บทที่583
ตอนแรกไป๋ยี่เฟยรู้แค่ว่าเป็นพลังงานแสงอาทิตย์เท่านั้น แต่ก็ยังหาทางออกไม่เจอเลยสักทาง ดังนั้นแหล่งกำเนิดไฟต้องไม่ได้อยู่ในถ้ำนี้แน่นอน
แต่การที่ไฟพวกนี้จะสว่างได้ ก็จำเป็นต้องใช้สายไฟอยู่แล้ว
ดังนั้น ถ้าตามสายไฟพวกนี้ไปเรื่อยๆ จะต้องไปโผล่ที่ทางออกอีกทางได้แน่นอน
ด้วยเหตุนี้ ไป๋ยี่เฟยจึงได้งัดสายไฟพวกนี้ไปตลอดทาง จนมาถึงทางออกอีกทางได้สำเร็จ
แต่ว่าทางออกอันนี้มันค่อนข้างเล็ก จำเป็นต้องคลานเอาถึงจะสามารถผ่านไปได้ แต่มันก็ยังสามารถผ่านเข้าออกได้อยู่ดี
ไป๋ยี่เฟยหันไปถามฉีฉี “ไหวมั้ย?”
ฉีฉีพยักหน้า “ไหวอยู่”
จากนั้นทั้งคู่ก็คลานตามกันเข้าไปในรู
พอคลานมาได้สักพัก พวกเขาก็เจอกับทางแยก รูหนึ่งขึ้นบน อีกรูลงล่าง
ไป๋ยี่เฟยหยึดคลาน แล้วหันไปมองฉีฉี และได้เห็นว่าสีหน้าของเธอตอนนี้ซีดจนน่าตกใจ ร่างกายก็กำลังสั่นเทา
ระหว่างทางที่มา ฉีฉีได้เสียเลือดไปมาก ไข้ขึ้นสูงไปอีกสองรอบ ข้าวก็ยังไม่ได้กิน ร่างกายจึงอ่อนแอลงอย่างมาก
ว่าแล้วไป๋ยี่เฟยก็พูดขึ้น “เราพักกันก่อนเถอะ”
แต่ฉีฉีกลับส่ายหน้า แล้วพูดว่า “ไม่เป็นไร ฉันยังไหว”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น ไป๋ยี่เฟยก็ไม่พูดอะไร แล้วถามไปว่า “สองทางนี้ จะขึ้นหรือจะลง?”
“ขึ้น”
ไป๋ยี่เฟยหันไปแล้วปีนขึ้นข้างบน เขาอดไม่ได้ที่จะหันไปมองทางแยกอีกทางที่ต้องลงไป มันลึกและมืดมาก เหมือนกับทางเข้าที่พวกเขาเข้ามาตอนแรก
ไม่รู้ว่าลงไปแล้วจะเป็นยังไง?
แต่ไป๋ยี่เฟยมองแค่แวบเดียว แล้วไม่คิดถึงมันอีก ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาสงสัยเรื่องอะไรแบบนี้ ชีวิตเท่านั้นที่สำคัญสุด
ไม่รู้ว่าคลานกันไปนานเท่าไหร่ ในที่สุดพวกเขาก็มองเห็นแสงสว่างแล้ว
ไป๋ยี่เฟยหยุดแล้วหันไปมองฉีฉีที่อยู่ด้านหลัง ตอนนี้เธอกำลังตัวสั่นอย่างหนัก
แล้วไป๋ยี่เฟยก็พูดกับเธอว่า “พักก่อนเถอะ”
ครั้งนี้ฉีฉีไม่ได้ตอบอะไร เธอแค่พลิกตัวนอนหงายแล้วพักหายใจอย่างหนักหน่วง
ไป๋ยี่เฟยก็คลานลงมาพักผ่อนเหมือนกัน เขาหันมาถามฉีฉีว่า “หลังจากออกไปได้แล้ว สิ่งที่เธออยากทำที่สุดคืออะไร?”
“ฆ่านายทิ้งซะ” ฉีฉีตอบมาแบบไม่ต้องคิด
พอไป๋ยี่เฟยได้ยินอย่างนั้น เข้าก็ยิ้มเยาะเย้ยออกมา “ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ตอนนี้ฉันก็สามารถลงมือฆ่าเธอก่อนได้เลยนะ”
ฉีฉีทำเสียงฮึดฮัด “พูดอย่างกับว่าพอออกไปแล้วนายจะไม่ลงมือกับฉันอย่างนั้นแหละ”
ไป๋ยี่เฟยอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหน้าแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ
นี่คือปัญหาหลังจากที่พวกเขาออกไปได้แล้ว
เขากับฉีฉีไม่ได้ไว้ใจซึ่งกันและกัน
ที่นี่มีทองกองเท่าภูเขาซ่อนอยู่ ทองเยอะขนาดนี้ ถึงจะบอกว่าไม่อยากฮุบมันมาเป็นของตัวเองก็เถอะ แต่ยังไงมันก็ต้องมีความรู้สึกบ้างแหละ อย่างน้อยก็ไม่อยากให้คนอื่นรู้ถึงการมีอยู่ของที่แห่งนี้
แต่การที่จะให้ไป๋ยี่เฟยไปฆ่าเด็กสาวที่อายุแค่สิบเก้าเท่านั้น ไป๋ยี่เฟยก็ทำไม่ลงอยู่ดี
นี่แหละคือจุดอ่อนที่เขามีมาโดยตลอด เขาใจอ่อนเกินไป
สุดท้าย ไป๋ยี่เฟยก็พูดไปว่า “ออกไปก่อนค่อยว่ากัน!”
ออกไปให้ได้ก่อนถึงจะบ่งบอกได้ว่ารอดแล้ว ส่วนเรื่องต่อจากนั้น ออกไปให้ได้ก่อนค่อยว่ากันอีกที!
พอพักหายใจได้สักพัก ไป๋ยี่เฟยก็เดินหน้าต่อ
โดยมีฉีฉีตามอยู่ข้างหลัง เมื่อมองเห็นแสง ก็เท่ากับเห็นทางรอด กัดฟันอดทนเดินหน้าต่อไป
ไม่นาน พวกเขาก็คลานมาจนถึงจุดที่แสงส่องมาถึง
ที่นี่เป็นใต้ถ้ำทรงกลมที่กว้างประมาณยี่สิบตารางเมตร ที่ตรงนี้พวกเขาสามารถยืนตัวตรงได้แล้ว
ณ เวลานี้ ตอนที่ทั้งสองที่ยืนยืดตัวขึ้นนั้น พวกเขาก็ตัวอึ้งอยู่กับที่พวกเขามองเห็นถ้ำทรงกลมที่ขนาดยี่สิบตารางเมตรนี้ได้มีรูสิบรูที่เหมือนกับรูที่พวกเขาเพิ่งคลานออกมา ราวกับเป็นใยแมงมุมที่วนอยู่รอบด้าน
นี่มันหมายความว่ายังไง?
หมายความว่ารูพวกนี้เชื่อมต่อไปยังถ้ำขนาดใหญ่แบบที่พวกเขาเพิ่งออกมาเมื่อกี้ แล้วก็มีทองคำนับไม่ถ้วนกองอยู่ในนั้น
ดังนั้น แบบนี้มันยังน่าตกใจไม่พออีกเหรอ?
ทั้งคู่หันมาจ้องตากัน ต่างก็ตกใจกับสิ่งที่เห็นมาก
ด้านบนของพวกเขาก็เป็นท้องฟ้ากับก้อนเมฆ พวกเขาอดไม่ได้ที่จะคิดว่า :การที่ถ้ำพวกนี้มาอยู่ในที่แห่งนี้ มันจะไม่มีคนรู้จริงๆ นะเหรอ?
พวกเขาอยู่ห่างจากปากถ้ำประมาณสิบเมตร มันสูงมาก แต่โชคยังดีที่ถ้ำแห่งนี้เป็นทรงกลม
แล้วความห่างระหว่างผนังถ้ำทั้งสองฝั่งไม่ได้ไกลกันมาก ไป๋ยี่เฟยสามารถใช้ขายันผนังทั้งสองข้างแล้วค่อยๆ ปีนขึ้นไปได้
แต่ฉีฉีนี่สิจะทำยังไง?
เธอในตอนนี้กำลังอ่อนแอมาก ตัวก็เล็ก วิธีนี้มันใช้กับเธอไม่ได้
ไป๋ยี่เฟยคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะพูดออกมาว่า “ฉันขึ้นไปก่อน แล้วค่อยหาวิธีดึงเธอขึ้นไป”
ฉีฉีพยักหน้า ก็คงต้องเป็นอย่างนั้นแหละ
ไป๋ยี่เฟยจึงหันหลังไป แล้วค่อยๆ ปีนป่ายตามผนังถ้ำขึ้นไป
พอไป๋ยี่เฟยปีนขึ้นไปได้สักพัก จู่ๆ เขาก็ต้องรู้สึกตกใจ
เพราะเขาพบว่า ถ้าด้านล่างนั้นทำจากหิน แต่ส่วนบนของถ้ำนั้นกลับทำจากไม้!
เขาไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ แต่ทันทีที่เขาปีนออกจากถ้ำไป เขาก็เข้าใจขึ้นมาทันที
ถึงว่าล่ะ ทั้งๆ ที่ทางเข้าออกจะโจ่งแจ้งขนาดนี้ แต่กลับไม่มีใครสังเกตเห็นมัน
ก็แม่งมันเป็นต้นไม้ต้นใหญ่นี้นะ!
ตอนนี้เขาอยู่บนยอดไม้ เมื่อมองลงไปจากตรงนี้ ก็จะเห็นว่าต้นไม้ต้นนี้มันใหญ่มาก อย่างน้อยก็น่าจะเจ็ดแปดคนโอบละมั้ง
ส่วนบนกิ่งและลำต้นต่างก็เชื่อมอยู่ไปยังปากถ้ำ แล้วทางเหนือของปากถ้ำก็เชื่อมไปยังแผงโซลาร์เซลล์
และแผงโซลาร์เซลล์พวกนั้นก็ถูกกิ่งไม้กับลำต้นพวกนั้นบดบังไว้อย่างมิดชิด
ไป๋ยี่เฟยรู้สึกอึ้งมาก การดำเนินการนี้ แม่งยิ่งใหญ่จริงๆ!
เมื่อมองลงไปอีกรอบ ไป๋ยี่เฟยก็ลองกะดูแบบคร่าวๆ ยอดสุดของต้นไม้น่าจะอยู่สูงจากพื้นประมาณหกเมตร สูงเท่าตึกสองชั้น
แล้วก็มีคำถามหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวของไป๋ยี่เฟย
แผงโซลาร์เซลล์เยอะขนาดนั้น เอาไว้แค่ผลิตไฟให้กับโคมไฟในถ้ำเอวนะเหรอ?
ไม่หรอกมั้ง?
หรือว่า……
จู่ๆ ไป๋ยี่เฟยก็นึกถึงรูที่เชื่อมลงข้างล่างรูนั้น และพลังงานแสงอาทิตย์พวกนี้ก็อาจจะถูกส่งไปให้ของที่อยู่ข้างล่างนั่นก็เป็นได้
ในตอนนี้ ความรู้สึกอยากรู้อยากเห็นที่ไม่เคยมีมาก่อนก็ได้เกิดขึ้นกับไป๋ยี่เฟย
แต่ความคิดนี้ก็แล่นผ่านมาแค่แวบเดียว เพราะตอนนี้เขาหิวมาก หิวจนท้องร้อง
“โครกคราก……”
ด้วยความจนใจ ไป๋ยี่เฟยจึงปีนตามกิ่งไม้ลงไป ที่นี่อยู่ในป่าลึก มีแต่งต้นไม้ขนาดใหญ่ มันจึงเป็นเรื่องง่ายมากที่จะหาเถาวัลย์ที่แข็งแรงได้สักเส้น
จากนั้นไป๋ยี่เฟยก็นำเถาวัลย์เส้นนั้นปีนขึ้นไปบนยอดไม้อีกครั้ง แล้วโยนมันลงไป ฉีฉีใช้เถาวัลย์พันไว้รอบตัว และถูกไป๋ยี่เฟยช่วยดึงขึ้นมาจากทางผนังถ้ำ
ในที่สุด ฉีฉีก็ขึ้นมาถึง เมื่อได้เห็นท้องฟ้าสีคราม และสูดอากาศที่บริสุทธิ์อีกครั้ง มันก็ทำให้ฉีฉีสดชื่นขึ้นมาเยอะเลย
ตอนนี้เถาวัลย์ยังพันอยู่รอบเอวของฉีฉี กว่าจะปีนขึ้นมาได้ ฉีฉีก็ใช้แรงไปเยอะน่าดู เธอกำลังหายใจหอบ “ช่วยแกะมันออกที ฉันไม่มีแรงแล้ว”
ไป๋ยี่เฟยเดินเข้าไปโดยไม่ต้องคิด โน้มตัวลงไปเพื่อช่วยฉีฉีแกะเถวัลย์ออก
ทันใดนั้น ฉีฉีก็ล้วงมือเข้าไปในเสื้อตัวใหญ่ของเธอ แล้วหยิบแผ่นไม้อันแหลมคมที่เธอแอบซ่อนเอาไว้ก่อนหน้านี้ออกมา จากนั้นก็แทงไปที่คอของไป๋ยี่เฟย
“ซิ่ว!”
“ฉึก”
เนื่องจากฉีฉีกำลังบาดเจ็บอยู่ มันจึงทำให้ความเร็วของเธอช้าลงไปมาก มันจึงส่งผลให้ต้องที่ฉีฉีลงมือไป๋ยี่เฟยสามารถไหวตัวได้ทัน แต่เขาก็ยังถูกฉีฉีแทงเข้าไปที่ไหล่อยู่ดี แผ่นไม้ฝังเข้าไปในเลือดเนื้อ
ไป๋ยี่เฟยรีบคว้าแผ่นไม้เอาไว้ เพื่อไม่ให้เธอแทงเข้าไปลึกกว่านี้
เลือดสดๆ ไหลตามหลังและแผ่นไม้ลงมา
ฉีฉีมองไป๋ยี่เฟยด้วยสายตาที่เหี้ยมโหด “อาจารย์อาเคยบอกไว้ว่าจะให้นายตายไม่ได้ แต่เรื่องนี้มันใหญ่เกินไป ฉันคิดว่า ท่านน่าจะเข้าใจได้”
พอได้ยินอย่างนั้นไป๋ยี่เฟยก็ทนความเจ็บเอาไว้ แล้วถีบ ฉีฉีกระเด็นไป “ยัยเด็กอกตัญญู!”