บทที่ 562
ชายกำยำเห็นแบบนี้ก็ตบโต๊ะหนึ่งที“เถ้าแก่เนี้ย โผล่หัวออกมาเดี๋ยวนี้!”
พอได้ยินเสียงตะโกน หยางเฉียวก็เดินตัวสั่นออกมาจากห้องครัว เห็นอาหารบนพื้น พูดถามขึ้นอย่างระมัดระวัง“คุณจ้าว อะไรเหรอคะ?”
“ทำไม?”ชายกำยำตบโต๊ะอีกหนึ่งที“แกทำอะไรมา? รสชาติแย่ขนาดนี้ยังกล้าเอามาให้คุณชายกินอีกเหรอ?”
จ้าวเทียนสบถหึออกมา“อาหารแนะนำของร้านพวกแกอย่างกับข้าวหมู แกยังกล้าเอาเสิร์ฟให้แขกกินอีกเหรอ?”
หยางเฉียวเหงื่อไหลออกมาไม่หยุด รีบก้มหัวขอโทษทันที“ขอโทษค่ะ ขอโทษค่ะ เดี๋ยวฉันจะกลับไปทำให้ใหม่อีกจานนะคะ”
จ้าวเทียนสองมือกอดอก พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา“ไม่รีบ ของที่แกทำมารสชาติแย่ขนาดนี้ แกไม่อยากจะลองชิมสักหน่อยเหรอ?”
“ฉัน……”หยางเฉียวอึ้งตะลึงไป
จ้าวเทียนพูดขึ้นต่อ“มาสิ กินเนื้อที่พื้นให้สะอาดซะ ชิมสิ่งที่ตัวเองทำมาสักหน่อยสิ”
หยางเฉียวหน้าซีด
หยางหลินได้ยินคำพูดนี้ ก็กำหมัดแน่น
ตั้งแต่เด็กจนโต เขาเห็นพี่สาวของเขาต้องประจบประแจงทำเรื่องน่าละอายใจมานับครั้งไม่ถ้วนเพื่อที่จะเลี้ยงดูเขา
แต่ว่า การเหยียดหยามที่ซึ่งๆหน้าแบบนี้เขาเพิ่งเคยเห็นครั้งแรก
เขาอยากที่จะพุ่งเข้าไปด่า ถึงขนาดที่อยากจะลงไม้ลงมือด้วยซ้ำ
แต่ว่า เขาทำไม่ได้
เขาไปก้าวก่ายจ้าวเทียนไม่ได้ ถ้าเกิดก้าวก่ายจ้าวเทียน เขากับพี่สาวก็จะต้องเจอความยากลำบากแน่นอน ถึงขนาดที่อาจจะถูกจ้าวเทียนฆ่าทิ้งเลยก็ได้
หยางหลินกัดฟันกรอดๆ จ้องเนื้อจานนั้นที่อยู่ที่พื้นตาเขม็ง
ความคิดของหยางหลินเหมือนกับหยางเฉียว จ้าวเทียนที่อยู่ตรงหน้านี้ไม่สามารถไปก้าวก่ายได้เลย เธอหันมาส่งสายตาให้กับหยางหลิน จากนั้นก็ค่อยๆยองตัวลง
“ฉันกิน ฉันจะกินเดี๋ยวนี้แหละค่ะ”
พูดจบ เธอก็เก็บเนื้อที่อยู่บนพื้นขึ้นมายัดเข้าไปในปาก
จ้าวเทียนกับชายกำยำเห็นแบบนี้ก็พออกพอใจอย่างมาก
จ้าวเทียนมองท่าทางที่นั่งยองลงของหยางเฉียว พร้อมกับลูบๆคางแล้วพูดขึ้น“รูปร่างไม่เลวเลย แต่หน้าตาไม่ดีเท่าไร”
ชายกำยำเห็นแบบนี้ก็พูดขึ้น“คืนนี้ปิดไฟซะ ก็มองไม่เห็นอะไรแล้วครับ จะต้องรู้สึกดีแน่ๆเลย”
“ใช่น่ะสิ”จ้าวเทียนกับชายกำยำพากันหัวเราะ
การที่พูดคำพูดแบบนี้ออกมาต่อหน้าผู้หญิง มันคือความอัปยศอดสูสุดๆ
หยางหลินสูดหายใจเข้าหนึ่งที เขาทนดูต่อไปไม่ได้แล้ว
ดังนั้นเขาจึงพุ่งเข้าไป นั่งยองลงที่พื้น“พี่ เดี๋ยวผมกินเอง!”
พูดพลาง หยางหลินก็หยิบเนื้อที่พื้นขึ้นมายัดใส่ปากตัวเอง ยัดไปจนเต็มปากเต็มคำ
ไป๋ยี่เฟยเห็นแบบนั้น แล้วก็รู้สึกว่ามันไม่ได้รสชาติอร่อยอะไรเลยแม้แต่น้อย แต่รู้สึกว่า ที่เขายัดไปขนาดนั้นก็ด้วยความโกรธและหมดหนทาง
หยางเฉียวเห็นหยางหลินก็อึ้งตะลึง ขอบตาแดงขึ้นมาทันที
ถ้าปกติหยางเฉียวก็อยากจะให้เขาแย่งเธอกินอยู่หรอก แต่ตอนนี้ เธอไม่อยาก
“วางไว้ เดี๋ยวฉันกินเอง”
จ้าวเทียนและชายกำยำก็อึ้งไปเช่นเดียวกัน จากนั้นก็รู้สึกว่าน่าสนใจขึ้นมา
“โอ้ คุณผู้ชายดูสิครับ นี่มันเหมือนกับหมาสองตัวกำลังแย่งกันกินข้าวเลยใช่ไหม?”
“เหมือนมาก!”จ้าวเทียนพยักหน้า
พวกเขาพูดพลางหัวเราะกันสนุกสนาน มีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น
ไป๋ยี่เฟยทนดูต่อไปไม่ได้แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น เขากินบะหมี่ไปแล้ว ไม่มีเงินจ่ายให้พวกเขาด้วย
ดังนั้นไป๋ยี่เฟยจึงเปิดปากพูดขึ้น“คุณจ้าวสินะ?”
“แกเป็นใครวะ?”ชายกำยำจ้องไป๋ยี่เฟย เหมือนกับกำลังมองขยะ
ไป๋ยี่เฟยเดินมาหยุดอยู่ข้างหน้าของพวกเขาสองพี่น้องด้วยสีหน้านิ่งไร้ซึ่งอารมณ์ ก่อนจะพูดขึ้น“คุณจ้าว คุณก็แค่อยากกินข้าวมื้อเดียวเท่านั้น ไม่เห็นต้องทำกับเถ้าแก่เนี้ยแบบนี้เลยใช่ไหมล่ะ?”
จ้าวเทียนมองไป๋ยี่เฟยด้วยความสนใจอย่างมาก“แล้วไง?”
ไป๋ยี่เฟยพูดขึ้นอย่างนิ่งๆ“ผมสามารถทำอาหารที่จะทำให้คุณจ้าวพอใจได้”
จ้าวเทียนพอได้ยินแบบนั้นแววตาก็เปล่งประกายขึ้นมา ยิ่งรู้สึกสนใจขึ้นไปอีก“อ้อ? ถ้าอย่างนั้นก็ได้!รีบไปทำสิ!”
“ผมต้องการลูกมือสองคน”ไป๋ยี่เฟยพูดขึ้นต่อ
จ้าวเทียนโบกๆมืออย่างไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย“ไปๆๆ อย่ามัวแต่อืดอาดยืดยาด”
ได้กินอาหารที่รสชาติอร่อย จ้าวเทียนก็ขี้เกียจที่จะมาถือสาพี่น้องสองคนนี้แล้ว
ไป๋ยี่เฟยรีบจูงสองพี่น้องหยางเฉียวไปที่ห้องครัวทันที
พอเข้าไป หยางเฉียวก็นั่งลงบนเก้าอี้ด้วยสีหน้าซีดขาว“จบแล้ว……หมดกัน……”
“พี่ จ้าวเทียนจะต้องไม่ปล่อยพวกเราไปแน่ๆ” หยางหลินก็กระวนกระวายเหมือนกัน สุดท้ายก็กัดฟัน“พี่ หรือว่า……พวกเราจะหนีไปดีไหม? จ้าวเทียนกินอาหารในภัตตาคารมามากมายขนาดนั้น ต้องจู้จี้จุกจิกเรื่องการกินแน่นอน อาหารที่คุณทำไม่มีทางสนองความต้องการของเขาได้หรอก”
หยางเฉียวได้ยินแบบนั้น ก็พยักหน้าทันที“ใช่ รีบหนีเถอะ!หลินจื่อนายรีบหนีไป หนีออกไปทางประตูหลังของห้องครัว เดี๋ยวฉันจะไปถ่วงพวกมันเอาไว้เอง”
หยางหลินไม่ทำ“พี่ ต้องหนีไปด้วยกัน!”
“หลินจื่อ!”หยางเฉียวกระวนกระวายแล้ว“นายฟังฉันสิ!นายเป็นผู้ชายเพียงคนเดียวของตระกูลหยางนะ นายหนีออกกไปซะ อย่า……”
พูดพลาง ข้างๆก็มีเสียง“ฉู่”ดังขึ้น หันไปมองอีกที ไป๋ยี่เฟยกำลังผัดอาหารอยู่
สองพี่น้องมองไป๋ยี่เฟยอย่างอึ้งตะลึง
ไป๋ยี่เฟยผัดน้ำมันพริกด้วยท่าทางชำนาญ แล้วหยิบขิงมาหนึ่งชิ้น“ฉับๆ”ฝานขิงเป็นเส้นๆ แล้วจับใส่ลงไปในกระทะ
หยางหลินมองท่าทางที่ชำนาญของเขา ก็รู้สึกตกใจทันที ก่อนจะวิ่งเข้าไปดูเขา“ไป๋ยี่เฟย คุณทำอาหารเป็น?”
หยางเฉียวมองดูเขาพร้อมกับพูดขึ้นอย่างหมดหนทาง“นี่คุณคะ ถอดใจซะเถอะ จ้าวเทียนกินอาหารจากภัตตาคารมามากมาย ประชาชนคนธรรมดาแบบพวกเราไม่มีทางทำอาหารแบบนั้นได้หรอก”
“อีกอย่าง จ้าวเทียนจงใจหาเรื่องกันเห็นๆ ไม่ว่าคุณจะทำอร่อยหรือไม่อร่อย เขาก็จะบอกว่าไม่อร่อยอยู่ดี นอกจากว่าจะทำได้ถึงระดับภัตตาคารจริงๆ……”
แต่นั่นไม่มีทางแน่นอน
ไป๋ยี่เฟยกลับไม่รู้สึกกังวล พูดขึ้นอย่างยิ้มๆ“แล้วถ้าอาหารที่ฉันทำมันอร่อยกว่าอาหารที่เขาเคยกินมาล่ะ?”
“เอ่อ……”หยางเฉียวกับหยางหลินมองตากัน เห็นได้ชัดว่าไม่ค่อยเชื่อเท่าไร
หยางเฉียวถอนหายใจส่ายหัว“ช่างมันเถอะ พวกเชฟของภัตตาคารเหล่านั้น มีประสบการณ์มาตั้งสิบกว่าปี คุณยังเด็กขนาดนี้ จะเทียบกับพวกเชฟเหล่านั้นได้ยังไง?”
ไป๋ยี่เฟยไม่เห็นด้วย“ของบางสิ่ง ก็ไม่ได้ใช้ระยะเวลามาวัดหรอกนะ”
“เพราะว่า มีสิ่งที่เรียกว่า พรสวรรค์อยู่ยังไงล่ะ”
พูดจบ ไป๋ยี่เฟยก็ใส่เส้นเนื้อลงไปในกระทะ เสียงดัง“ฉู่”จากนั้นก็ใช่ตะหลิวผัดไปมา สุดท้ายก็ค่อยใช้ช้อนตักพวกเครื่องปรุงใส่ลงไป แล้วค่อยใส่พวกผักลงไปต่อ แล้วก็ผัดต่อ
หยางหลินกับหยางเฉียวมองอย่างอึ้งตะลึง
ไป๋ยี่เฟยยังจำตอนที่สวีลั่งกับไป๋หู่ประลองฝีมือกันในตอนแรกได้อยู่ สวีลั่งแพ้ให้กับไป๋หู่
ทั้งที่สวีลั่งฝึกฝนมาเป็นเวลาสิบกว่าปี แต่ไป๋หู่ฝึกฝนมาเพียงแค่ห้าหกปีเท่านั้น
ในตอนนั้นไป๋หู่ก็พูดแบบนี้“มีบางสิ่ง ที่เรียกว่าพรสวรรค์อยู่”
คำว่า พรสวรรค์ ไม่สามารถใช้เวลามาเป็นตัวชี้วัดความเก่งหรือไม่เก่งได้
สุดท้าย ไป๋ยี่เฟยก็โรยผงยี่หร่าลงไปนิดหน่อย ความหอมของผงยี่หร่าเจอเข้ากับน้ำมัน แล้วทำให้เกิดกลิ่นหอมที่แสนเย้ายวน
หยางหลินกับหยางเฉียวพอได้กลิ่นหอมนี้ สองตาก็เปิดกว้าง
ในเวลานี้เอง ชายกำยำก็เข้ามาในห้องครัวพอดี“ทำไมถึงยังไม่เสร็จอีก? คุณชายแทบจะรอไม่ไหวแล้ว พวกแก……”
พูดมาได้ครึ่งหนึ่ง กลิ่นหอมที่เข้ามาเตะที่จมูกก็ทำให้ชายกำยำนั้นหุบปากไปทันที
ไป๋ยี่เฟยก็กระดกกระทะ เนื้อผัดยี่หร่าที่สดใหม่กระเด็นขึ้นมาจากกระทะ
ชายกำยำรีบจากออกไปทันที
ไป๋ยี่เฟยจึงพูดกับหยางเฉียว“ต้องขอโทษจริงๆ ที่ตัวฉันไม่มีเงินเลย อาหารนี้ก็ถือซะว่าเป็นเงินค่าอาหารของฉันแล้วกันนะ!”
หยางเฉียวยิ้มๆ มาบอกตอนนี้ยังเร็วเกินไป
หยางหลินเห็นว่าหยางเฉียวรู้สึกกดดันอยู่ไม่สุข เขาก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน จึงพูดออกไป“หวังว่านะ……”
ไป๋ยี่เฟยกลับมีสีหน้านิ่งเฉย
แม้ว่าเหมืองของหลันเต่าจะมีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ แต่แหล่งทรัพยากรด้านอาหารการกินเหล่านี้กลับสู้ข้างนอกไม่ได้เลย ดังนั้นเขาจึงรู้สึกมั่นใจ ว่าจะต้องดีกว่าพวกเชฟของภัตตาคารบนเกาะทำอย่างแน่นอน
เป็นอย่างที่คิดไว้ ชายกำยำเดินเข้ามาด้วยท่าทีที่ดูยโสโอหังน้อยลงกว่าเมื่อตะกี้นี้“คุณชายของพวกเราบอกว่าอาหารไม่เลวเลย ให้แกทำอาหารอย่างอื่นมาอีกหนึ่งจาน”