บทที่ 507
8 นาฬิกา 50 นาที เรือสำราญปิดช่องผ่านทาง ค่อยๆ แล่นออกท้องทะเล
โจวฉวี่เอ๋อสูดลมหายใจเข้า เตรียมตัวจะไปหาพวกไป๋ยี่เฟย
ทว่าตอนเธอหมุนตัว ฉับพลันก็เห็นเงาที่คุ้นเคย
เงานั้นว่องไวมาก ราวกับมีเรื่องด่วน พริบตาเดียวก็หายไปตรงเลี้ยว
โจวฉวี่เอ๋อไล่ไปตามทาง สุดท้ายตามไปถึงแค่หอประชุม แล้วก็ไม่เห็นเงานั่นอีก
“จะเป็นเขาได้อย่างไร? เรามองผิดอย่างนั้นเหรอ?”
เงาที่เธอเห็นเมื่อครู่เหมือนกับเงาของสามีฉินหัวที่เธอเพิ่งแต่งงานด้วย
มองดูด้วยความหวังอยู่นาน โจวฉวี่เอ๋อก็ไม่เห็นคนผู้นั้น จึงสงสัยขึ้นมา “หรือเราดูผิด? ตอนนี้เขายังนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย จะปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”
โจวฉวี่เอ๋อนั่งข้างหลี่เสว่ด้วยความสงสัย ใจจดจ่ออยู่กับเงาที่ได้เห็น
“ฉวี่เอ๋อ? เป็นอะไรไป?” หลี่เสว่เห็นท่าทางโจวฉวี่เอ๋อแปลกๆ นึกว่าเธอถูกรังแกเข้า “มีคนหาเรื่องเธอเหรอ?”
โจวฉวี่เอ๋อ “หา” ขึ้นมา ถึงได้กลับมามีสติ พูดไม่เป็นลำดับขึ้นมาว่า: “ฉันเห็นฉินหัวเข้า ไม่สิ ฉันเห็นคนคนหนึ่งเหมือนกับเขา……”
“แล้วฉันก็เหมือนดูผิด? แต่เห็นอยู่ชัดๆ ว่าฉันไม่ได้ดูผิด? แล้วเขาเป็นใครกันนะ? เสว่เอ๋อ……”
หลี่เสว่ตกใจขึ้นมา “เธอเห็นคนที่เหมือนกับฉินหัวราวกับเป็นคนคนเดียวกันเหรอ?”
โจวฉวี่เอ๋อพยักหน้า “ฉันนึกว่าฉันดูผิด แต่พอฉันระลึกได้ เป็นไปไม่ได้ที่จะดูผิด!”
หลี่เสว่นิ่งไปสักพัก กระซิบเบาๆ ว่า: “ฉวี่เอ๋อ เธอคิดถึงเขามากไปหรือเปล่า ถึงได้เห็นคนอื่นเป็นเขา? บางทีคนคนนั้นอาจจะมีหน้าตาเหมือนเขาก็ได้?”
โจวฉวี่เอ๋อขมวดคิ้ว พูดอย่างมั่นเหมาะว่า: “ฉันแน่ใจ ว่าฉันไม่!”
“มีอะไรเหรอ?” ไป๋ยี่เฟยเพิ่งจะนั่งลง ได้ยินสิ่งที่คุยกัน เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
หลี่เสว่บอกสิ่งที่โจวฉวี่เอ๋อพูดเมื่อกี๊กับเขา ก็รู้สึกสงสัย ทุกคนต่างรู้ว่า ฉินหัวยังนอนอยู่ที่โรงพยาบาล ไม่น่าจะปรากฏตัวขึ้นที่นี่ได้
ไป๋ยี่เฟยนิ่งไปสักพัก ใจก็เต้นตุ้บๆ “จริงเหรอ?”
“ไม่อย่างนั้นล่ะ?” โจวฉวี่เอ๋ออารมณ์เสียจ้องมองพวกเขาสองคน “พวกเธอไม่เชื่อก็ช่าง อย่างไรฉันก็เห็นแล้ว ไม่แน่ว่ามีคนที่รูปร่างหน้าตาเหมือนเขาจริงๆ !”
ไป๋ยี่เฟยมองหลี่เสว่แวบหนึ่ง พูดด้วยเสียงเรียบๆ ว่า: “ต่อให้จริง คนคนนั้นก็ไม่ใช่เขา”
“ฉันรู้” โจวฉวี่เอ๋อถอนหายใจ “ฮืม” ขึ้นมา “ฉันแค่ประหลาดใจเท่านั้นเอง”
ไม่ว่าใครที่เห็นคนที่เหมือนกับสามีตัวเองอย่างกับคนคนเดียวกันก็ต้องประหลาดใจทั้งนั้น!
ไป๋ยี่เฟยยักไหล่ “ถ้ามีคนแบบนี้อยู่บนเรือจริง อย่างไรก็ต้องเจอแน่”
ต่อให้คนบนเรือมากมาย ขอบเขตกิจกรรมของทุกคนก็มีไม่กี่อย่าง โดยเฉพาะการเลือกตั้งในหอประชุม ทุกคนแทบจะอยู่ที่นี่กันหมด ไม่นานต้องได้เห็นแน่
โจวฉวี่เอ๋อนิ่งเงียบ ในใจพูดไม่ถูกว่าเป็นรสชาติอย่างไร
……
ไม่นาน ก็ถึงเวลา 9 นาฬิกา พิธีเปิดการเลือกตั้งเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ
สักพัก คนในหอประชุมก็เงียบสนิท ในเวลานี้เอง ทางเข้าอีกทางก็มีชายหนุ่มสวมสูทเดินเรียงแถวเข้ามา
พวกเขาทั้งหมดมาจากสหพันธ์ธุรกิจเมืองหลวง มาดำเนินการจัดการเลือกตั้งครั้งนี้โดยเฉพาะ
หนึ่งในผู้ที่อยู่อันดับต้นคือรองประธานสหพันธ์ธุรกิจเมืองหลวงนามว่าสวี่ชาง อายุเพียง30เศษ หวีผมเรียบ สวมแว่นกรอบดำ ดูท่าทางน่าคบหา อายุแค่นี้ก็ขึ้นแท่นเป็นรองประธานสหพันธ์ธุรกิจเมืองหลวงเสียแล้ว แค่คิดก็รู้ว่า คนผู้นี้ไม่ธรรมดาอย่างที่เห็นผิวเผินแน่
หลังจากผู้คนนั่งลง สวี่ชางก็พูดออกไมโครโฟน
“สวัสดีทุกท่าน ผมคือสวี่ชางรองประธานสหพันธ์ธุรกิจของเมืองหลวง ที่ทางสหพันธ์ธุรกิจเมืองหลวงส่งผมมาดำเนินการเลือกตั้งสหพันธ์การค้าเป่ยไห่ในครั้งนี้”
“ก่อนอื่น ผมขอกล่าวถึงกฎเกณฑ์ในการเลือกตั้งก่อน”
“ตอนนี้ ผมมีรายชื่อผู้ลงเลือกตั้งอยู่ที่นี่แล้ว”
“ครั้งนี้มีเจ้าของกิจการทั้งหมด260แห่งที่ลงสมัครคัดเลือก”
“การเลือกตั้งแบ่งออกเป็นสามรอบ รอบแรก ทุกคนที่เข้าคัดเลือกจะได้ขึ้นปราศรัยบนเวทีกันทุกคน แต่เนื่องจากจำนวนคนที่มาก ผู้ที่ขึ้นมาปราศรัยขอให้สั้นกระชับที่สุด ไม่ต้องพูดไร้สาระให้เสียเวลา”
“ระหว่างนี้ทุกท่านอยู่ในหอประชุมได้ คนที่ยังไม่ถึงคิวก็สามารถออกไปได้ พอถึงเวลารับประทานอาหาร จะหยุดพักการประชุม หมดเวลาพัก ก็เริ่มต่อ”
“จากการคัดเลือกรอบแรก จะเลือกจำนวนผู้เข้าคัดเลือกมา100คน จากนั้นเข้าสู่รอบที่สอง ทุกคนหย่อนบัตรเลือกตั้ง เลือกมา20คนเพื่อเข้าสู่รอบที่สาม”
“ในรอบสุดท้าย จะคัดเลือก ผู้สมัครคนสุดท้ายที่ได้การเลือก”
“ขั้นตอนคร่าวๆ เป็นเช่นนี้ จริงสิ มีข้อหนึ่งที่ผมต้องแจ้งให้ทราบ อำนาจตัดสินใจในการประชุมสูงสุดอยู่ที่ผม การตัดสินใจสุดท้ายก็อยู่ที่ผม”
“เอาล่ะ ผู้ที่ถูกเรียกชื่อขอเชิญขึ้นมาแนะนำตัวเองบนเวที”
จบประโยค ด้านข้างก็มีผู้เรียกชื่อตามรายนาม “หลิวฮุย”
ผู้ที่ถูกเรียกชื่อสะดุ้งขึ้น “ให้ตาย ฉันคนแรก!”
ทว่าต่อให้สะดุ้งอย่างไรก็ช่วยไม่ได้ ต้องรีบขึ้นไป ไม่เช่นนั้นถ้าคลาดเวลา ถือว่าสละสิทธิ์
ขณะรอหลิวฮุยขึ้นเวที ผู้คนก็เริ่มซุบซิบกัน
“พระเจ้า รองประธานสหพันธ์ธุรกิจเมืองหลวงทำไมหนุ่มอย่างนี้?”
“แล้วใครว่าไม่ล่ะ? ดูท่าทางอย่างกับตัวร้าย!”
“ที่เขาพูดเมื่อกี๊หมายความว่าอย่างไร?”
“หมายความว่าเขาพูดอย่างไรก็ตามนั้น!”
“หา?”
“อย่างไรสุดท้ายเขาเป็นผู้เคาะตัดสินว่าใครเป็นประธานสหพันธ์ธุรกิจของมณฑลเรา การคัดค้านไม่เป็นผล”
“ให้ตาย แล้วอย่างนี้เลือกตั้งจะมีความหมายอะไร?”
“งี่เง่า ก็ต้องเลือกสิ!”
“……”
ไป๋ยี่เฟิยพูดจบก็ไม่มีปฏิกิริยาอะไร แค่คิ้วขมวดนิดหน่อย ถ้าเป็นอย่างที่นายพูด สวี่ชางอาจจะมีตัวเลือกในใจแล้ว หรือก็คือตัวเลือกที่ภายในกำหนดไว้ ตอนนี้ก็แค่ดำเนินการตามขั้นตอน?
นึกถึงตรงนี้ ไป๋ยี่เฟยก็หัวเราะขึ้นมา เขามีแค่โรงพยาบาลเอกชนสองแห่ง เมื่อเทียบกับกิจการของคนอื่นที่มีอันดับ ไม่คู่ควรให้พูดถึง คาดว่าคงไม่มีให้ต้องหวัง
ส่วนทางหลี่เสว่ สีหน้าที่กังวล แค่ไม่นานเท่าไหร่ ก็เปลี่ยนเป็นโล่งขึ้น เธอแค่มาหาทำความรู้จักคู่ค้าเท่านั้น
กลับมาที่เวที คนที่ชื่อว่าหลิวฮุยเดินขึ้นไปแล้ว เนื่องจากเป็นคนแรก ความตื่นเต้นเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ เขาถือไมค์ไว้ เสียงสั่นเล็กน้อย “สวัสดีทุกท่าน ผมชื่อหลิวฮุย เป็นประธานจวินเยว่กรุ๊ป ผม……”
ต่อมาก็เป็นการโปรโมทตัวเองท่อนใหญ่ ทั้งที่ต่างก็เป็นเจ้านายใหญ่ ต่อให้ตื่นเต้น การดึงคุณสมบัติตัวเองออกมาก็ยังมีอยู่ ไม่นานก็ควบคุมความสงบได้。
ไป๋ยี่เฟยฟังแล้วไม่น่าสนใจ จึงหันไปคุยกับหลี่เสว่ แต่กลับพบว่าปากของหลี่เสว่กำลังบ่นอะไรสักอย่าง จิตใต้สำนึกให้เขาขยับเข้าไปใกล้ “สวัสดีค่ะ ฉันหลีเสว่เป็นผู้จัดการใหญ่จากฝูรุ่ยจิวเวลรี่ ฉัน……”
“คุณท่องสคริปต์อยู่เหรอ” ไป๋ยี่เฟยมองหลี่เสว่ด้วยความตกใจ
หลี่เสว่ถลึงตาใส่เขา “ฉันขึ้นไปแล้วจะตื่นเต้นจนลืม”
ไป๋ยี่เฟยอดขำไม่ได้ “ที่จริงไม่ต้องตื่นเต้นเลย พูดอะไรหน่อยแค่สองประโยคก็พอแล้ว”
“ฉันรู้ว่าฉันไม่ผ่าน แต่ท่าทีที่ควรมีก็ต้องมี” หลี่เสว่พูดอย่างจริงจัง
ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงแล้ว แต่กลับขึ้นไปแค่ไม่กี่สิบคน ความคืบหน้านี้ถือว่าช้ามาก