บทที่ 272
ผู้คนพอได้ยินแบบนั้นต่างก็พากันมองหน้ากัน
เย่อ้ายพูดขึ้นต่อ“ดูเหมือนว่าทุกคนจะเคยทำงานร่วมกับจู้ติ่งสินะคะ แต่ตอนนี้จู้ติ่งก็เจ๊งแล้ว เชื่อว่าทุกคนขาดทุนกันไปไม่น้อย ทั้งหมดทั้งมวลนี้โหวจวี๋ก็เป็นคนทำ หรือว่าพวกคุณไม่อยากกู้สิ่งที่ขาดทุนไปกลับคืนมาอย่างนั้นเหรอ?”
กู้ส่วนที่ขาดทุนกลับคืนมา?
แน่นอนว่าอยากอยู่แล้ว!
แต่พวกเขาทำได้จริงๆเหรอ?
แถม ต่อให้ร่วมมือกัน แล้วทำไมจะต้องฟังผู้หญิงคนนี้ด้วย? ก็แค่คนของบริษัทเล็กๆเท่านั้น?
“ประธานเย่เป็นเพียงแค่ประธานของบริษัทเล็กๆ มีสิทธิ์อะไรมาเป็นคนสั่งการพวกเรา?”
“ใช่ๆ!บริษัทเย่ซื่อเอนเตอร์เทนเมนท์ก็ไม่ได้ใหญ่ไปกว่าบริษัทของผมเลย มีสิทธิ์อะไร?”
“……”
เย่ซื่อเปิดบริษัทเอนเตอร์เทนเมนท์เล็กๆเพียงแค่บริษัทเดียวในเมืองเทียนเป่ย ไม่ได้ติดอันดับของเมืองเทียนเป่ยด้วยซ้ำ ทุกคนก็เลยไม่ยอม
เย่อ้ายพอได้ฟังคำถามต่างๆของทุกคน ก็ไม่รู้สึกโกรธเลยแม้แต่น้อย แถมยังยิ้มอย่างนิ่งๆอีกด้วย
รอจนกระทั่งทุกคนเริ่มหยุดลงแล้ว เลขาของเย่อ้ายที่อยู่ข้างหลังก็ยืนขึ้น
“ทุกท่าน บริษัทเย่ซื่อเอนเตอร์เทนเมนต์ไม่ได้มีบทบาทตำแหน่งสูงอะไรในเมืองเทียนเป่ย แล้วตระกูลเย่แห่งเมืองหลวงล่ะ?”
“ตระกูลเย่แห่งเมืองหลวง?”
บรรดาผู้คนพากันอึ้งตะลึง
ความหมายของเขาก็คือบริษัทเย่ซื่อเอนเตอร์เทนเมนท์เป็นของตระกูลเย่แห่งเมืองหลวง?
หลังจากที่ผู้คนมีปฏิกิริยาตอบกลับมาแล้ว ก็หายใจเข้าหนึ่งทีด้วยความตกใจ
ตระกูลเย่แห่งเมืองหลวงไม่ใช่สิ่งที่ผู้ประกอบการเล็กๆแบบพวกเขาจะไปเทียบได้ นั่นมันเป็นเสาหลักยักษ์ใหญ่ที่แท้จริงเชียวนะ!ถึงขนาดที่โหวจวี๋กรุ๊ปยังเทียบไม่ติด
แน่นอนว่า พวกเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเบื้องหลังของโหวจวี๋กรุ๊ปคือตระกูลไป๋แห่งเมืองหลวง ไม่อย่างนั้นก็คงจะไม่คิดแบบนี้
เย่อ้ายเห็นท่าทางตกอกตกใจของทุกคนแล้ว ใจก็รู้สึกพอใจอย่างมาก พูดขึ้นมาอย่างนิ่งๆทันที“ถูกต้อง ฉันเป็นคนของตระกูลเย่ แต่ว่า ถึงยังไงเรื่องพวกนี้ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร การที่ได้เป็นผู้รับผิดชอบเมืองเทียนเป่ย แน่นอนว่าไม่มีทางไปรบกวนทางสำนักงานใหญ่หรอก อีกอย่างฉันเชื่อว่า การที่มีทุกท่าน ณ ที่นี้อยู่ด้วย ถ้าพวกเราร่วมมือกัน ก็จะสามารถกำจัดโหวจวี๋ทิ้งไปได้สำเร็จอย่างแน่นอน ไม่ใช่หรือไง?”
คำพูดและรอยยิ้มที่มั่นอกมั่นใจ บวกเข้ากับการมีแบคหลังที่ดี มันทำให้ผู้คนพากันรู้สึกเชื่อไปโดยปริยาย
แต่ก็มีคนที่เป็นกังวลอยู่เหมือนกัน
“ประธานเย่ ถึงจะพูดแบบนี้ก็เถอะ แต่ว่าก่อนหน้านี้หลิ่วซื่อกรุ๊ปก็เคยต่อกรกับโหวจวี๋มาแล้ว สุดท้ายก็มีจุดจบแบบนั้น……”
“ใช่ๆ บริษัทที่ใหญ่แบบจู้ติ่งขนาดนั้นก็ไปต่อกรกับโหวจวี๋เหมือนกัน ตอนนี้ก็พากันล่มไปแล้วเหมือนกันไม่ใช่เหรอ?”
“ว่ากันว่าก่อนหน้านี้ประธานไป๋ป่วย ไม่ได้จัดการดูแลโหวจวี๋จึงถูกจู้ติ่งจัดการ ตอนนี้หายดีแล้ว จะต้องไม่มีทางปล่อยให้พวกเราฉวยโอกาสอย่างแน่นอน”
“……”
เย่อ้ายได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มอย่างมั่นใจ“ความกังวลของพวกคุณไม่ใช่ปัญหาหรอก แต่สันนิษฐานว่าไป๋ยี่เฟยหายดีแล้ว”
“ฉันได้ข้อมูลที่แน่นอน ตอนนี้ไป๋ยี่เฟย……”
“ไม่ต่างอะไรกับเด็กห้าหกขวบ!”
“อะไรนะ?”
ผู้คนต่างนึกว่าตัวเองหูฝาดไป
ข้อมูลนี้มันทำให้น่าตกใจสุดๆ
ผู้ใหญ่ที่อายุยี่สิบกว่าปี ไม่ต่างอะไรกับเด็กห้าหกขวบ นี่มันกำลังบอกว่า ไป๋ยี่เฟยบกพร่องทางสติปัญญา กลายเป็นไอ้ทึ่มคนหนึ่ง?
ถ้าเป็นเรื่องจริงล่ะก็ แสดงว่าสวรรค์กำลังเข้าข้างพวกเราอยู่ไม่ใช่หรือไง?
โหวจวี๋มีไอ้ทึ่มเป็นผู้นำ มันจะไปพัฒนาก้าวหน้าได้ยังไง?
เย่อ้ายพูดอย่างยิ้มๆ“ตอนนี้โหวจวี๋กำลังสั่นคลอน บวกเข้ากับการขาดทุนก่อนหน้านี้ ถ้าพวกเราร่วมมือกัน จะต้องจัดการได้อย่างง่ายดายแน่นอน”
“ส่วนตัวของไป๋ยี่เฟย เนื่องจากกลายเป็นไอ้ทึ่มไปแล้ว คงจะไม่มีทางไปที่โหวจวี๋แล้วล่ะ ตอนนี้ก็น่าจะหมกตัวอยู่ที่บ้าน”
หลังจากที่ผู้คนได้ยินแล้ว ความกังวลในใจก็หายไปอย่างสิ้นเชิง ต่างพากันยินยอมให้ความร่วมมือ
เย่อ้ายยิ้มอย่างพออกพอใจ
ที่เย่อ้ายรู้ได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้งขนาดนี้ ก็เพราะว่ามีคนไปเห็นสภาพของไป๋ยี่เฟยมากับตานั่นเอง
ยิ่งไปกว่านั้น คนที่มีช่องทางอยู่บ้าง ก็รู้ถึงสถานการณ์ของไป๋ยี่เฟยจนหมด
เพียงแต่ไม่รู้ว่าใครเป็นคนส่งข้อมูลพวกนี้มา สรุปสั้นๆแล้วก็คือเป็นเรื่องจริง
……
ก่อนหน้านี้สองวัน
หลิ่วอู๋ฉงสวมเสื้อสูท หลังจากที่มาถึงโหวจวี๋แล้วก็ถามหาไป๋ยี่เฟย
พนักงานสาวที่เคาท์เตอร์พูดยิ้มๆตอบกลับไปว่า“ขอโทษนะคะ พอดีวันนี้ท่านประธานไม่อยู่ที่บริษัทค่ะ”
“ไม่อยู่บริษัท?”หลิ่วอู๋ฉงรู้สึกตกใจ แล้วก็รู้สึกว่าสมเหตุสมผลขึ้นมาทันที เนื่องจากสูญเสียความทรงจำแล้ว ก็เลยไม่ควรที่จะมาที่บริษัทอีก
ดังนั้นหลิ่วอู๋ฉงจึงพูดขอบคุณตอบกลับไป ก่อนจะไปที่วิลล่าหลันโปกั่งทันที
ณ วิลล่าหลันโปกั่ง
ไป๋ยี่เฟยอยู่ในฟิตเนสของบ้านวิลล่าเพียงลำพัง กำลังวิดพื้นอยู่ เหงื่อที่เต็มหน้าผากไหลอาบสองแก้ม แต่เขาก็ไม่ได้สนใจ
สุดท้าย พอนับถึงสองร้อย ไป๋ยี่เฟยจึงหยุดลง นอนนิ่งบนพื้น
“ฉัน……เจ๋ง……สุดๆไปเลย”
วิดพื้นสองร้อยครั้ง เขาไม่คิดว่าจะอดทนทำจนได้ ตัวเขาเองก็รู้สึกว่าเหลือเชื่อเหมือนกัน
หลังจากที่เขาหายดีแล้ว เขาก็คิดๆพิจารณาดู ว่าข้างกายของเขามีอันตรายอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นเขาจึงให้สวีลั่งพาทั้งครอบครัวของหลี่เสว่ไปส่งที่เมืองหลวง
ร่างกายของหลี่เฉียงตงแทบจะหายดีแล้ว เหลือแค่พักผ่อนอีกนิดหน่อย ก็ไม่มีปัญหาใหญ่อะไรแล้ว
ยังจำเมื่อตอนหลังจากที่หลิวจื่อหยุนรับรู้ถึงสถานการณ์ของหลี่เสว่ในตอนนั้นได้อยู่เลย ไป๋ยี่เฟยถูกแม่พูดต่อว่าซะชุดใหญ่ จากนั้นก็พลอยด่าหลี่เฉียงตงไปด้วย แล้วก็พาหลี่เสว่ที่จำอะไรไม่ได้จากไป
หลี่เสว่ในตอนแรกก็รู้สึกกลัว เพราะว่าเธอจำไม่ได้
แต่ถึงยังไงก็มีญาติมิตร เลือดเนื้อเชื้อไขอยู่ที่นั่น หลี่เสว่จึงรู้สึกสนิทสนม ไม่นานก็รับได้
เพียงแต่ตอนที่ไปเธอก็ไม่รู้ว่าทำไม รู้สึกเป็นห่วงแล้วก็ไม่อยากจากไปอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน
หลังจากที่ไป๋ยี่เฟยส่งพวกเขาไปแล้ว ก็ให้คนไปกระจายข่าว ว่าตอนนี้เขามีสติปัญญาเป็นแค่เด็กห้าหกขวบ จำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น คนที่ควรจะรู้เหล่านั้นก็จะได้รู้
นี่มันเหมือนกับข่าวที่เขาแหกคุกก่อนหน้านี้ ถึงจะเป็นข่าวปลอม แต่ถ้าถูกแพร่กระจายออกไป พวกเขาก็จะคิดว่าเป็นความจริง
สาเหตุที่ทำแบบนี้ ก็เพราะว่าอยากหลบอยู่ในที่มืดมิด มองดูคนที่อยู่เบื้องหลัง
พอคิดถึงสายที่โทรมาก่อนหน้านี้ไม่นาน ไป๋ยี่เฟยก็ยิ้มอย่างเย้ยหยัน
ถ้าไม่ใช่เพราะว่าไอ้หัวล้านหลิวโทรศัพท์มาบอกเขา ว่าตอนที่น้องสาวของเขาไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนในชั้น ไปเห็นภาพภาพหนึ่งเข้า เกรงว่าเขาไม่รู้เลยว่าหลิ่วอู๋ฉงยังไม่ตาย!
แล้วก็ยิ่งไม่รู้ว่าราชาแห่งหลิงหนานอะไรนั่นมาที่เมืองเทียนเป่ยแล้ว
เหอะ เขาอยากดูสักหน่อยว่า สุดท้ายแล้วใครฆ่าใครกันแน่?
แต่ว่านะ สถานภาพของตัวเองแย่มากจริงๆ แถมไม่มีศิลปะการป้องกันตัวอะไรด้วย ถ้าเกิดไป๋หู่กับสวีลั่งทำไม่ได้ทันเวลาล่ะ?
ดังนั้น ไป๋ยี่เฟยจึงให้ไป๋หู่สอนกังฟูให้กับเขาอย่างจริงๆจังๆ
ไป๋หู่บอกว่า ต้องเรียนวิชากังฟู ฝึกฝนร่างกายก่อน
ดังนั้น เป้าหมายที่เขาต้องทำในแต่ละวัน คือวิดพื้นสองร้อยครั้ง วิ่งแบกของหนัก……
ไป๋ยี่เฟยพักผ่อนมามากพอแล้ว หลังจากลุกขึ้นมานั่ง โทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาทันที เฉินห้าวเป็นคนโทรมา
“พี่ เมื่อตะกี้หลิ่วอู๋ฉงไปหาพี่ที่โหวจวี๋ ผมคาดว่าอีกประเดี๋ยวเขาก็จะมาแล้ว”
“ฉันรู้แล้ว นายไปจับตาดูส่วนของเย่อ้ายเอาไว้ก็พอ มีการเคลื่อนไหวอะไรก็บอกฉันแล้วกัน”
หลังจากวางสายลง ไม่นาน ไป๋ยี่เฟยก็ได้ยินเสียงกริ่งประตู
ไป๋ยี่เฟยปรับสีหน้าอารมณ์สักพัก จากนั้นก็แสร้งทำเป็นไม่รู้ประสีประสา
แน่นอนว่าคนที่มาหา ก็คือหลิ่วอู๋ฉงนั่นเอง