บทที่359
เช้าวันต่อมา หลังจากที่ไป๋ยี่เฟยออกจากบ้านเขาก็ไม่ได้ไปที่โหวจวี๋ แต่เขามุ่งหน้าไปที่โรงพยาบาลโว่หลง
หอพักพนักงานชั้นหก
ที่นี่คือที่ทำงานของจางหัวปิน แต่มันก็ถูกตกแต่งได้อย่างอบอุ่น เพราะนอกจากห้องทำงานแล้ว มันยังเป็นที่ๆ เขาพักอยู่เสมอ
พอนั่งลง จางหัวปินก็ชงชาให้ไป๋ยี่เฟย
“คุณอยู่ที่นี่เป็นยังไงบ้าง? ชินรึยัง?” ไป๋ยี่เฟยถาม
จางหัวปินตอบ “ก็ดีครับ”
พูดจบ ในห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ
จางหัวปินรู้สึกใจคอไม่ดี อาจจะเป็นเพราะไป๋ยี่เฟยมาหาเขาก็ได้ แต่เขาไม่กล้าเปิดปากก่อน
หลังผ่านไปพักใหญ่ ไป๋ยี่เฟยก็พูดอย่างเรียบๆ ว่า “จางหัวปิน ผมนั้น ไม่ใช้คนที่สงสัย และจะไม่สงสัยคนที่ใช้งาน แต่ก่อนอื่นคือ คนๆ นี้คุ้มที่จะให้ผมทำแบบนี้”
“ในเมื่อคุณพูดแล้วว่าจะรับใช้ผมอย่างสุดหัวใจ ถ้าอย่างนั้น ผมหวังว่าคุณจะเป็นคนรักษาคำพูดนะ แต่ไม่ใช่แบบตอนนี้ ที่เอาแต่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา”
“ครับ” จางหัวปินก้มหน้าตอบ
ตอนแรกที่ไป๋ยี่เฟยเห็นเถาเยว เขายังรู้สึกสงสัยอยู่เลยว่าทำไมเธอจึงต้องมาแจ้งเรื่องที่ฉุงโยวเวยมาร่วมงานด้วย แล้วเขาก็ได้เข้าใจมันทีหลัง
ถึงเถาเยวจะเป็นคู่นอนของฉุงโยวเวยกับจางหัวปิน เธอแค่อยากจะเอาใจทุกคน ทำให้ทุกคนรู้สึกซาบซึ้งในตัวเธอแล้วทำให้ตัวเองสามารถมีชีวิตที่ดีในทุกๆ ด้าน
แล้วเถาเยวไปเอาข้อมูลนี้มาจากไหนล่ะ?
มันเห็นชัดอยู่แล้วว่าจางหัวปินนี่แหละที่เป็นคนบอกเรื่องนี้กับเถาเยว
พอนึกถึงที่นี่ ไป๋ยี่เฟยก็รู้สึกโกรธมาก
“ทุกคนที่ทำงานให้ผมนั้น ถ้าคิดจะทำงานก็ต้องทำมันอย่างเต็มที่ ไม่ใช่เอาแต่ลังเลแบบนี้” ไป๋ยี่เฟยพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ยิ่งไม่ยอมให้เสียงานเพื่อผู้หญิงคนเดียวเด็ดขาด!”
จางหัวปินชะงัก จากนั้นก็ก้มหน้าลง “เข้าใจแล้วครับ”
“ต่อไปห้ามให้มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก!”
พูดจบ ไป๋ยี่เฟยก็ยืนขึ้น “คุณก็รู้ ว่าตัวคุณเองนั้นมีภรรยาอยู่แล้ว คุณเคยบอกผมว่าคุณต้องการดูแลเธอ ถ้าไม่ใช่เพราะเหตุผลนี้ผมคงฆ่าคุณไปนานแล้ว”
“ผู้หญิงคนหนึ่งที่เป็นนกสองหัว มันคุ้มแล้วเหรอ?”
จางหัวปินเงยหน้าขึ้นมาทันที แต่สิ่งเห็นคนประตูที่ปิดลง
……
หลังจากเรื่องนี้ผ่านไปสักพัก ชีวิตของไป๋ยี่เฟยก็สงบไประยะหนึ่ง
เช้าวันต่อมา ไป๋ยี่เฟยตั้งใจจะไปดูๆ ที่โหวจวี๋แปบหนึ่งแล้วกลับมา เขายังต้องรีบไปฝึกกับไป๋หู่อีก เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้ตัวเอง
พอมาถึงที่ห้องทำงาน เขาก็เจอหลินขวางที่มารออยู่นานแล้ว
“พี่ไป๋” หลินขวางทักทายด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม
ไป๋ยี่เฟยเชิญหลินขวางนั่งลง “มาเช้าขนาดนี้ มีเรื่องอะไรเร่งด่วนรึเปล่าครับ?”
หลินขวางยิ้ม “ไม่ได้มีเรื่องอะไรเร่งรีบครับ ผมแค่จะมาบอกลาพี่เท่านั้น พอดีผมจะกลับเมืองหลวงแล้วครับ”
ไป๋ยี่เฟยร้องอ๋อ จากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ
หลินขวางรู้สึกทำตัวไม่ถูก ได้แต่หยิบมือถือออกมา แล้วพูดกับไป๋ยี่เฟยว่า “พี่ไป๋ครับ ผมโอนเงินให้พี่นะครับ แสนหนึ่ง”
ไป๋ยี่เฟยไม่เข้าใจสิ่งที่เขาทำ “เพื่ออะไรครับ?”
“ค่าเสียหายของวันนั้นครับ” หลินขวางตอบ
ไป๋ยี่เฟยหยิบมือถือออกมา ปฏิเสธการโอนเงินของหลินขวาง “ผมบอกแล้วไงครับว่าไม่เป็นไร”
“ได้ไงครับ?” หลินขวางนี่ก็หัวรั้นไม่เบาเลยนะ “ผมบอกว่าจะจ่ายก็คือต้องจ่ายครับ ไม่อย่างนั้นผมจะขอช่างทางการติดของพี่ไว้ทำไม?”
“ไว้คุยกันตอนว่างๆ ไงครับ!” นานๆ ทีไป๋ยี่เฟยจะได้เห็นมุกตลกที่ไม่ใช่มุกตลก
หลินขวางยิ้มแหะๆ “มันก็จริง”
ไป๋ยี่เฟยโบกมือ “ตามนั้น ไม่ต้องจริงๆ ครับ”
หลินขวางเห็นแบบนั้นก็เหมือนจะพูดอะไร แต่ไป๋ยี่เฟยก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน “คุณพอจะผมได้ไหมครับ ว่าทำไมคุณถึงช่วยผม?”
หลินขวางชะงักไป เขาแค่อธิบายเรื่องนี้แบบผ่านๆ เท่านั้น “น้องชายคุณเป็นคนขอให้ผมมาช่วยครับ”
ไปยี่เฟยอึ้งไปแปบหนึ่ง เขาไม่ค่อยอยากจะเชื่อสักเท่าไหร่ “เขาขอให้คุณมาช่วยผมเหรอ? เขาไม่ฆ่าผมก็ดีแค่ไหนแล้วแล้วจะมาช่วยผมได้ยังไง?”
“เป็นเขาจริงๆ ครับ” หลินขวางตอบมาอย่างจริงจัง “เขาบอกว่า คุณเป็นคนของตระกูลไป๋ ดังนั้น……”
ไป๋ยี่เฟยอึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นก็ขำออกมา คำพูดนี้ทำให้ไป๋ยี่เฟยนึกถึงเหตุการณ์ในเมืองหลวงเมื่อหลายเดือนก่อน เขาถูกคนของไป๋เซี่ยวทำร้ายจนปางตาย ไป๋หยุนเผิงปรากฏตัวออกมา แล้วก็พูดแบบนี้เหมือนกัน
คนของตระกูลไป๋จะถูกคนนอกรังแกไม่ได้
สิ่งที่จะสื่อก็คือ คนของตระกูลไป๋จะทำยังไงกับคนในตระกูลก็ได้ ดังนั้น ไป๋หยุนเผิงจึงลำเอียงไปทางไป๋เซี่ยวมาก ถึงแม้ว่าคนที่เขาต้องการจะฆ่าก็คือลูกชายแท้ๆของตัวเองก็ตาม
หลินขวางไม่รู้ว่าไป๋ยี่เฟยนึกถึงเรื่องอะไร” เขารู้ว่าตระกูลเย่กับตระกูลฉุงต้องการเล่นงานพี่ เขาเลยส่งผมมา ความจริงผมแค่ผ่านมาทางนี้ไม่ได้ตั้งใจจะแวะ”
พูดจบไป๋ยี่เฟยก็เงียบไปแปบหนึ่ง ค่อยพูดต่อ “ความจริงผมค่อนข้างสงสัยว่า คนที่ร้ายกาจอย่างเขาทำไมถึงต้องอาฆาตผมขนาดนั้นด้วย?”
หลินขวางส่ายหน้า “เขาเองก็คงลำบากเหมือนกันแหละมั่งครับ!”
“เมื่อก่อนเขาเคยประสบทางรถยนต์ ขาของเขาเป็นอัมพาต ที่สำคัญ เขาไม่สามารถมีทายาทได้ คุณก็รู้ว่าเรื่องนี้มันสำคัญแค่ไหนสำหรับผู้สืบทอด”
“เบื้องหลังของตระกูลไป๋นั้นลึกซึ้งมาก เรื่องของทายาทนั้นสำคัญมาก เมื่อเขาไม่สามารถทำได้ ก็เหลือแค่คุณเท่านั้นดังนั้น……”
“ดังนั้นเขาจึงไม่อยากให้ผมกลับไปที่เมืองหลวง เพื่อแย่งตำแหน่งผู้สืบทอดกับเขา?” ไป๋ยี่เฟยถาม
หลินขวางพยักหน้าอย่างลำบากใจ ซึ่งความจริงมันก็เป็นอย่างนั้น
ไป๋ยี่เฟยขำออกมา “ถ้าอย่างนั้น ผมก็ฝากคุณไปบอกเขาด้วยว่า เขาคิดมากไปแล้ว ที่ผ่านมาผมไม่เคยคิดที่จะแย่งอะไรจากเขา ยิ่งไม่อยากเป็นผู้สืบทอดอะไรทั้งนั้น ผมแค่อยากใช้ชีวิตอย่างสงบสุขของผมไปเท่านั้น”
“ถ้าเขาไม่มารังควานผมเอง แล้วผมจะไปหาเรื่องเขาทำไมล่ะ?”
“แต่ ผมไม่ใช่คนที่จะรังแกได้ง่ายๆ ถ้าเขายังมารังควานผมอีก ผมก็ไม่ขัดข้องที่จะไปชิงตำแหน่งกับเขาดูเหมือนกัน”
หลินขวางชะงักไปแปบหนึ่ง สุดท้ายเขาก็พูดขึ้นอย่างไม่มีทางเลือกว่า “ได้ครับ เดี๋ยวผมจะบอกเขาให้”
พูดจบ หลินขวางก็ได้เตือนไป๋ยี่เฟยด้วยความหวังดีว่า “ผมเคยได้ยินมาว่า คนในตระกูลไป๋หลายคนไม่ยอมรับคุณ ถ้าคุณคิดจะกลับไปละก็มันคงไม่ง่ายเลย”
“ผมรู้ดีครับ” ไป๋ยี่เฟยตอบ “ไป๋หยุนเผิงเคยบอกไว้ว่า ให้ผมนำพาโหวจวี๋ให้ไปถึงจุดสูงสุดให้ได้ พอถึงตอนนั้นผมก็สามารถกลับไปได้แล้ว แต่ผมไม่อยากที่จะกลับไปเมืองหลวงเลย”