บทที่ 384
ฉุงโยวเวยผลักสาวสวยคนหนึ่งออกไปจากเขาอย่างไม่น่าเชื่อ “ พูดอะไรนะ? เขามาแล้วเหรอ?”
“ ใช่ครับ อยู่นอกประตู”
ฉุงโยวเวยมองไปที่ชายชราชุดสูทถัง ภายในไม่กี่วินาที เขาก็สามารถคิดภาพออกหมดเลยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง “ไป๋ยี่เฟยช่างวางกลอุบายได้ดีเสียจริง เขาหลอกทุกคน!”
ชายชราชุดสูทถังพยักหน้า ใช่ครับ เขาหลอกทุกคนเลย และพวกเขาเองก็ประเมินตัวไป๋ยี่เฟยต่ำไป แต่ก็โชคดีที่พวกเขาออกมาโดยพาบอดี้การ์ดมาด้วย
ฉุงโยวเวยรู้สึกสงบลงทันที “ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครอยู่รอบตัวไป๋ยี่เฟยเลย?”
“ใช่ครับ นายน้อย นอกจากตัวเขาแล้ว ยังมีผู้ชายและผู้หญิงอีกสองคน ซึ่งไม่มีกำลังต่อสู้แต่อย่างใด และมันไม่มีอะไรต้องกลัวเลยครับ”
ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่า…
ฉุงโยวเวยยิ้ม “เขาบ้าไปแล้วเหรอ? แม้แต่ไม่มีคนคอยคุ้มกันยังจะกล้ามาหาผมอีก? สงสัยคงอยากแก้แค้นจนบ้าไปแล้ว?”
พอพูดจบ ชายชราชุดสูทถังก็กล่าวเตือนว่า “นายน้อย มันจะเป็นการดีกว่าที่จะปล่อยให้พวกเขาเข้ามานะครับ เพราะหากเกิดเรื่องอะไรขึ้น มันก็จะเป็นการป้องกันไปภายในตัว และคนที่ต้องการมาที่บ้านตระกูลไป๋ก็จะพูดอะไรไม่ได้ “
ฉุงโยวเวยเข้าใจได้ในทันที หลังจากนั้นก็พูดขึ้นอย่างร้ายกาจว่า “ก็ดีเหมือนกัน แต่นี่เป็นเรื่องที่เขาก่อเอง อย่าโทษผมก็แล้วกัน!”
ดังนั้นฉุงโยวเวยจึงรีบลุกขึ้น พร้อมกับใส่เสื้อผ้าของตัวเองอย่างรวดเร็ว และให้สาวสวยทั้งสองใส่เสื้อผ้าของตัวเองแล้วรีบออกไปทันที เพราะเขาไม่ชอบให้คนเหล่านี้อยู่ต่อหน้าเขาในเวลาที่มีเรื่องสำคัญ
สิบนาทีต่อมา สาวสวยทั้งสองก็เดินออกมา และตามมาด้วย ชายชราชุดสูทถัง
“เข้ามา!” ชายชราชุดสูทถังพูดกับไป๋ยี่เฟย
ไป๋ยี่เฟยก็ดึงตัวโจวฉวี่เอ๋อเดินเข้าไป และจางหัวปินก็เดินตามหลังเขาไปด้วย
ในห้องพิเศษ ฉุงโยวเวยเอนกายลงบนโซฟา โดยยกขาทั้งสองขึ้น และวางสองมือทั้งสองข้างไว้บนโซฟา พร้อมกับจ้องมองไปที่ไป๋ยี่เฟยด้วยท่าทางเหมือนพระราชา
“ ไป๋ยี่เฟย ฉันคงต้องพูดว่าฉันนับถือในความกล้าหาญของแกจริงจริง” ฉุงโยวเวยแสยะยิ้ม
ไป๋ยี่เฟยพวกเขาทั้งสามคนยืนอยู่ตรงข้ามฉุงโยวเวย โดยมีโต๊ะคั่นกลางระหว่างพวกเขาไว้ ในขณะเดียวกันชายชราชุดสูทถังก็ยืนอยู่ข้างฉุงโยวเวย และพวกบอดี้การ์ดก็ยืนอยู่ข้างประตูห้อง
เมื่อเห็นว่า ไป๋ยี่เฟยไม่ได้พูดอะไร ฉุงโยวเวยก็พูดขึ้นอีกครั้ง “พูดสิ จะสั่งเสียอะไรหรือเปล่า”
“คนที่ตามหาแก คือเขา” ไป๋ยี่เฟยดึงตัวโจวฉวี่เอ๋อถอยหลังมาหนึ่งก้าวและให้จางหัวปินยืนขึ้นมาข้างหน้าแทน
คนฝั่งฉุงโยวเวยต่างพากันงุนงง “เขาคือใคร?”
จางหัวปินรู้สึกมีตัวตนขึ้นมาในชั่วขณะหนึ่ง พลังของเขาก็พลุ่งขึ้นเป็นอย่างมาก เขามองไปที่ฉุงโยวเวยและพูดอย่างหนักแน่นว่า “มาหาแกเพื่อทวงคืนความยุติธรรม!”
“อะไรนะ?” ฉุงโยวเวยทำท่าทีเหมือนกับได้ยินเรื่องตลกขบขัน “มาหาฉันเพื่อทวงคืนความยุติธรรมงั้นเหรอ? แกแน่ใจเหรอ? แล้วนี่แกเป็นใครกันวะ”
เป็นเวลาหลายปีแล้ว ที่ฉุงโยวเวยคอยกลั่นแกล้งผู้คน แล้วใครจะไปรู้ว่าผู้ชายคนนี้คือใคร? ยิ่งไปกว่านั้น คนที่รู้จักฐานะของเขาก็ไม่มีใครกล้าทวงคืนความยุติธรรมจากเขาเลยสักคนเดียว
“ฉันเป็นหลานชายของหวังไห่” จางหัวปินเอ่ยปากพูด
ฉุงโยวเวยผงะ “เรื่องล้อเล่นอะไรกัน?”
ชายชราชุดสูทถังขมวดคิ้วเล็กน้อย และมองไปที่จางหัวปิน
“แกเป็นหลานชายของหวังไห่แล้วไงวะ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับกูวะ” ฉุงโยวเวยโกรธจนแทบจะทนไม่ไหว
จางหัวปินจ้องไปที่ฉุงโยวเวย และพูดด้วยความโกรธ “ไม่เกี่ยวข้องได้ไง? ก็แกฆ่าเขา! และฉันมาที่นี่ก็เพื่อมาทวงหนี้แก!”
เมื่อพูดจบ ฉุงโยวเวยก็ด่าขึ้นอย่างรุนแรง “แม่งเอ๊ย! ไอ้คนที่ฆ่าหวังไห่ก็คือไป๋ยี่เฟยโว้ย! ที่กำลังอยู่ข้างหลังแกไง เคยแหกตาดูบ้างไหมวะ? “
“แกนั่นแหละ!” จางหัวปินพูดอย่างมั่นใจ “เพราะว่าพวกแกตกหลุมรักผู้หญิงคนเดียวกันไง และหล่อนก็ชื่อว่าเถาเยว!”
มันคือเรื่องจริง แต่ฉุงโยวเวยไม่ได้เป็นคนฆ่าเขา!
“ฉันกำลังแย่งเถาเยวกับเขา แล้วไงล่ะ? ยังไงฉันก็ไม่ได้ฆ่าหวังไห่สักหน่อย ไป๋ยี่เฟยต่างหากที่ฆ่า!”
“เถาเยวท้องแล้วเรื่องนี้แกคงรู้ดี?” จางหัวปินถาม
สายตาของฉุงโยวเวยหลบเลี่ยงเล็กน้อย เพราะเขารู้เรื่องนี้จริง ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็รู้ด้วยว่า เด็กในท้องของเถาเยวเป็นลูกของเขา แต่เขาสั่งไม่ให้เถาเยวอย่าบอกเรื่องนี้กับใครโดยเด็ดขาด
จางหัวปินก็พูดต่ออีกว่า “แต่น่าเสียดาย แกให้เถาเยวปิดบัง แต่ผู้หญิงที่มีครรภ์จะปิดบังได้ยังไงกัน เว้นแต่หล่อนเท่านั้นที่ไม่เห็นใคร ซึ่งหวังไห่ก็รู้ว่าเถาเยวท้อง แต่ไม่ใช่ลูกของเขา ดังนั้นจึงจำเป็นต้องกําจัดออกไป ”
“หลังจากแกรู้เรื่องนี้ แกก็แอบส่งคนไปฆ่าหวังไห่อย่างลับลับ แล้วก็มาโยนความผิดใส่ไป๋ยี่เฟย”
ฉุงโยวเวยฟังแล้วรู้สึกงุนงง เนื่องจากเรื่องพวกนี้ล้วนเป็นเรื่องจริง แต่การฆ่าหวังไห่และโยนความผิดใส่ไป๋ยี่เฟยเขายังไม่ทันได้ลงมืออะไรเลย หวังไห่ก็ตายไปก่อนแล้ว
“เหลวไหล!” ฉุงโยวเวยตะโกนไปว่า “ไม่มีหลักฐาน ก็อย่าพูดพล่อยพล่อย!”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เมื่อชายชราชุดสูทถังเห็นสีหน้าของฉุงโยวเวยแล้วก็สามารถยืนยันได้ว่าเรื่องทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความจริง ส่วนใครเป็นคนฆ่าหวังไห่นั้น เขาเองก็ไม่กล้ายืนยันเช่นกัน
ดังนั้นชายชราชุดสูทถังจึงเดินเข้าไปหาฉุงโยวเวย และกระซิบว่า “นายน้อย นายน้อยฆ่าหวังไห่จริงจริงเหรอ? ถ้าใช่ งั้นวันนี้เราคงต้องจัดการด้วยกันสะแล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาพวกนี้”
“ไม่ใช่ฉัน!” ฉุงโยวเวยตะโกนออกมา ” แม่งเอ๊ยฉันยังไม่ได้ลงมืออะไรเลย!”
ชายชราชุดสูทถังพยักหน้า พร้อมกับลุกขึ้นยืน และหยุดถาม
ฉุงโยวเวยตะคอกออกมา “มาเพื่อใส่ความฉันงั้นเหรอ? แกก็ไม่ดูสารรูปตัวเองเลย ว่ามีคุณสมบัติพอหรือเปล่า?”
จางหัวปินไม่ได้พูดอะไรได้แต่จ้องไปที่ฉุงโยวเวย “ทั้งหมดนี้เถาเยวเป็นคนบอกผมเอง”
“ อะไรนะ? เป็นไปไม่ได้!” ฉุงโยวเวยแสดงสีหน้าอย่างไม่น่าเชื่อ
ในตอนนั้นเอง ไป๋ยี่เฟยที่ไม่เคยมีตัวตน ในที่สุดก็พูดขึ้นว่า “ทำไมถึงเป็นไปไม่ได้ล่ะ?”
ฉุงโยวเวยสำลัก และทันใดนั้นก็พลันนึกขึ้นได้ว่า เขาได้ส่งตัวเถาเยวให้กับไป๋ยี่เฟยไปแล้ว บางทีอาจเป็นเพราะเพื่อเถาเยวจะได้อยู่ที่นั่นต่อไป หล่อนจึงให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์บางอย่างกับพวกเขา
อย่างไรก็ตาม ฉุงโยวเวยยังคงไม่รู้สึกตื่นตระหนกอะไร
“ฉันส่งตัวเถาเยวให้แกแล้วนิ แต่หล่อนก็ยังคงเป็นคนรักของฉัน ดังนั้นแกคิดว่าสิ่งที่หล่อนพูดจะเป็นเรื่องจริงทั้งหมดอย่างนั้นเหรอ?”
ไป๋ยี่เฟยก้าวไปข้างหน้า และพูดอย่างเย็นชา “จะเป็นเรื่องจริงหรือไม่จริงนั้น เมื่อค้นหาความจริงแล้วก็จะรู้เอง และเมื่อถึงเวลาที่หลักฐานทุกอย่างชัดเจน ไอ้เรื่องต่างต่างที่แกแก้ตัวก็จะไร้ประโยชน์ทันที!”
“นี่แก!” ฉุงโยวเวยรู้สึกกังวล “วันนี้ที่มาก็เพื่อเรื่องนี้เองสินะ?”
ถ้าการที่ไป๋ยี่เฟยมา เพียงเพื่อให้เขาสารภาพผิดถึงการฆาตกรรม งั้นเขาก็แค่อยากจะพูด ว่าไป๋ยี่เฟยช่างไร้เดียงสาเสียจริง!
กำลังของตระกูลฉุงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม แม้ว่าเขาจะฆ่าคน แต่เขาก็ถูกควบคุมโดยตระกูลฉุง หากไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด เขาจะไม่ถูกจับอย่างแน่นอน และเขาก็จะไม่ถูกตัดสินโทษอีกด้วย
เขาคิดว่าไป๋ยี่เฟยทิ้งยอดฝีมือพวกนั้นไป เพราะต้องการต่อสู้กับเขาเพียงลำพัง แต่ในท้ายที่สุด ก็แค่ขู่เขาโดยการพาผู้หญิงที่ไม่รู้ว่าพูดเรื่องจริงหรือเรื่องโกหกมาเท่านั้น?
เฮ้อไอ้โง่เอ๊ย!
“ไป๋ยี่เฟย เมื่อครู่ฉันมองแกสูงไป แต่ตอนนี้ ในสายตาของฉัน แกกลับไม่มีอะไรเลย!” ฉุงโยวเวยยิ้มเยาะ
ไป๋ยี่เฟยยิ้มเยาะ “แล้วแกรู้ไหมว่า ในสายตาของฉันแกคืออะไร”
“อะไร?” ฉุงโยวเวยถามโดยไม่รู้ตัว
ไป๋ยี่เฟยยกมุมปากขึ้น และพูดอย่างมืดครึ้ม “คนตาย!”
หลังจากพูดจบ ฉุงโยวเวยก็ลุกขึ้นยืนทันที ในขนาดเดียวกันชายชราชุดสูทถังก็ก้าวเข้ามาปกป้องฉุงโยวเวย บอดี้การ์ดทั้งหลายต่างก็ขยับเข้ามาใกล้ โจวฉวี่เอ๋อและจางหัวปินด้วยเช่นกัน
ไป๋ยี่เฟยกวาดตามองบอดี้การ์ดอย่างเฉยชา “ไม่ทราบว่าสามารถยืมใช้ห้องน้ำในห้องพิเศษนี้ได้หรือเปล่า?”
???
ในระหว่างการต่อสู้ที่ตึงเครียดอย่างนี้เนี่ยนะ? จะใช้ห้องน้ำทำห่าอะไรวะ? ไม่ใช่ว่าแกตื่นเต้นเกินไป ถึงกับต้องขอเข้าห้องน้ำก่อน?
พอพูดถึงตรงนี้ ฉุงโยวเวยก็หัวเราะขึ้นมาทันที “ฮาฮา…ไป๋ยี่เฟย กลัวแล้วล่ะสิ? ถึงขั้นอยากจะเข้าห้องน้ำเลยงั้นเหรอ? แม่งเอ๊ยอยากหัวเราะให้ตายไปเลย แกเคยเห็นใครขอเข้าห้องน้ำก่อนจะสู้กันหรือเปล่าวะ?”
จางหัวปินไม่ได้แสดงอาการใดใด แต่โจวฉวี่เอ๋อ หล่อนกลับเอาแต่จ้องฉุงโยวเวยตั้งแต่นาทีแรกที่หล่อนเดินเข้ามาแล้ว
ในระหว่างการสนทนานั้น หล่อนรู้ดีว่า คนคนนี้แหละ คือคนที่ทำให้สามีของหล่อนต้องได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัสในวันแต่งงาน และคนคนนี้เองที่ทำให้หล่อนต้องสูญเสียชีวิตการแต่งงานที่แสนมีความสุขไป
หล่อนเกลียดเขา! เกลียดจนอยากจะฆ่าฉุงโยวเวยให้ตายไปในทันที แต่หล่อนก็สามารถควบคุมตัวเองไว้ได้
หล่อนรู้ว่าไป๋ยี่เฟยจะลงมือแก้แค้นด้วยตัวเอง และหล่อนเอง ก็ไม่สามารถทำให้ไป๋ยี่เฟยต้องเสียแผนเพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบของหล่อน
ทันทีที่ได้ยินไป๋ยี่เฟยพูดว่าอยากใช้ห้องน้ำ หล่อนก็รู้สึกงุนงงเล็กน้อย
ไป๋ยี่เฟยไม่ได้สนใจในคำเยาะเย้ยของทุกคนเขาเพียงแค่ถามว่า “ฉันยอมรับในคำเยาะเย้ยของแก”
หลังจากพูดจบ ไป๋ยี่เฟยก็พาจางหัวปินและโจวฉวี่เอ๋อไปยังห้องน้ำในห้องพิเศษ
ห้องพิเศษกว้างและใหญ่ขนาดนี้ แต่ห้องน้ำกลับอยู่ไม่ไกลมาก เดินไปแค่ไม่กี่ก้าวก็มาถึง หน้าประตูห้องน้ำแล้ว ไป๋ยี่เฟยกระซิบกับทั้งสองว่า “เข้าไปข้างใน และล็อกประตูไว้ จนกว่าตํารวจจะมาเคาะประตูแล้วค่อยออกมา”
พอพูดจบ ไป๋ยี่เฟยก็ผลักทั้งสองเข้าไป