บทที่354
“เชี่ย! รองประธานสหพันธ์ธุรกิจของมณฑล!”
“รองประธานอีกแล้วเหรอ!”
“พระเจ้าช่วย นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
ไป๋ยี่เฟยขมวดคิ้ว เขาคือฉุงโยวเวยนี่เอง!
หลงหลิงหลิงที่รู้สึกไม่ค่อยสบายใจจึงกระซิบไปว่า “ท่านประธานคะ ต้องตัดไมค์รึเปล่าคะ?”
“ยังก่อน รอดูไปก่อนว่าเขาจะพูดอะไร” ไป๋ยี่เฟยส่ายหน้า
อีกด้านหนึ่ง ฉุงโยวเวยกระแอม “ที่ผมมาในวันนี้ เพราะเมื่อวานได้เกิดปัญหาขึ้นกับการประชุมที่สหพันธ์ธุรกิจรับผิดชอบ เหลือเรื่องเร่งด่วนหลายอย่างที่ต้องรีบจัดการ เพื่อการพัฒนาที่ดียิ่งขึ้นของเมืองเทียนเป่ย วันนี้ ผมจึงเป็นตัวแทนของทางสหพันธ์ธุรกิจจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย
พูดจบ เถาเยวที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ยื่นเอกสารฉบับหนึ่งให้
“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานผมก็พอรู้มาคร่าวๆ แล้ว พูดง่ายๆ ก็คือ โหวจวี๋อย่างนั้นที่ร้ายกาจ ได้จัดการกับผู้ประกอบการทั้งยี่สิบแปดเจ้าไปแล้ว และผู้ประกอบการทั้งยี่สิบแปดเจ้านั้นก็ได้ทำผิดกฎไปจริงๆ จำเป็นต้องได้รับการจัดระเบียบใหม่”
“ต่อไป……”
“รอเดี๋ยว!”
จู่ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น
แล้วทุกคนก็ได้สติกลับมา เพราะมัวแต่ตะลึงกับฐานะของฉุงโยวเวยกันอยู่ หลังจากได้ยินคำว่าจัดระเบียบใหม่ ก็ยังไม่ได้แสดงท่าทีอะไร แต่แล้วเสียงของไป๋ยี่เฟยก็เรียกสติทุกคนให้กลับมาอีกครั้ง
“คนของสหพันธ์จะมาแจกแจงทรัพยากรใหม่เหรอเหรอ?”
“น่าจะใช่นะ ไม่รู้ว่าจะมีของผมด้วยรึเปล่า?”
“ไม่รู้ว่าสหพันธ์ธุรกิจเขาจะจัดสรรยังไงนะ?”
ฉุงโยวเวยกำลังจ้องไปยังคนที่เพิ่งขัดจังหวะเขาไป แต่เขาก็ถามขึ้นด้วยความสุภาพว่า “สวัสดีครับ ไม่ทราบว่าคุณมีปัญหาอะไรเหรอครับ?”
ไป๋ยี่เฟยเดินขึ้นเวทีไป พร้อมกับรับไมโครโฟนที่หลงหลิงหลิงยื่นให้ด้วยท่าทางที่เรียบเฉย “ผมชื่อไป๋ยี่เฟย เป็นประธานบริษัทของโหวจวี๋กรุ๊ปครับ”
ฉุงโยวเวยอึ้งไปแปบหนึ่ง จากนั้นก็ต้องสติได้ “ที่แท้ก็คุณนี่เอง! ดี ผมรู้แล้ว เชิญคุณลงไปก่อนนะครับ! ผมมีเรื่องต้องให้จัดการ ถ้ามีเรื่องอะไรค่อยว่ากันทีหลังนะครับ”
ถึงคำพูดจะฟังดูสุภาพมาก แต่เขากลับทำให้ไป๋ยี่เฟยกลายเป็นคนที่เข้ามารบกวนเวลาที่หัวหน้ากำลังทำงานอยู่เลย
สีหน้าของไป๋ยี่เฟยเคร่งขรึมขึ้นมาทันที
แต่ฉุงโยวเวยกลับทำเป็นเมิน เขายกไมค์ขึ้นมาแล้วพูดต่อ “ผมนั่งจัดการแผนงานทั้งคืนเลย จากนี้ ผมจะประกาศแนวทางโดยรวมให้ฟัง”
“ก่อนอื่น……”
“รอเดี๋ยวครับ เรื่องนี้คุณไม่จำเป็นต้องมาจัดการเองก็ได้มั้งครับ?” ไป๋ยี่เฟยพูดขัดฉุงโยวเวย
ฉุงโยวเยวมองเขาอีกครั้ง “ทำไมผมถึงจะจัดการไม่ได้ล่ะครับ? ผมเป็นรองประธานของสหพันธ์ธุรกิจเลยนะครับ จะบอกว่าผมไม่มีสิทธิ์อย่างนั้นเหรอ? หรือคุณคิดจะทำเอง? คุณมีอำนาจมากพอเหรอครับ?”
คำพูดที่แสนกดดันนี้ทำให้ผู้คนที่อยู่ด้านล่างไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดัง
รองประธานสหพันธ์ธุรกิจประจำมณฑล มีเรื่องด้วยไม่ได้หรอก เป็นผู้นำด้านผู้ประกอบการของเมืองเทียนเป่ย ถึงจะเพิ่งจัดการผู้ประกอบการยี่สิบแปดเจ้าก็ไม่ควรไปมีเรื่องด้วยนะ
ไป๋ยี่เฟยไม่แสดงสีหน้าอะไรทั้งสิ้น และไม่ได้ตอบคำถามไปแบบตรงๆ การบริหารผู้ประกอบการของเมืองเทียนเป่ยไม่จำเป็นต้องให้ถึงมือท่านรองประธานหรอกครับ อีกอย่างท่านรองประธานเองก็งานยุ่งทุกวัน มันจะหนักใจท่านเปล่าๆ!”
ฉุงโยวเวยหัวเราะออกมา “มันเป็นเรื่องที่สหพันธ์ธุรกิจควรทำอยู่แล้ว ไม่หนักใจเลยสักนิด”
ยังไม่ทันที่ไป๋ยี่เฟยจะได้พูดอะไรต่อ ฉุงโยวเวยก็เริ่มประกาศแผนงานของเขาต่อ “หลังจากที่ประชุมกันแล้ว เราก็ตกลงกันว่าผู้ประกอบการทั้งยี่สิบแปดเจ้านั้นจะถูกแบ่งออกเป็นส่วนๆ โดยเราได้แบ่งตามความเหมาะสมของผู้ประกอบการนั้นๆ”
“ส่วนหลังจากที่แบ่งกันเสร็จ พวกคุณจะซื้อขายหรือร่วมหุ้นกัน พวกคุณก็ตัดสินใจกันเองได้เลยครับ”
“ก่อนอื่นก็ หงลี่กรุ๊ป……”
เสียงไมโครโฟนของฉุงโยวเวยดังไปทั่วบริเวณ
ไป๋ยี่เฟยรู้สึกไม่พอใจเท่าไหร่ การกระทำของฉุงโยวเวยนั้นไม่ได้มีเขาอยู่ในสายตาเลยแม้แต่นิดเดียว ราวกับว่าเขาเป็นแค่คนไร้ค่าคนหนึ่งเท่านั้น โดยไม่จำเป็นต้องไปสนใจ
คนอื่นๆ ในห้องโถงต่างก็ถูกดึงดูดด้วยคำพูดของฉุงโยวเวยไปแล้ว นักธุรกิจ ยังไงก็ต้องสนใจในผลประโยชน์ของตัวเองอยู่แล้ว ดังนั้นประเด็นสำคัญที่เกี่ยวกับการจัดสรรผลประโยชน์นั้นพวกเขาต้องไม่อยากพลาดอยู่แล้ว
มันจึงทำให้ไป๋ยี่เฟยที่ยืนอยู่ตรงนั้นกลายเป็นส่วนเกินไป ทุกคนค่อยๆ เมินเขาไปเรื่อยๆ
ไป๋ยี่เฟยเงียบไปสักพัก สุดท้ายเขาก็หันไปบอกกับหลงหลิงหลิงว่า “ตัดไฟ!”
ฉุงโยวเวยที่กำลังพูดอยู่ จู่ๆ ก็เงียบหายไป
“นี่คุณทำอะไร? ทำไมถึงไม่รู้จักแยกแย่เนี่ย?” ฉุงโยวเวยตำหนิ
ไป๋ยี่เฟยยิ้มออกมาแล้ว “ผมแยกแยะไม่เป็นอย่างนั้นเหรอ? แล้วคุณละแม่งแยกเป็นนักแหละ!”
ฉุงโยวเวยสีหน้าเริ่มดูไม่ดีเลย “ระวังคำพูดหน่อย ผมเป็นรองประธานของสหพันธ์ธุรกิจนะ! ตอนนี้ผมกำลังทำงานอยู่ถ้าคุณมีอะไรไม่พอใจละก็ค่อยมาคุยกันหลังจากที่ผมทำงานเสร็จแล้วก็ได้ ผมสามารถรับฟังให้ได้ แต่การที่คุณมาทำแบบนี้มันกำลังทำให้คนอื่นเขาเสียเวลาอยู่นะ มันเป็นการก่อความวุ่นวายอย่างไร้เหตุผล”
พูดจบ หลายคนก็อดไม่ได้ที่จะคิดแบบนั้น ยิ่งอยู่ในช่วงแบ่งผลประโยชน์กันแบบนี้แล้ว
“รองประธานพูดถูก!”
“นี่มันเรื่องอะไรกันครับประธานไป๋? แม้แต่ท่านรองประธานก็ไม่ให้เกียรติเลยเหรอ?”
“หรือเป็นเพราะผ่านเรื่องเมื่อคืนมาแล้ว มันก็ทำให้คุณคิดว่าไม่มีใครทำอะไรโหวจวี๋ได้แล้วสินะ?”
“……”
ไป๋ยี่เฟยปรบมือเสียงดัง “คำพูดของท่านรองประธานฉุงนั้นช่างฟังดูสวยงามเหลือเกิน ทั้งบอกว่าผมไม่รู้จักแยกแยะบอกว่าทำทำให้ทุกคนเสียเวลา ถ้าอย่างนั้นผมก็อยากถามคุณบ้างว่า ตอนนี้โหวจวี๋กรุ๊ปของผมกำลังจัดงานครบรอบอยู่ คุณที่เป็นรองประธานสหพันธ์ธุรกิจมาโดยไม่ได้รับเชิญ ทำตัวเด่นกว่าเจ้าของงาน โดยเอาการจัดสรรผลประโยชน์ของผู้ประกอบการอะไรก็ไม่รู้มาอ้าง มันดูเหมาะสมแล้วเหรอครับ?”
“หรือจะบอกว่า คุณคิดว่าตัวเองเป็นรองประธาน มันก็ทำให้คุณรู้สึกว่าบริษัททั้งหมดในมณฑลนี้ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะจดทะเบียนด้วยชื่อใครก็ตาม แต่คุณก็ยังเป็นเจ้าของที่แท้จริงอย่างนั้นเหรอครับ?”
ถึงสหพันธ์ธุรกิจจะมีอำนาจมาก แล้วใครล่ะจะอยากให้ธุรกิจของตัวเองถูกคนอื่นควบคุม?
การกระทำของฉุงโหวเวยในวันนี้มันเป็นการแย่งบทบาทของเจ้าภาพไปจริงๆ ทั้งๆ ที่มันเป็นงานครบรอบของโหวจวี๋แท้ๆ แต่เขากลับมาแย่งตำแหน่งของไป๋ยี่เฟยไป ยืนประกาศการแบ่งผลประโยชน์อยู่ตรงนี้ ทำงานเป็นจริงเป็นจัง เป็นใครก็ต้องรู้สึกไม่พอใจอยู่แล้ว
ฉุงโยวเวยมองไป๋ยี่เฟยด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม “การทำงานของทางสหพันธ์นั้นมีเหตุผลเสมอ ต้องให้คุณมายุ่งด้วยเหรอ?”
“คุณคิดว่าการที่ตัวเองเป็นผู้นำด้านธุรกิจของเมืองเทียนเป่ยแล้วก็ทำตัวกร่างได้แล้วอย่างนั้นเหรอ? จะบอกอะไรให้นะ ถ้าผมสั่ง โหวจวี๋กรุ๊ปก็จะล่มจมไปทันที!”
แล้วไป๋ยี่เฟยก็ทำหน้าประมาณว่าอย่างนี้นี่เอง “ที่แท้สหพันธ์ธุรกิจก็จนมากนี่เอง แม้แต่ประกาศการจัดสรรผลประโยชน์ของผู้ประกอบการแบบนี้ก็ไม่มีปัญญาไปเช่าห้องประชุม จนต้องมาแย่งโรงแรมที่โหวจวี๋ของผมเหมาไว”
“ถ้าเป็นอย่างนั้น ผมก็ใจกว้างพร้อมที่จะเช่าห้องและประชุมให้ทางสหพันธ์โดยเฉพาะเลยก็ได้ ถ้ามีเรื่องอะไรเราค่อยไปคุยกันในที่ประชุม ส่วนวันนี้ มันเป็นงานฉลองวันครบรอบของโหวจวี๋กรุ๊ป”
“รู้รึเปล่าครับว่างานฉลองมันเป็นยังไง? มันก็คือการมาสังสรรค์กัน ไม่ได้มีไว้ให้ทางสหพันธ์อย่างพวกคุณมาฉวยโอกาสนะ!”
“นี่คุณ!” ฉุงโยวเวยกัดฟันแน่น จากนั่นก็กดเสียงต่ำ “ไป๋ยี่เฟย แกการที่แกฆ่าหวังไห่ไปแกคงรอดได้อีกไม่นานหรอกฉันของเตือนให้แกอย่างมาหาเรื่องฉันดีกว่า!”
ไป๋ยี่เฟยตอบด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย “ใครๆ ต่างก็บอกให้ผมอย่าไปหาเรื่องเขา สุดท้าย แม่งก็สู้ผมไม่ได้สักคน!”
ฉุงโยวเวยหรี่ตาลง ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าไป๋ยี่เฟยคนนี้ค่อนข้างมีความสามารถ แต่เมื่อมาอยู่ต่อหน้าเขามันก็เท่านั้นแหละ
“ผมลืมบอกคุณไป ผมไม่ได้เป็นแค่รองประธานของสหพันธ์ธุรกิจเท่านั้น ผมยังเป็นสมาชิกของตระกูลฉุงในเมืองหลวงอีกด้วย!”
ไป๋ยี่เฟยรู้เรื่องนี้มานานแล้ว เขาจึงไม่มีการตอบสนองใดๆ
ฉุงโยวเวยชะงักไปแปบหนึ่ง จากนั่นก็ยิ้มออกมา “คนที่ผ่านโลกมาน้อยไม่รู้จักแม้กระทั่งตระกูลฉุง! ผมว่าคุณนี่มันหลงตัวเองเกินไปแล้ว!”
ส่วนคนที่อยู่ข้างล่างพอได้ยินอย่างนั้นก็ตื่นตะลึงกันหมด
“ตระกูลฉุงในเมืองหลวงเหรอ?”
“ใช่ตระกูลฉุงที่ผมรู้จักรึเปล่านะ?”
“แม่งในเมืองหลวงจะมีตระกูลฉุงอยู่กี่ตระกูลกัน? มันก็ต้องใช่อยู่แล้ว!”
“ไม่นึกเลยว่าเขาจะเป็นคนของตระกูลฉุงในเมืองหลวง ดูแล้วตำแหน่งน่าจะสูงอยู่นะ แล้วใครจะกล้าไปมีเรื่องด้วยล่ะแบบนี้?”
“……”
แต่ไป๋ยยี่เฟยกลับขำออกมา “ตระกูลฉุงของเมืองหลวงเหรอ แล้วมันยังไง?”