี่เฟยก็เด็ดขาดมากเช่นเดียวกัน
หลังจากที่หยุนอิงคิดไตร่ตรองอยู่ระลอกหนึ่ง ก็กัดฟันเอ่ย “ได้ งั้นฉันต้องทำยังไง?”
ในเวลานี้ ก็มีเรือลำหนึ่งปรากฏขึ้นมาอีก
หลังจากที่เรือเทียบชายฝั่ง ไม่มีคนลงมาจากเรือ ถึงขั้นล้วนไม่มีเดินไปถึงที่บนดาดฟ้า
ไป๋ยี่เฟยและหยุนอิงต่างก็มองเข้าไป
หยุนอิงขมวดคิ้วเล็กน้อยพร้อมกับเอ่ย “เรือของสมาพันธ์วรยุทธ”
สถานะของหยุนอิงในสมาพันธ์วรยุทธไม่ได้ต่ำ แต่เรือของสมาพันธ์วรยุทธมาถึงที่นี่นั้นเธอกลับไม่รู้ ยิ่งถึงขั้นคนเหล่านี้คิดไม่ถึงว่าจะไม่ลงจากเรือมาทักทายกับเธอ ก็จอดไว้ตรงนั้นแบบนี้ ดูท่าสถานะของคนที่อยู่บนเรือไม่ได้ต่ำไปกว่าหยุนอิง
ไป๋ยี่เฟยและหยุนอิงคิดถึงสถานะของคนที่อยู่บนเรือได้ในทันที ไป๋ยี่เฟยกลับไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับอะไร กลับเป็นสีหน้าของหยุนอิงที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย
“คุณวางใจได้ เขาไม่มีทางลงจากเรือ” ไป๋ยี่เฟยเห็นหยุนอิงสีหน้าไม่น่าดูนัก จึงเอ่ยขึ้นมาหนึ่งประโยคอย่างราบเรียบ
หยุนอิงประหลาดใจเป็นอย่างมาก “คุณรู้ได้ยังไง?”
ไป๋ยี่เฟยยิ้มอย่างนิ่งเฉย “รอดูก็แล้วกัน”
เป็นอย่างที่ไป๋ยี่เฟยพูดเอาไว้จริงๆ เรือจอดอยู่ตรงนั้นไม่มีใครลงมาโดยตลอด
ผ่านไปครู่หนึ่ง ก็มีเรืออีกลำเข้ามาใกล้จากที่ไกลๆ จากนั้นก็เหมือนกันกับเรือลำแรก จอดที่ชายฝั่ง ไม่มีคนออกมาเช่นเดียวกัน
หยุนอิงเห็นแล้วเกิดความสงสัยอย่างถึงที่สุด
ไป๋ยี่เฟยกลับนั่งอยู่บนหินอย่างสงบเยือกเย็นไม่สะทกสะท้าน เดี๋ยวมองฟ้า เดี๋ยวมองทะเล
เขากำลังรอความตาย และกำลังรอความตายของคนอื่นเช่นเดียวกัน
ไม่นาน เรือลำที่สามก็ปรากฏขึ้น จากนั้นก็คือเรือลำที่สี่ ตลอดจนเรือที่จำนวนเยอะขึ้นเรื่อยๆจอดเทียบอยู่ที่ชายฝั่ง
และเรือจำนวนมากขนาดนี้ที่จอดเทียบต่างก็เป็นแบบเดียวกัน ทุกๆลำไม่มีคนออกมา พวกเขาดูเหมือนรู้ว่าไป๋ยี่เฟยจะตาย ทั้งหมดมาส่งเขาช่วงระยะสุดท้าย
หยุนอิงเอ่ยทอดถอนใจออกมาต่อสิ่งนี้ “คุณนี่หน้าใหญ่มากจริงๆ”
แต่ทว่าไป๋ยี่เฟยกลับรู้สึกเพียงแค่เศร้ารันทดไม่มีที่สิ้นสุด
เขาสามารถรู้สึกได้ถึงลมหายใจของตนเองยิ่งเพิ่มความถี่ อีกทั้งความถี่ในการกระอักเลือดก็ค่อยๆเพิ่มมากยิ่งขึ้น
เพียงแต่คำนวณอย่างคร่าวๆดูสักหน่อยแล้ว ไป๋ยี่เฟยก็หัวเราะเยาะตัวเองขึ้นมา “ฉันยังสามารถยืนหยัดได้อีกสามวัน พวกเขามาเร็วเกินไปแล้ว”
หยุนอิงเอ่ย “หนานเหมินมาถึงที่นี่ใช้เวลาเพียงแค่หนึ่งวันหนึ่งคืน”
ไป๋ยี่เฟยพยักหน้าพร้อมกับเอ่ย “งั้นก็ไม่ถือว่าเร็วเกินไป”
เขายังมีเวลาอีกสามวัน ท่านดยุกต้องการเพียงแค่หนึ่งวันหนึ่งคืนก็สามารถรีบเร่งมาถึงที่นี่ได้
และพอท่านดยุกมาถึง ระหว่างพวกเขาจะต้องมีการต่อสู้ที่ดุเดือดอย่างแน่นอน จะพูดยังไงท่านดยุกก็เป็นยอดฝีมือระดับหนึ่งชั้นสูง
ไป๋ยี่เฟยหากสามารถฆ่าท่านดยุกได้อย่างราบรื่นล่ะก็ เวลานั้นคาดว่าจะต้องอยู่ไม่ไกลจากความตายแล้วอย่างแน่นอน
เพียงแต่นี่คือผลลัพธ์ที่ดี ที่ไม่ดีก็คือเขาไม่สามารถฆ่าท่านดยุกทิ้งได้เลย
สีของฟ้าค่อยๆมืดลงมา มีเรือลำหนึ่งเทียบมาที่ชายฝั่งอีก
เพียงแต่เรือลำนี้ไม่เหมือนกับเรือลำอื่น เพราะว่าบนดาดฟ้าของเรือยืนเต็มไปด้วยคน
เพราะว่าบนดาดฟ้าของเรือลำนี้มีคน อีกทั้งยังเป็นคนกลุ่มหนึ่ง
และหลังจากที่ไป๋ยี่เฟยมองเห็นคนที่อยู่บนเรือแล้ว ใจก็เต้น ดวงตาทั้งสองข้างเบิกโพลงขึ้นในทันที ใบหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึง
หลังจากที่หยุนอิงมองเห็นก็เผยสีหน้าที่ตกใจออกมาเล็กน้อยเช่นเดียวกัน
หลังจากที่เทียบท่า บนเรือยื่นแท่นกระโดดที่ยาวมากออกมาแผ่นหนึ่ง จากนั้นคนที่อยู่บนเรือก็เหยียบขึ้นบนแท่นกระโดดอย่างรอไม่ไหว
แม้ว่าคนที่อยู่บนเรือจะเยอะมาก แต่ความเป็นจริงแล้วที่ลงมามีเพียงแค่สองคน
นั่นก็คือหลี่เสว่และหลิวเสี่ยวอิง
หลังจากที่พวกเธอลงจากเรือก็รีบมาถึงด้านหน้าของไป๋ยี่เฟยด้วยความรวดเร็วในทันที คนสามคน ดวงตาหกคู่ประสานกัน ราวกับถูกกดปุ่มหยุดชั่วคราวก็ไม่ปาน
ไป๋ยี่เฟยเดิมทีคิดอยากจะปิดบังหลี่เสว่และหลิวเสี่ยวอิง แต่ตอนนี้พวกเธอคิดไม่ถึงว่าจะยืนอยู่ตรงหน้าเขา ถ้างั้นคิดดูก็คงจะรู้แล้ว เขาไม่รู้ว่าพวกเธอรู้ได้ยังไงกัน
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นก็ตายอย่างตรงไปตรงมา สบายๆหน่อย ไม่ต้องทำให้เศร้าโศกเสียใจขนาดนั้น
ด้วยเหตุนี้ ไป๋ยี่เฟยจึงกางแขนออก เผชิญหน้าทั้งสองคนด้วยรอยยิ้ม
หลี่เสว่และหลิวเสี่ยวอิงต่างก็รอบดวงตาแดงก่ำ ควบคุมหยดน้ำตาที่อยู่ในรอบดวงตาไม่ให้ไหลออกมาอย่างสุดความสามารถ เพราะว่าก่อนหน้านี้พวกเธอปรึกษากันเอาไว้อย่างดีแล้ว ว่าหลังจากที่เห็นไป๋ยี่เฟย จะร้องไห้ไม่ได้
พอพวกเธอร้องไห้ ในใจของไป๋ยี่เฟยก็จะเจ็บปวดมากยิ่งขึ้น
ดังนั้น พวกเธออดกลั้นน้ำตา เข้าสู่อ้อมกอดของไป๋ยี่เฟยอย่างเงียบๆ
ทั้งสามคนกอดอยู่ด้วยกัน
และฉากที่อยู่ในเวลานี้ ได้ถูกโทรทัศน์วงจรปิดที่อยู่ภายในห้องโดยสารถ่ายทอดให้กับทุกคนที่อยู่บนเรือได้เห็น
บนเรือลำแรกที่มาถึง เหลียงหมิงเยว่เอ่ยล้อเล่นด้วยคำพูดที่น่าขันว่า “สายเลือดของเยว่มีโชคที่ทำให้ได้รับความชื่นชอบจากผู้หญิงไม่น้อยจริงๆ เหมือนกับเยว่ในตอนแรกไม่มีผิด”
หลี่เสว่และหลิวเสี่ยวอิงสาวงามระดับสูงสุดแบบนี้ที่จริงแล้วพบเจอได้ยากมาก แต่ไป๋ยี่เฟยกลับรวดเดียวได้พบถึงสองคน ไม่ใช่แค่นี้ เขาในได้ครอบครองทั้งสองคนในขณะเดียวกัน ดูพวกเขาก็เข้ากันได้อย่างดีมาก นี่ก็สุดยอดมากเลยจริงๆ
เพียงแต่สีหน้าของจีไซไม่ค่อยจะดีนัก
เพราะว่าลูกสาวของเขาหยุนอิงยังยืนอยู่ที่ข้างกายของพวกเขา เธอปรากฏตัวอยู่ที่นี่ในเวลานี้เห็นได้ชัดว่าไม่เหมาะสมเป็นอย่างมาก ดังนั้นจีไซจึงรู้สึกไม่สบอารมณ์
ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ว่าจะจริงหรือเท็จ ไป๋ยี่เฟยต่างก็เป็นฆาตกรที่ฆ่าลูกชายทั้งสองคนของตนเอง และคำพูดของเหลียงหมิงเยว่เมื่อสักครู่นี้ เหมือนก็รวมหยุนอิงเข้าไปในนั้นด้วย
จีไซอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาอย่างประชดประชัน “ขายหน้าจริงๆ!”
ในเรืออีกลำหนึ่ง หลานชายของหวังสือชิ่งหวังกางก็มองเห็นฉากนี้เช่นเดียวกัน รู้สึกโมโหเป็นอย่างยิ่ง “แม่งไอ้หมอนี่มีโชคที่ทำให้ได้รับความชื่นชอบจากผู้หญิงไม่น้อยจริงๆ!กูเมื่อไรถึงจะมีโชคผู้หญิงแบบนี้ได้?”
ตอนที่หวังสือชิ่งเป็นผู้นำตระกูล ชีพจรเส้นนี้ของพวกเขาถูกกดควบคุมเอาไว้ หวังกางไม่กล้าทำเรื่องอะไรที่ล้ำเส้น
แต่ตอนนี้หวังสือชิ่งตายแล้ว พ่อของเขากลายเป็นผู้นำตระกูล เขานึกว่าในที่สุดเขาก็สามารถทำในสิ่งที่ต้องการได้ สุดท้าย กลับถูกกฎประเพณีของตระกูลหวังตีกรอบอย่างแน่นหนา
กฎประเพณีของตระกูลหวังก็คือผู้ชายของตระกูลหวังทำได้เพียงหาผู้หญิงที่เกิดในปีหยินเดือนหยินวันหยิน ไม่เช่นนั้นจะทำให้สายเลือดของตระกูลหวังแปดเปื้อนมลทินได้
หวังกางนึกว่าพ่อของตนเองเป็นผู้นำตระกูลแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องห้ามกฎประเพณีเหล่านี้อีก แต่ว่า พ่อของเขาก็ตักเตือกเขาอย่างจริงจังเช่นเดียวกันว่า จะต้องยึดมั่นในกฎประเพณี
หวังกางอุทานออกมาอย่างประชดประชัน “แม่งเอ๊ย กูอายุยี่สิบกว่าแล้ว แม้แต่ผู้หญิงคนเดียวก็ยังไม่ได้สัมผัส สวะที่กำลังจะตายนี่คิดไม่ถึงว่าเพียงครู่เดียวจะได้ครอบครองสาวสวยระดับโลกถึงสองคน มีสิทธิ์อะไร?”
ชายคนหนึ่งที่รูปร่างสูงมากข้างกายของเขาโค้งตัวเล็กน้อยพร้อมกับเอ่ย “นี่คือกฎประเพณีของตระกูลหวังเราที่จำกัดคุณชาย หากไม่มีกฎประเพณีนี้ สาวสวยเหล่านี้ไม่ใช่ว่าก็ต้องตกเป็นของคุณชายหรอกหรอครับ?”
หวังกางอุทานอย่างประชดประชันออกมาอีกครั้ง
ชายตัวสูงคนนั้นคิดไอเดียหนึ่งขึ้นมาได้อย่างกะทันหัน เอ่ยกับหวังกางเบาๆว่า “คุณชาย ถึงอย่างไรไอ้นั่นก็ใกล้จะตายแล้ว จะให้ผู้น้อยไปเอาผู้หญิงสองคนนั้น…”
หวังกางชะงักเล็กน้อย จากนั้นเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าที่หนักอึ้ง “ลุงชิว กฎประเพณีของตระกูลหวังคุณคงจะรู้ ผม…”
“คุณชายวางใจได้” ลุงชิวเอ่ยขึ้นเบาๆ “ขอเพียงแค่ถึงเวลาปรับกล้องวงจรปิดเล็กน้อย คุณชายไม่ใช่ก็สามารถ…”
พูดจบ ดวงตาทั้งสองข้างของหวังกางก็เปล่งประกายขึ้นในทันที
ลุงชิวเห็นท่าในใจแอบยินดีขึ้นมาระลอกหนึ่ง หากเขาช่วยหวังกางทำเรื่องนี้สำเร็จ คาดว่าก็คงจะได้รับความเชื่อใจจากหวังกางอย่างแน่นอน ถ้างั้นสถานะของเขาที่ตระกูลหวังในภายภาคหน้า ก็เป็นเหมือนกับอาหยางในก่อนหน้านี้
แต่ทว่าที่เขาไม่รู้ก็คือ ในใจหวังกางกำลังคิดอยู่ว่า รอหลังจากที่เรื่องนี้สำเร็จ ต้องคิดหาวิธีให้ลุงชิวหายไปจากโลกนี้ งั้นก็ไม่มีใครที่จะรู้เรื่องนี้ได้แล้ว
บนฝั่ง หลังจากที่พวกไป๋ยี่เฟยแยกออก ก็เดินไปทางส่วนที่ลึกกว่าเดิมด้วยกัน
หยุนอิงเห็นท่าอยากจะตามไปด้วย
ไป๋ยี่เฟยจึงหันศีรษะยิ้มอย่างชั่วร้ายให้กับเธอพร้อมกับเอ่ย “พวกเราสามีภรรยาไม่ได้เจอกันมานานแล้ว จะไปที่ๆไม่มีคนปลอบโยนอย่างแนบชิดสักหน่อย คุณก็จะมาด้วยกันหรอ?”
หยุนอิงหน้าแดงในทันที “ไร้ยางอาย!”
ไป๋ยี่เฟยพาหลี่เสว่และหลิวเสี่ยวอิงมาถึงยังอีกฝั่งหนึ่ง