บทที่ 561
“ดังนั้นพวกเราจึงหลบอยู่ในโกดังสินค้าก่อน แล้วแอบขึ้นไปบนเกาะ แต่หลังจากที่ขึ้นเกาะแล้วเพิ่งจะรู้ว่า เหตุการณ์มันไม่ได้เป็นแบบที่เราคิดไว้เลย”
“ถึงพวกเราจะมารู้สึกเสียใจทีหลังมันก็สายไปแล้ว ต่อมาพ่อของผมตาย แม่ของผมก็ตาย เหลือแต่ผมกับพี่สาว”
“ตอนนี้ความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเราก็คือรวบรวมเงินให้มากพอ แล้วออกไปจากที่นี่”
หลังจากไป๋ยี่เฟยได้ฟังจนจบ ก็พอจะเข้าใจหลันเต่าเกือบทั้งหมด
คนที่มาถึงที่นี่ ต่อให้เมื่อก่อนคุณจะมีสถานะยังไง ก็ไม่มีประโยชน์ มีเงินเท่านั้นถึงจะมีจุดยืน ส่วนชีวิตของคน เป็นสิ่งที่ไม่คุ้มค่าเงินมากที่สุด
ที่นี่อยู่ภายใต้การปกครองของสหพันธ์ธุรกิจเมืองหลวง พวกเขาก็เหมือนกับฮ่องเต้ในสมัยโบราณ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของพวกเขาเท่านั้น
หลินจื่อมองไป๋ยี่เฟย พร้อมกับถามขึ้น“คุณก็ถูกหลอกมาเหรอ? อยากจะร่ำรวยใช่ไหม?”
ไป๋ยี่เฟยถอนหายใจออกมาอย่างหมดหนทาง“ฉันก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงมาที่นี่ได้ นายเชื่อไหม?”
พูดจบ ก็สีหน้านิ่งเฉย มองไป๋ยี่เฟยด้วยท่าทีดูออกว่าเขาโกหก
ไป๋ยี่เฟยรีบพูดขึ้นทันที“ฉันรู้ว่ามีสถานที่อยู่แห่งหนึ่งมีเรือ แต่ต้องมีน้ำมันถึงจะไปได้ ถ้าหาน้ำมันเจอ ฉันจะพาพวกนายสองคนพี่น้องไปด้วยกัน”
หลินจื่อตกใจ ก่อนจะพูดขึ้น“น้ำมันเป็นของที่แพงที่สุดของเกาะนี้เลยนะ อย่าว่าแต่ของแบบนั้น ขนาดนั้นเงินพวกเราก็ไม่มีด้วยซ้ำ”
“อยู่ในการควบคุมดูแลของสหพันธ์ธุรกิจเมืองหลวงทั้งนั้น เกรงว่าจะไม่ได้เอามาได้ง่ายๆหรอก”
“อ้อ ใช่แล้ว ผมคิดออกแล้ว ตามพวกเหมืองต่างๆจะมีโรงเครื่องจักรอยู่หนึ่งโรง ถ้าอย่างนั้นก็น่าจะมีน้ำมัน แต่มีการคุ้มกันดูแลอยู่ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ไม่ได้เอามาง่ายๆเช่นกัน”
ตอนที่ไป๋ยี่เฟยกับฉีฉีขึ้นเกาะมา เรือยอชต์ลำนั้นขับขึ้นฝั่งมาโดยตรง พวกเขาเดินมาอยู่นานเพิ่งจะถึงเขตตัวเมืองทางฝั่งนี้ ถ้าอย่างนั้นก็น่าจะเป็นสถานที่ที่ยังไม่พัฒนา ปกติแล้วจะไม่มีคนไป
ถ้าฉีฉีจะไปล่ะก็ ไม่มีทางไปทางนั้นแน่นอน ถึงยังไงก็ไม่สะดวก ทางระยะไกลไม่ต้องพูดถึง เรือยอชต์ยังอยู่บนฝั่ง
ถ้าเธอไม่ไปล่ะก็ ยิ่งดีเลย เรือยอชต์นั่นจะต้องยังอยู่ที่นั่นอย่างแน่นอน
ไป๋ยี่เฟยนึกถึงตอนที่ฉีฉีกำลังเล่นมือถืออยู่ระหว่างทาง คงจะไม่ได้เล่นเกมอยู่ตลอดเวลา เธอจะติดต่อกับคนที่อยู่บนเกาะให้เตรียมรถให้กับเธอแน่ๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่มีทางลงจากเขามาแล้วมีรถจอดรออยู่แล้วแน่นอน
รถก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ค่อนข้างหายาก บ่งบอกว่าสถานะของฉีฉีที่นี่ไม่ธรรมดา
ดังนั้นต่อให้เธอจะไปจริงๆ ก็จะต้องออกไปจากที่นี่โดยตรงอย่างแน่นอน
หลินจื่อคิดๆก่อนพูดขึ้น“ดูแล้วคุณไม่น่าจะมีที่พักนะ ถ้าอย่างนั้นคุณจะไปพักที่บ้านของผมก่อนไหมล่ะ?”
ไป๋ยี่เฟยพยักหน้า“ขอบคุณมากๆ”
หลินจื่อพูดยิ้มๆ“ไม่ต้องเกรงใจหรอก ไปกันเถอะ”
บ้านของหลินจื่อเป็นบ้านที่สร้างจากพลาสติกเสริมใยแก้ว
ชั้นหนึ่งเป็นร้านอาหาร มีเนื้อที่ประมาณยี่สิบตารางเมตร มีเตาทำอาหารเล็กมากๆหนึ่งเตา ส่วนตรงอื่นก็มีโต๊ะอาหารวางอยู่ประมาณห้าหกโต๊ะ
เพิ่งจะเดินเข้าไป พี่สาวของ หลินจื่อก็ถือช้อนในมือไล่ตีหลินจื่อทันที แถมยังตะโกนออกด้วย“ไอ้เด็กดื้อ ไปทะเลาะวิวาทมาอีกแล้วเหรอ?”
“วันๆไม่หัดทำตัวให้มันดีๆ เอาแต่ทะเลาะวิวาท!ทะเลาะวิวาทมันกินได้ไหม? หรือว่าช่วยให้ออกไปจากเกาะได้ไหม?”
“ฉันจะตีนายให้ตาย จะตีนายให้แรงกว่าไอ้คนพวกนั้นอีก!”
ไป๋ยี่เฟยยืนอยู่ที่เดิม หลินจื่อบอกว่าพี่สาวของเขาโตกว่าเขาสามปี ก็แสดงว่า พี่สาวของเขาเพิ่งจะอายุยี่สิบเอ็ดปี อายุน้อยขนาดนี้เชียว ถ้าอยู่ข้างนอก อายุขนาดนี้ น่าจะเข้าเรียนมหาลัยแล้ว!
เธอมาถึงที่นี่ตอนอายุสิบสามปี เลี้ยงดูน้องชายของตัวเองจนเติบโต ช่วงอายุที่ดีที่สุด แต่ดันต้องมาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่
ยังจำได้ตอนที่อยู่ระหว่างทาง หลินจื่อบอกว่า“ในตอนแรกสุดพี่สาวของผมก็ไปล้างจานให้กับคนอื่น หาเงินมาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องพวกเรา ต่อมาเจ้าของบ้านถูกทำร้ายจนตาย พี่สาวของผมก็เลยรับช่วงต่อร้านอาหารร้านนี้”
“แต่ว่าผมบอกคุณไปแล้ว ตอนที่พี่สาวของผมเริ่มทำอาหารรสชาติแย่มากจริงๆ เหล่าบรรดาแขกต่างก็ต่อว่าด่าทอกันทุกคน พี่สาวของผมจึงไม่กล้ารับเงินพวกเขา”
“ตอนที่เพิ่งเริ่มทำ คุณจะต้องไม่เชื่อแน่ๆ ว่าพวกเราไม่ได้กินเนื้อเลยตลอดหนึ่งปี!”
“พี่สาวของผมเอาแต่พูดขอโทษผม ที่ไม่ได้ให้ผมกินของดีๆ ทำให้ผมเติบโตมาไม่ค่อยจะดีนัก ชิ ผมเห็นเธอโตมาก็ไม่ได้ว่าจะดีเหมือนกันนั่นแหละ”
ไป๋ยี่เฟยฟังหลินจื่อเล่าเรื่องในอดีต แม้ว่าเขาจะพูดออกมาอย่างสบายๆ แต่ก็สามารถรับรู้ได้ถึง วันเวลาเหล่านั้นมันผ่านไปอย่างยากลำบากขนาดไหน
……
“พี่ พี่หยุดตีสักทีได้ไหม? มีแขกอยู่ด้วยนะ”หลินจื่อวิ่งพลางหัวเราะเหอะๆออกมาพลาง
พี่สาวของเขาการกระทำหยุดชะงักลง เพิ่งจะสังเกตเห็นไป๋ยี่เฟยที่ยืนอยู่ทางนี้ ดังนั้นจึงใช้ช้อนชี้ไปที่หลินจื่อพร้อมกับพูดขึ้น“เดี๋ยวกลับไปค่อยคิดบัญชีกับนาย!”
เธอเก็บช้อนไป ใบหน้ายิ้มฝืนๆเล็กน้อย“ไม่ทราบว่าคุณผู้ชายต้องการทานอะไรคะ?”
หลินจื่อบอกว่าเป็นแขก เธอก็นึกว่าเป็นแขกที่มาทานอาหาร
เธอไม่บอกไม่รู้ พอเธอพูดออกมา ไป๋ยี่เฟยก็เริ่มอยากกินจริงๆซะแล้ว เมื่อวานฉีฉีก็ให้ขนมปังกับเขาหนึ่งชิ้น แล้วเขาก็ดื่มน้ำมะพร้าวไปนิดหน่อย จนถึงตอนนั้นก็ไม่ได้กินอะไรอีกเลย
“เอาหมี่ผัดซีอิ๊วดำสักถ้วยแล้วกัน!”ไป๋ยี่เฟยพูดขึ้น
พี่สาวของเขายิ้มๆ“ได้ค่า รอสักครู่นะคะ”
พูดจบ ก็เข้าไปในห้องครัว
ไป๋ยี่เฟยสังเกตเห็นรอยมากมายบนใบหน้าพี่สาวของเขา ตามจริงควรจะเป็นช่วงอายุที่สวยงามและอ่อนเยาว์ที่สุด แต่ดูๆแล้วกลับแก่กว่าความเป็นจริงไปเยอะเลย
ไป๋ยี่เฟยนั่งลงที่โต๊ะตัวหนึ่ง หลินจื่อนั่งลงตรงข้ามกับเขา“โชคดีที่มีคุณ ไม่อย่างนั้นวันนี้คงจะต้องถูกตีแหงๆเลย”
ตอนที่อยู่ระหว่างทาง ไป๋ยี่เฟยกับหลินจื่อก็ถามชื่อกันมาแล้ว
หลินจื่อชื่อว่าหยางหลิน พี่สาวของเขาชื่อหยางเฉียว
ไป๋ยี่เฟยกำลังจะพูดอะไรออกมา แต่ข้างนอกกลับมีเสียงด่าทอดังขึ้นมาก่อน
“นี่มันที่อะไรกันวะ? ทำไมถึงได้สกปรกขนาดนี้!”
“คุณชายอดทนเอาสักหน่อยนะครับ ที่นี่ก็ถือว่าเป็นร้านอาหารร้านหนึ่งนะครับ”
“จริงๆเลย คุณท่านคิดยังไงกันแน่ ถึงให้ฉันมาจัดการกับที่ที่สกปรกขนาดนี้!”
พูดจบ ผู้ชายวัยรุ่นที่สวมชุดสูทสีอ่อนก็เดินเข้ามา ด้านหลังของเขา มีชายรูปร่างกำยำอายุประมาณสี่สิบปีตามมาด้วย
ชายกำยำเข้ามาก็ตะโกนเข้าไปยังห้องครัวทันที“เถ้าแก่ล่ะ? รีบออกมาเร็วเข้า!”
หลินจื่อพอเห็นคนคนนี้รีบจูงไป๋ยี่เฟยไปนั่งที่โต๊ะที่อยู่ข้างในสุดทันที จากนั้นก็กระซิบบอกไป๋ยี่เฟยเบาๆ“ในเขตสาม คนที่ไม่สามารถไปยุแหย่ได้เลยก็คือคนคนนี้แหละ”
“หือ?”ไป๋ยี่เฟยสีหน้าไม่เข้าใจ
หยางหลินพูดขึ้นต่อ“เขตสามอยู่ในการควบคุมของตระกูลจ้าว คนคนนี้เป็นคุณชายใหญ่ของตระกูลจ้าว จ้าวเทียน”
“จ้าวเทียนคนนี้นิสัยแปลกประหลาดมาก ถ้าเขาเห็นใครขัดหูขัดตา เขาก็จะฆ่าทิ้งทันที ไม่มีใครกล้ายุ่งด้วย ดังนั้นคนที่นี่จึงกลัวเขากันหมด”
พูดพลาง หยางเฉียวก็ออกมาจากครัว พอเห็นจ้าวเทียน ก็รีบยิ้มทันที“คุณจ้าว ไม่ทราบว่าคุณจะทานอะไรเหรอคะ?”
จ้าวเทียนนั่งลงที่โต๊ะตัวหนึ่งไม่ตอบอะไร มีเพียงแค่ชายกำยำคนนั้นตะโกนออกมาแทน“เอาอาหารที่ดีที่สุดของที่นี่มาเสิร์ฟ ถ้าปรนนิบัติคุณชายของพวกเราดี คุณชายก็จะมีรางวัล แต่ถ้าปรนนิบัติดูแลไม่ดี ร้านร้านนี้ก็เตรียมพังได้เลย!”
“ได้ๆๆ แน่นอนค่ะ”หยางเฉียวพยักหน้ารัวๆ
หยางเฉียวรีบเสิร์ฟหมี่ให้กับไป๋ยี่เฟย ก่อนจะเข้าไปในครัวอีกรอบ
ไป๋ยี่เฟยมองหมี่ซีอิ๊วดำตรงหน้า แล้วค่อยดมกลิ่นหอมๆ ทำเอาความอยากอาหารเพิ่มขึ้นมาทันที ไม่สนจ้าวเทียนอะไรแล้ว หยิบตะเกียบขึ้นมา“ซู๊ดๆ”เริ่มกินทันที
นานแล้วที่ไม่ได้กิน ท่าทางการกินของไป๋ยี่เฟยก็ไม่ได้ดูดีน่าจรรโลงเท่าไรนัก บวกเข้ากับเสียงสูดหมี่ ดูสภาพแล้วเหมือนกับคนที่ไม่ได้กินข้าวมานานหลายปี
จ้าวเทียนเห็นแล้ว ก็สีหน้ารังเกียจ พูดเยาะเย้ยขึ้น“เป็นพวกคนจนน่าสมเพชจริงๆ ขนาดกินยังกิริยาหยาบคายได้ขนาดนี้ เหมือนกับอดอยากไม่เคยกินข้าวมาก่อนเลยว่ะ!”
ชายกำยำรีบพูดตอบรับ“ใช่ครับ ที่นี่ก็คือเขตสลัม มีแต่พวกคนจน ทั้งเหม็นทั้งสกปรก”
พูดจบ ชายกำยำก็พูดตะคอกใส่ไป๋ยี่เฟยทันที“เห้ย!กินหมี่ อย่ากินเสียงดังสิวะ!ได้ยินไหม?”
ไป๋ยี่เฟยขมวดคิ้ว กำลังจะหันไปพูดพอดี แต่กับถูกหยางหลินจับแขนเอาไว้ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นยิ้มอย่างขอโทษ“ขอโทษครับ ผมจะให้เขาระวังกว่านี้”
จากนั้นหยางหลินก็พูดกับไป๋ยี่เฟย“คุณต้องอดทนเอาไว้สิ!อย่าผลีผลามไปปะทะกับพวกเขาซึ่งๆหน้า ไม่อย่างนั้นครึ่งชีวิตของคุณคงไม่มีแล้วแน่ๆ”
ไป๋ยี่เฟยพยักหน้า เขาก็ไม่ใช่คนอวดดี ยิ่งไปกว่านั้นก็จะทำให้พวกเขาสองพี่น้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย
จากนั้นไป๋ยี่เฟยก็กินหมี่อย่างเงียบๆ แต่กลับพบกับปัญหาหนึ่งอย่าง
เมื่อตะกี้เขาหิวเกินไปจริงๆ ดังนั้นก็เลยกินอย่างเอร็ดอร่อย แต่ตอนนี้ พอมีอาหารตกถึงท้อง พอเขากินเข้าไปอีกคำก็พบว่ารสชาติเริ่มทะแม่งๆ
เขาเองก็เป็นคนทำอาหาร แถมฝีมือไม่เลว จึงรู้ได้เลยว่ารสชาตินี้มันไม่ไหวจริงๆ
อาหารฝีมือของหยางเฉียว คงจะทำให้จ้าวเทียนพึงพอใจไม่ได้แน่ๆ
เป็นอย่างที่คิดไว้ หลังจากที่หยางเฉียวเสิร์ฟผัดเนื้อมาหนึ่งจาน ก็กลับไปทำอาหารต่อ
จ้าวเทียนชิมไปหนึ่งคำ แล้วก็ได้ยินเขา ถุ้ย ออกมาสองที“นี่มันอะไรวะ รสชาติแย่มาก”
พูดพลาง จ้าวเทียนก็คว่ำจานลงทันที“ที่แกทำมานี่มันอะไรวะ? ทำให้หมูกินหรือไง?”