บทที่ 52
ตอนเย็นหลังเลิกงานไป๋ยี่เฟยก็ขึ้นรถไปกับโจวฉวี่เอ๋อ
“เจอพ่อแม่ฉันแล้วก็โอเวอร์แสดงหน่อยนะ ทำให้พวกเขาเกลียดคุณได้ยิ่งดี รู้ไหม?” โจวฉวี่เอ๋อไม่วางใจเลยต้องสั่งการอีกรอบ
“โอเวอร์แสดงอย่างไร? ยกตัวอย่างหน่อย?” ไป๋ยี่เฟยถามกลับ
โจวฉวี่เอ๋อตอบกลับอย่างเขม่น “แค่นี้ก็ไม่รู้ พูดโม้โอ้อวดต่างๆไงล่ะ ยิ่งเกินจริงเท่าไหร่ยิ่งดี พ่อฉันเป็นคุณครู เขาเกลียดคนที่ชอบพูดจาโอ้อวดแต่ไม่มีความสามารถจริงอย่างนั้นไงล่ะ”
“อ้อ”
รถขับมาถึงหมู่บ้านซินย่วนลี่จิ่ง
โจวฉวี่เอ๋อพาไป๋ยี่เฟยมาถึงชั้น13 ก่อนจะเคาะประตูสองที
ผู้ที่มาเปิดประตูคือคุณแม่โจวจ้าวฉิง
“เข้ามาเถอะ!” จ้าวฉิงต้อนรับแบบไม่เย็นชา แต่ก็ไม่ถึงกับยินดีมาก ประดุจคนบ้านเดียวกันที่เพิ่งกลับบ้านมา
โจวฉวี่เอ๋อและไป๋ยี่เฟยเดินเข้าห้องไป มองเห็นว่าคุณพ่อโจวกำลังดูโทรทัศน์อยู่
คุณพ่อโจวนามว่าโจวเฉิงหัว ประกอบอาชีพคุณครู สวมใส่แว่นสีดำ ใส่เสื้อเชิ้ตสีเทา มีออร่าของคนมีความรู้ประกายออกมา
ไป๋ยี่เฟยยิ้มออกมาเบาๆ “สวัสดีครับคุณลุง”
โจวฉวี่เอ๋อเห็นแบบนี้ก็ขมวดคิ้วขึ้น ทำไมต้องมีมารยาทด้วย?
โจวเฉิงหัวยิ้มออกมา ก่อนจะลุกขึ้นยืน “เสี่ยวไป๋ใช่ไหม?”
ไป๋ยี่เฟยนั่งลง โจวเฉิงหัวเลยถามต่อ “เสี่ยวไป๋ทำงานอะไรเหรอ?”
“ผมทำงานอยู่ที่……” ไป๋ยี่เฟยยังไม่ทันพูดจบ ก็ถูกโจวฉวี่เอ๋อพูดแทรกขึ้น
“เขาอยู่แต่ที่บ้าน ไม่ทำอะไรเลย”
“……”
ไป๋ยี่เฟยมองไปยังโจวฉวี่เอ๋อ โจวฉวี่เอ๋อก็ถลึงตาให้เขาเป็นนัยย์ๆ
โอเค เขาต้องทำให้คุณพ่อคุณแม่โจวไม่ชอบเขา ต้องโอเวอร์แสดงหน่อย
“ไม่ได้ทำอะไรเลย? ไม่มีงานเหรอ?” โจวฉวี่เอ๋อถามต่อ
ไป๋ยี่เฟยก็แกล้งตอบกลับ “ใช่ครับ ที่บ้านมีเงินมากมายจนไม่ต้องทำงาน วันๆแค่ใช้เงินก็ใช้ไม่หมด ไปทำงานทำไม?”
โจวเฉิงหัวและจ้าวฉิงตกตะลึง สายตาส่องประกายออกมา
โจวฉวี่เอ๋อมุมปากแข็งขึ้น แต่ว่ากลับพอใจในคำตอบของไป๋ยี่เฟยมาก ส่งสายตาให้กำลังใจไปยังไป๋ยี่เฟย
ไป๋ยี่เฟยได้รับกำลังใจ ก็ไม่สนใจอะไรอีกต่อไป
“ถ้าอย่างนั้นที่บ้านของเธอทำอะไร?” โจวเฉิงหัวพยายามควบคุมความตื่นเต้นของตนเอง
“ทำทุกอย่าง ควบคุมธุรกิจทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร สื่อบันเทิง อสังหาริมทรัพย์ การขายปลีกต่างๆ เครื่องใช้ไฟฟ้ารวมไปถึงต้าตงโลจิสติกส์ ก็อยู่ในเครือของที่บ้านผมด้วย”
พูดจบ จ้าวฉิงก็แทบจะกลั้นหายใจ
โจวเฉิงหัวกลับขมวดคิ้วเล็กน้อย
“พูดแบบนี้ เธอเข้าใจธุรกิจพวกนี้เหรอ?” โจวเฉิงหัวถามแบบลองใจ
ไป๋ยี่เฟยพยักหน้ารับ “แน่นอนครับ! ธุรกิจที่บ้านของตนเอง แน่นอนว่าต้องเข้าใจอยู่แล้ว”
โจวเฉิงหัวได้ยินเขาพูดเช่นนี้แล้ว ก็หันหน้ากลับมาดูโทรทัศน์ต่อ โทรทัศน์กำลังออกอากาศข่าวเรื่องขุดน้ำมันอยู่ “เธอมีความคิดเห็นอย่างไรกับราคาน้ำมัน?”
“ไม่มีความคิดเห็นอะไร”
โจวฉวี่เอ๋อกับจ้าวฉิงนิ่งไป “ไม่มีความคิดเห็นอะไร?”
“ใช่ครับ” ไป๋ยี่เฟยเริ่มพูดมั่วออกมา “คุณลุงดูนะครับ น้ำมันเป็นทรัพยากรที่ใช้แล้วหมดไป ใช้ไปแล้วก็หมดไป รัฐบาลก็บอกแล้ว น้ำมันเป็นสิ่งสำรองทางช่วงสงคราม ต่อให้พบเจอแหล่งน้ำมันมากมาย แต่มีบางส่วนที่ยากต่อการขุดหา แบบนี้ก็เท่ากับไม่มี และน้ำมันดิบที่ผ่านการกรองมาใช้ได้นั้นก็มีจำนวนจำกัด ไม่มากเกินไป และไม่น้อยเกินไป”
“แต่ว่าในปัจจุบันนี้ จำนวนคนใช้รถยนต์ในประเทศเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ราคาน้ำมันนั้นไม่ว่าจะขึ้นราคาหรือลดราคา ต่อเมื่อคุณมีรถขับแล้วคุณก็ต้องซื้อน้ำมันอยู่ดี ข่าวที่คอยประโคมว่าน้ำมันเก็บสำรองของอเมริกากำลังลดน้อยลงพวกนั้น พวกเราแค่ดูไว้ก็พอ อย่างไรก็ต้องซื้ออยู่ดี”
“แน่นอนว่าถ้าคุณลุงอยากลงทุนเล่นหุ้นด้านนี้นั้น ก็คงต้องดูอย่างละเอียด จำนวนน้ำมันดิบและน้ำมันเก็บสำรองแปรผันอยู่ตลอดเวลา ไม่มีความแน่นอน”
โจวเฉิงหัวได้ยินไป๋ยี่เฟยพูดแบบนี้แล้วก็ตะลึงไป
ไป๋ยี่เฟยพูดต่อ “พูดถึงเรื่องรถ เหมือนว่าฉวี่เอ๋อก็มีรถเหมือนกัน? พวกท่านจะออกไปข้างนอกคงไม่สะดวกเท่าไหร่? ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมซื้อรถให้ท่านทั้งสองคนละคันดีไหม คันละกี่ล้านหรือกี่สิบล้านก็ได้”
“ซู้ด……” จ้าวฉิงและโจวฉวี่เอ๋อสูดหายใจเข้าลึกๆ
สำหรับคำพูดสุดท้ายที่จะซื้อรถให้กับพวกเขานั้น ทำให้ทั้งสองตื่นเต้นขึ้นมา จ้าวฉิงรีบพูดเรียก “มามามา กับข้าวเสร็จแล้ว พวกเรากินไปด้วยคุยไปด้วยเถอะ”
โจวฉวี่เอ๋อยังจับต้นชนปลายไม่ถูก
คำพูดพวกนั้นคืออะไรกัน? ทำไมดูเหมือนว่าคุณพ่อคุณแม่เชื่อคำพูดประหลาดนั้นสนิทใจ!
นั่งลงบนโต๊ะรับประทานอาหาร เริ่มทานข้าวและพูดคุยกันไป
“เสี่ยวไป๋! บ้านเธออยู่แถบไหนเหรอ? ไกลจากที่นี่มากไหม? มายังไงล่ะ?” จ้าวฉิงถามอย่างใจดี
ไป๋ยี่เฟยกินข้าวหนึ่งคำก่อนจะตอบ “อ้อ ผมอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านหลันโปกั่ง และนั่งรถของฉวี่เอ๋อมาครับ
“หมู่บ้านหลันโปกั่ง?”
“ใช่ครับ!” ไป๋ยี่เฟยพยักหน้า เขาอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านหลันโปกั่งจริงๆ อันนี้ไม่ได้คุยโว
คุณพ่อคุณแม่โจวตะลึงไป จ้าวฉิงถามต่อ “ทำไมถึงนั่งรถของฉวี่เอ๋อมาล่ะ?”
“อ้อ พอดีว่าที่บ้านมีรถเยอะจนไม่รู้จะคับขันไหนมาดีน่ะครับ” ไป๋ยี่เฟยพูดตอบอย่างใจเย็น
จ้าวฉิงวางตะเกียบลงก่อนจะหายใจเข้าลึกๆ
โจวเฉิงหัวถึงกับต้องยกมือขึ้นมาปาดเหงื่อ
โจวฉวี่เอ๋อรู้สึกว่าสถานการณ์ไม่ค่อยปกติ รีบพูดเตือน “ไม่ต้องพูดต่อแล้ว กินข้าวก่อนเถอะ!”
คุณพ่อคุณแม่เป็นคนมีความรู้นะ ทำไมถึงเชื่อคำพูดประหลาดพวกนั้นได้?
ทั้งสี่คนกินข้าวอย่างเงียบๆ โจวฉวี่เอ๋อรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ปกติ
“พ่อ แม่ มีคำถามอะไรจะถามอีกไหม?” โจวฉวี่เอ๋อถามออกมา
โจวเฉิงหัวและจ้าวฉิงสบตากัน ก่อนจะส่ายหน้า “ไม่มีอะไรที่จะถามหรอก ดีพอแล้ว”
“หือ?”
“ฐานะทางครอบครัวของเสี่ยวไป๋ดีขนาดนี้ ลูกแต่งออกไปพวกเราก็วางใจ ยังมีอะไรที่ต้องถามอีก?” จ้าวฉิงพูดด้วยรอยยิ้ม
โจวเฉิงหัวพยักหน้า “ถูกต้อง ฉวี่เอ๋อแต่งออกไป ก็คงจะไม่เสียใจ มีแต่จะมีความสุข พวกเราก็วางใจ”
โจวฉวี่เอ๋ออึ้งไป สถานการณ์นี้ทำไมไม่เหมือนกับที่เธอคิดไว้ล่ะ?
โจวเฉิงหัวเริ่มพูดคุยกับไป๋ยี่เฟย “เสี่ยวไป๋ กินเหล้าไหม?”
ไป๋ยี่เฟยคุยโวต่อไป “ดื่มพันแก้วก็ไม่เมาครับ คนคนนั้นก็คือผมเอง”
“ดีเลย! มามามา เต็มแก้ว!” โจวเฉิงหัวรินเหล้าให้ไป๋ยี่เฟยเต็มแก้ว
โจวฉวี่เอ๋อพูดไม่ออก “พ่อ นี่พ่อเชื่อคำพูดของเขาเหรอ?”
“ทำไมจะไม่เชื่อ? เด็กคนนี้น่าเชื่อถือขนาดนี้ ไม่โกหกหรอก” โจวเฉิงหัวหัวเราะออกมา
“……”
ไป๋ยี่เฟยรับแก้วมา กระดกดื่มหมดแก้ว “รสชาติไม่เลวเลย! ดื่มอีก!”
“มา!”
ดื่มไปสามแก้ว ไป๋ยี่เฟยก็ฟุบลงหมดสติลงบนโต๊ะทันที