บทที่161
ในตอนเช้า หลงหลิงหลิงก็ตื่นไปบริษัท
พอมาถึงที่บริษัทแม่ของเธอก็โทรมา
“หลิงหลิง นี่มันก็นานขนาดนี้แล้วนะ ท่านประธานไป๋เขาใจเย็นลงบ้างแล้วหรือยัง? แกลองไปพูดกับเขาอีกรอบสิ เสี่ยวเทียนทำเป็นทุกอย่างเลยนะ แกรับเขาไปทำตำแหน่งอะไรก็ได้”
หลงหลิงหลิงขมวดคิ้ว “แม่คะ ท่านประธานเขา……”
“โอ้ย หลิงหลิง เรามีลูกชายแค่คนเดียวนะ ถ้าเขาไม่มีอะไรทำเป็นชิ้นเป็นอันละก็ต่อไปเราจะทำยังไง? หลิงหลิง แกลองไปพูดดูอีกทีนะ ท่านประธานไป๋เขาดูแลแกดีจะตาย เขาอาจจะยอมฟังแกก็ได้……”
หลงหลิงหลิงตัดสายไปพร้อมกับแววตาที่เย็นชื่น
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่แม่โทรมาหาเธอแบบนี้ ทุกครั้งที่โทรมาก็ไม่ได้โทรมาเพื่อถามไถ่หรอกว่าลูกสาวที่ใช้ชีวิตอยู่ข้างนอกคนเดียวแบบนี้เป็นอยู่ยังไงบ้าง แต่ทุกครั้งที่โทรมาก็เพื่อเซ้าซี้ให้เธอพาน้องชายเข้าไปทำงานในโหวจวี๋เท่านั้น
ถึงแม้จะเกิดเรื่องครั้งก่อนไปแล้วก็ตาม แต่พวกเขาก็ยังเห็นว่าเธอเป็นแค่คนที่มีประโยชน์ของน้องชาย เป็นเพียงเครื่องมือที่จะนำพาอนาคตที่สดใสมาให้น้องชาย แต่ไม่ใช่ในฐานะลูกสาวคนหนึ่งเลย
หลงหลิงหลิงเขวี้ยงมือถือลงบนโต๊ะทำงานด้วยความรำคาญใจ วันนี้เธอก็จะไปจากโหวจวี๋แล้ว ถ้าพวกเขารู้เข้า พวกเขาจะทำยังไงต่อนะ?
พอคิดแล้ว หลงหลิงหลิงก็เผลอยิ้มออกมาอย่างเย็นชา
เก้าโมงเช้า การประชุมของโหวจวี๋กรุ๊ป
ผู้บริหารทุกท่านนั่งเต็มทุกที่นั่ง คนที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งตรงกลางก็คือไป๋ยี่เฟย ส่วนหลงหลิงหลิงก็นั่งอยู่ข้างๆ เขา
หลี่ฝานพาพวกคนที่มาเมื่อวานมาเข้าประชุมด้วย
พอบรรดาผู้บริหารเห็นหลี่ฝานก็พากันขมวดคิ้วกันใหญ่ หลี่ฝานมาทำอะไรที่นี่? แถมยังพาคนเยอะแยะขนาดนี้เข้ามาทำไม?
พอเดินเข้ามา หลี่ฝานที่เห็นว่าไป๋ยี่เฟยยังนั่งอยู่ตรงที่เดิม เขาก็ขมวดคิ้วขึ้นมา
ชายคนที่ทำท่าลับๆ ล่อๆ เมื่อคืนที่ชื่อว่าเห่าเจี้ยน พอเห็นหลี่ฝานขมวดคิ้วเขาก็รีบลุกพรวดขึ้นมาทันที แล้วพูดกับไป๋ยี่เฟยด้วยความเสียงดังว่า “ไป๋ยี่เฟย วันนี้คุณคงไม่มีสิทธิ์ที่จะนั่งในที่ตรงนี้อีกแล้วมั้งครับ รีบลุกให้พี่ฝานได้แล้วมั้งครับ”
หลงหลิงหลิงขมวดคิ้วแล้วมองไปยังเห่าเจี้ยน “จะมีสิทธิ์หรือไม่ มันก็ไม่ใช่เรื่องอะไรที่ต้องให้คนไม่มีตำแหน่งอะไรอย่างคุณมาเป็นคนตัดสินหรอกค่ะ!”
เห่าเจี้ยนจ้องเขม็งมาที่หลงหลิงหลิง “แล้วเธอล่ะคือตัวอะไร? เป็นแค่ผู้ช่วยยังกล้าพูดจาโอหังขนาดนี้อีก ดูท่าจะไม่มีใครสั่งใครสอน เดี๋ยวรอให้พี่หลงขึ้นเป็นประธานบริษัทก่อนเถอะ จะให้เขาสั่งสอนเธอให้เป็นอย่างดีเลย!”
พอไป๋ยี่เฟยได้ยินอย่างนั้นแววตาของเขาก็เย็นชาลงอย่างมาก “ที่นี่คือโหวจวี๋ ถ้าคุณยังพูดจาพล่อยๆ อีกละก็ ผมจะสั่งให้คนมาลากตัวคุณออกไป!”
“นี่คุณยังจะหลงตัวเองอยู่อีกเหรอครับ ตอนนี้คุณเองก็ไม่ได้เป็นอะไรแล้วสักหน่อย ยังคิดจะไล่ผมออกไปอีกเหรอ นี่คุณกำลังฝันอยู่หรือเปล่าครับ?” เห่าเจี้ยนไม่ได้ให้เกียรติเขาเลยแม้แต่น้อยเมื่อวานก็ได้เซ็นสัญญากันไปแล้ว จากนี้ไป๋ยี่เฟยก็ไม่ใช่ประธานบริษัทของโหวจวี๋กรุ๊ปอีก ตอนนี้เหลือเพียงแค่ประกาศให้ทุกคนได้รู้ก็เท่านั้นเอง
บรรดาผู้บริหารต่างพากันสงสัย นี่เขาหมายความว่าอะไร?
ไป๋ยี่เฟยเขาก็ยังเป็นประธานบริษัทของโหวจวี๋อยู่ไม่ใช่เหรอ?
ไป๋ยี่เฟยขำออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ “ได้ มาครับ รบกวนคุณทนายช่วยอ่านสัญญาให้ทุกท่านฟังหน่อยได้ไหมครับขอให้ทุกท่านช่วยตั้งใจฟังกันด้วยนะครับ ฟังให้ละเอียดๆ”
บรรดาผู้บริหารต่างจ้องตากัน แล้วนี่มันหยามความว่าอะไรอีกเนี่ย?
สัญญาอะไร?
หรือว่าโหวจวี๋กับหลี่ซื่อร่วมมือกันอย่างนั้นเหรอ?
ไม่สิ เมื่อกี้คนๆ นั้นพูดว่าวันนี้ไป๋ยี่เฟยไม่ได้เป็นอะไรแล้วใช่ไหมนะ?
สรุปนี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกัน?
ทุกคนต่างพากันสงสัย จึงพากันมองไปยังทนายความทั้งสองที่แต่งกายมาอย่างเต็มยศ
ทนายทั้งสองมองไปยังหลี่ฝาน
หลี่ฝานพยักหน้าแล้วพูดขึ้นอย่างได้ใจว่า “มาครับ ช่วยอ่านให้ทุกท่านในที่นี้ได้ทราบทีครับ นี่มันเป็นถึงเรื่องระดับตำนานของโหวจวี๋กรุ๊ปเลยนะครับ”
ว่าแล้วทนายความก็ทำตามภายใต้ความเห็นชอบของหลี่ฝาน เดินไปยังตรงกลางของห้องประชุม จากนั้นก็เริ่มอ่านสัญญาฉบับนั้น
“เนื่องด้วยเมื่อคืนท่านประธานไป๋กับท่านประธานหลี่ได้มีการเซ็นสัญญาโอนหุ้นกันเกิดขึ้น ท่านประธานไป๋ได้โอนหุ้นทั้งหมดที่ตัวเองมีให้กับท่านประธานหลี่ หลี่ฝานเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ”
“ว่าไงนะ?”
บรรดาผู้บริหารต่างพากันตกใจ
“นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
“โหวจวี๋กรุ๊ปจะเปลี่ยนประธานบริษัทแล้วอย่างนั้นเหรอ?”
“ผมจำได้ว่าท่านประธานบริษัทถือหุ้นอยู่ในมือถึงแปดสิบเปอร์เซ็นต์แล้วไม่ใช่เหรอ!”
“………”
พอหลี่ฝานได้ยินทุกคนซุบซิบกันอย่างนั้น เขาก็ยิ้ม “ไป๋ยี่เฟยมีหุ้นอยู่ในมือถึงแปดสิบเปอร์เซ็นต์เลยเหรอเนี่ย! แกนี่มันใช้ได้เลยนี่!”
“แต่ว่า หุ้นพวกนั้นมันได้กลายเป็นของผมแล้ว!”
ไป๋ยี่เฟยไม่พูดอะไรทั้งนั้น
ทนายความอ่านต่อ “อีกประการ ท่านประธานหลี่ก็ได้ยกกิจการผลไม้หลี่ซื่อกรุ๊ปทั้งหมดให้ท่านประธานไป๋ และตอนนี้ไป๋ยี่เฟยก็ได้เป็นประธานบริษัทของกิจการผลไม้หลี่ซื่อกรุ๊ปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อีกทั้งสิทธิ์ในการครอบครองและบริหารของกิจการผลไม้หลี่ซื่อกรุ๊ปก็ตกเป็นของเขาเช่นกันครับ”
หรี่ฝานพยักหน้า แล้วพูดด้วยสีหน้าที่เห็นใจว่า “อย่างน้อยผมก็ได้ตัดทางรอดของคุณทั้งหมดซะทีเดียวนะ คุณก็ไปอยู่เฝ้ากิจการผลไม้หลี่ซื่อกรุ๊ปเถอะครับ แล้วไปใช้ชีวิตอย่างสงบสุขซะ ฮาๆฮา……”
ไป๋ยี่เฟยสีหน้าเรียบเฉย
หลงหลิงหลิงได้แต่ก้มหน้า เธอรู้เรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว พอเรื่องถูกประกาศออกมาอย่างนี้ มันก็เป็นเรื่องที่ยากจะทำใจยอมรับจริงๆ
บรรดาผู้บริหารเองก็รู้สึกอย่างนั้นเช่นกัน
ท่านประธานบริษัทจะไปบริหารกิจการผลไม้หลี่ซื่อกรุ๊ปอย่างนั้นเหรอ?
ไม่สิ แล้วโหวจวี๋กรุ๊ปล่ะจะเป็นยังไงต่อ?
ในตอนนี้ ผู้บริหารทุกคนต่างจ้องตากัน โหวจวี๋ได้เปลี่ยนแปลงผู้บริหารแล้ว สิ่งที่พวกเขาเป็นห่วงที่สุดก็ยังเป็นผลประโยชน์ของตัวเองอยู่ดี สิ่งที่ได้ยินเมื่อกี้มันทั้งน่าตกใจและคาดไม่ถึง แต่มันก็ยังสำคัญน้อยกว่าผลประโยชน์ของตนเอง
จางหรงเป็นคนที่แสดงออกได้ชัดเจนที่สุด
“ท่านประธานหลี่ครับ มาๆมา เชิญนั่งครับ”
ว่าแล้วจางหรงก็ลากเก้าอี้ตัวหนึ่งมาตั้งไว้ตรงข้ามของไป๋ยี่เฟย ซึ่งมันก็เป็นที่นั่งหลักเหมือนกัน
เมื่อหลี่ฝานเห็นการกระทำของจางหรง เขาก็รู้สึกอารมณ์ดีเป็นอย่างมาก “ใช้ได้ ผมว่าต่อไปผู้บริหารจางคงจะเติบโตในโหวจวี๋กรุ๊ปได้อย่างรวดเร็วแน่ๆ ครับ”
“ก็ยังต้องพึ่งบารมีของท่านประธานบริษัทอย่างคุณอยู่ดีแหละครับ” จางหรงยิ้มจนตาตี่
พอหลงหลิงหลิงเห็นอย่างนั้นก็ขมวดคิ้วอย่างแรง แล้วมองไปที่ไป๋ยี่เฟย
ส่วนไป๋ยี่เฟยได้แต่ยิ้มอย่างเย็นเยือก และไม่พูดอะไรอีกตามเคย
จากนั้น ทนายความก็หันมาพูดกับไป๋ยี่เฟยว่า “รบกวนท่านประธานไป๋ช่วยเอาแฟ้มเอกสารหุ้นของโหวจวี๋กรุ๊ปออกมาด้วยครับ ทางเราจำเป็นต้องตรวจสอบและทำการรับรองครับ”
ไป๋ยี่เฟยมองไปทางหลงหลิงหลิง “เอาให้เขาไป”
หลงหลิงหลิงลังเลไปครู่หนึ่ง จากนั้นค่อยยื่นเอกสารให้กับทนายความ
เธอไม่อยากจะให้มันไปเลย แต่มันก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไร สัญญาถ่ายโอนก็เซ็นไปแล้ว ก็แค่ดูว่ากรรมสิทธิ์ในหุ้นมีอะไรบ้าง
พอทนายรับเอกสารไปก็เปิดอ่านอย่างละเอียดถี่ถ้วน
หลี่ฝานดีใจสุดเหวี่ยงจนแสดงออกมาทางสีหน้าที่อ้วนท้วนของเขา มองไป๋ยี่เฟยด้วยสายตาที่เหยียดหยามเหมือนเขาเป็นแค่หมาไร้ค่าที่ไม่มีบ้าน
เห่าเจี้ยนกับคนอื่นที่มาจากหลี่ซื่อก็เป็นเช่นนั้นไม่ต่างกัน พวกเขาต่างก็เป็นคนที่หลี่ฝานไว้เนื้อเชื่อใจ พอถึงเวลาหลี่ฝานจะต้องยกตำแหน่งที่สำคัญๆ เขาพวกเขารับผิดชอบแน่ แค่คิดก็ตื่นเต้นแล้ว
แต่ทว่า หลังจากที่ทนายอ่านเอกสารชุดนั้นจบ สีหน้าของเขากบาล,กระบาลเผือดขึ้นมาทันที “ท่านประธานหลี่ครับ……”
หลี่ฝานไม่ได้สังเกตสีหน้าที่เขาแสดงออกมา แล้วก็พูดขึ้นในทันทีว่า “คุณเซ็นรับรองไปเลย!”
ทนายความลังเลอยู่พักหนึ่ง แต่สุดท้ายก็อ่านมันออกมา “จำนวนหุ้นที่ไป๋ยี่ฝานถือครองในโหวจวี๋กรุ๊ปคือ……ศูนย์”
หือ……หือ? อะไรนะ?” หลี่ฝานคิดว่าเป็นแปดสิบเปอร์เซ็นต์มาโดยตลอด และไม่เคยคิดว่ามันจะผิดพลาด เขาจึงพยักหน้าไปอย่างไม่รู้ตัว พอพยักหน้าไปถึงได้รู้ว่ามันไม่อะไรผิดปกติไป
เห่าเจี้ยนเองก็งงไม่แพ้กัน “นี่คุณดูผิดไปหรือเปล่า?”
บรรดาผู้บริหารต่างพากันนิ่งเงียบ
จางหรงถึงกับสะดุ้ง จากนั้นก็แอบมองไปที่ไป๋ยี่เฟยทีหนึ่ง
มุมปากของไป๋ยี่เฟงแย้มขึ้น แต่ก็ยังไม่ได้พูดอะไร
หลงหลิงหลิวได้แต่กะพริบตา เธอนึกว่าตัวเองได้ยินผิดไป
ทนายความจำเป็นต้องพูดทวนอีกรอบ “จำนวนหุ้นที่ไป๋ยี่ฝานถือครองในโหวจวี๋กรุ๊ปคือศูนย์ครับ ส่วนหุ้นแปดสิบเปอร์เซ็นต์ที่ว่านั้นอยู่ในชื่อของไป๋หยุนเผิงครับ”
ฟังจบ หลี่ฝานก็รู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่าเข้ากลางกบาล,กระบาล
คนจากหลี่ซื่อก็อึ้งไปตามๆ กัน
แล้วบรรดาผู้บริหารก็ได้เข้าใจสักที จากนั้นก็แอบพากันถอนหายใจ ถ้าเกิดว่าหลี่ฝานมาบริหารโหวจวี๋กรุ๊ปแล้วใช้วิธีการแบบเดิมของเขาที่ผ่านมาละก็ ดูท่าโหวจวี๋กรุ๊ปคงถูกเขาเล่นจนเละแน่