บทที่ 613
โยนฉีฉีลงทะเล ปัญหาทุกอย่างก็ไม่ใช่ปัญหา
และเรื่องนี้ก็ไม่มีคนรู้แล้ว
ไป๋ยี่เฟยสูดหายใจเข้า หลับตา แล้วลืมตาอีกครั้ง ค่อยๆพูดว่า “บางทีฉันอาจคิดมากไปก็ได้”
“แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องอะไร ยังไงก็ดีกว่าทำให้ไม่สบายใจ”
“ไม่ว่ายังไงสวีลั่งก็เป็นเพื่อนของพวกเรา”
พูดจบ จางหัวปินไม่รู้สึกแปลกใจ ตาก็สว่างสดใสขึ้น “ฉันรู้ นายทำไม่ลงหรอก”
“เชื่อว่าหลายคนถ้าเจอเรื่องแบบนี้แล้ว โดยเฉพาะพวกมีอิทธิพล อาจจะเลือกวิธีที่ง่ายที่สุด แต่นายไม่เหมือนกัน แต่นี่ก็แปลว่า ฉันมองคนไม่ผิด”
ไป๋ยี่เฟยหัวเราะแล้วพูดว่า “ก็แปลว่าฉันไม่ใช่ผู้มีอิทธิพล”
ไป๋ยี่เฟยดื่มชาคำสุดท้าย ลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้องพัก
จางหัวปินมองตามหลังของไป๋ยี่เฟย หัวเราะพูดว่า “ใช่ ชาตินี้นายเป็นผู้มีอิทธิพลไม่ได้หรอก”
“แต่ว่า นายจะเป็นผู้มีอำนาจคนหนึ่ง”
……
เรือมาถึงหลันเต่า พวกเขาเทียบจอดทางฝั่งที่ยังไม่ได้พัฒนา
จางหัวปินอยู่เฝ้าบนเรือ ไป๋ยี่เฟยกับเฉินห้าว พาฉีฉีลงจากเรือ
ไป๋ยี่เฟยกับฉีฉียังคงใช้เชือดผูกไว้ เฉินห้าวแบกกระเป๋าใบใหญ่เดินตามหลังพวกเขา
ไป๋ยี่เฟยมองเห็นเรือสำราญที่ติดเกยตื้นอยู่อีกฝั่ง ชี้แล้วพูดว่า “ดูนั่น เรือของคุณยังอยู่”
ฉีฉีได้ยินแล้วก็จ้องไป๋ยี่เฟย ทำให้เธอคิดถึงตอนนั้นที่ตัวเองแข็งแกร่งขนาดไหน แต่ตอนนี้ คนที่แข็งแกร่งคือไป๋ยี่เฟย สถานะของไป๋ยี่เฟยกับเธอสลับกันแล้ว
ไป๋ยี่เฟยตามเส้นทางในความจำของเขา ไม่นานก็มาถึงตรงหน้าต้นไม้เก่าแก่เหล่านั้น
มองดูต้นไม้สูงหกเจ็ดเมตรเหล่านั้น ไป๋ยี่เฟยพูดว่า “ไม่กี่วันก่อน เกือบตายอยู่ตรงนี้แล้ว”
ฉีฉีหัวเราะเย็นชา “ใช่ น่าเสียดาย”
ไป๋ยี่เฟยไม่สนใจคำพูดของฉีฉี แต่กลับพูดว่า “ผมรู้แล้ว ว่าทำไมสหพันธ์ธุรกิจถึงเลือกถมดินสร้างเกาะ”
“เพราะอะไร?” ฉีฉีมองไป๋ยี่เฟยถาม
ไป๋ยี่เฟยไม่ได้อธิบาย แต่ส่งสายตาให้กับเฉินห้าว
เฉินห้าวพยักหน้า หยิบบันไดออกมาจากกระเป๋า โยนไปที่กิ่งไม้
ทั้งสามคนเดินขึ้นไปจากบันได
เมื่อเฉินห้าวบินขึ้นไปแล้ว เห็นภาพที่อยู่ตรงหน้า รู้สึกตะลึงมาก
“โอ้พระเจ้า นี่มันอย่างกับถ่ายหนัง สุดยอด”
เฉินห้าวหยิบบันไดขึ้นมา วางเข้าไปในช่อง ทั้งสามคนก็เดินเข้าไปตามบันได
พวกเขาบินเข้าไปตามช่องแคบ ทางเข้าตามที่จำได้ยาวมาก แต่ครั้งนี้รู้สึกสั้นมาก อาจเป็นเพราะว่าร่างกายไม่ได้บาดเจ็บ
พวกเขาเดินไปประมาณสิบกว่านาที
บินเข้าไปในห้องโถงใหญ่ประมาณสองพันกว่าตารางเมตร ทั้งสามคนรู้สึกตะลึง
ไป๋ยี่เฟยกับฉีฉีเคยเห็นแล้ว แต่ได้มาเห็นอีกครั้ง ยังคงรู้สึกตะลึง
เฉินห้าวก็ยิ่งตะลึง เพราะเพิ่งเห็นเป็นครั้งแรก
“สติกลับมา รีบเก็บ”
ไป๋ยี่เฟยเรียกไปคำหนึ่ง เฉินห้าวก็รีบเรียกสติกลับมา เปิดกระเป๋า ด้านในเป็นกระเป๋าอีกสองใบ ยื่นให้กับไป๋ยี่เฟยกับฉีฉี
ฉีฉีรับกระเป๋ามาอย่างไม่เต็มใจ
สักพัก กระเป๋าทั้งสามใบก็ถูกใส่จนเต็ม แต่ละคนก็ใส่ประมาณห้าสิบกิโล
ต้องแบกกระเป๋าน้ำหนักห้าสิบกิโลบนตัว มันลำบากน่าดู
ดังนั้นไป๋ยี่เฟยพูดว่า “พวกเธอพักผ่อนตรงนี้ก่อน รอฉันกลับมา จากนั้นพวกเราก็กลับไป”
เฉินห้าวไม่เข้าใจ “พี่ พี่จะไปไหน?”
ไป๋ยี่เฟยหัวเราะพูดว่า “ยังมีอีกถ้ำหนึ่ง ก่อนหน้านี้ทำไม่ได้ ตอนนี้ฉันอยากไปดูหน่อย”
ไป๋ยี่เฟยไม่ได้ปิดปังพวกเขา เพราะว่าถ้ำนั้นก่อนหน้านี้ฉีฉีก็เคยเห็นแล้ว ส่วนเฉินห้าว ภูเขาทองคำนี้เขาก็เห็นแล้ว ยิ่งไม่มีอะไรต้องปิดปังแล้ว
ไป๋ยี่เฟยแกะเชือกบนตัวเขาออก ผูกไว้บนตัวเฉินห้าว
ฉีฉีไม่มีแรง มีเฉินห้าวคอยเฝ้าไว้ก็พอ
เสร็จแล้ว ไป๋ยี่เฟยก็บินเข้าไปตามช่องของถ้ำ
ไป๋ยี่เฟยจากไปแล้ว ภายในถ้ำก็เงียบลง ทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไรเลย
ผ่านไปสักพัก ฉีฉีเอียงหัวไปมองเฉินห้าว “เฮ้”
“อะไร?” เฉินห้าวก็รีบหันไปมองเธอ
ฉีฉีมองไปที่เฉินห้าว สุดท้ายก็ส่ายหน้า “ช่างเถอะ”
เฉินห้าวเห็นแล้วก็ขมวดคิ้ว แต่ฉีฉีก็อ้ำอึ้งไม่พูด เขารู้สึกแปลกใจ แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรมาก ภายในถ้ำเงียบลงอีกครั้ง
แต่ว่า ผ่านไปครู่เดียว ฉีฉีก็อดไม่ได้ หัวเราะขึ้นมากะทันหัน “เหอะ……”
เฉินห้าวอดถามไม่ได้ “หัวเราะอะไร?”
ฉีฉีกลับถอนหายใจ “เห้อ คนเรา ต้องดูชะตาชีวิตจริงๆ”
“หมายความว่ายังไง?” เฉินห้าวขมวดคิ้วอีกครั้ง รู้สึกว่าคำพูดของฉีฉีมีอะไรซ่อนอยู่
ฉีฉีกลับส่ายหัว พูดว่า “ไม่ได้หมายความว่าไง”
“ความจริง ฉันอยากบอกว่า ไป๋ยี่เฟยไม่ได้รักเงิน แต่ชะตาชีวิตเขาต้องมีคนร่ำรวย แต่สำหรับคุณแล้ว ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน หาเงินทั้งชีวิต ก็ยังคงต้องลำบากอยู่ดี”
“แล้วยังไง?” เฉินห้าวมองฉีฉี
ฉีฉีหัวเราะเย็นชา “เพราะฉะนั้น เห็นทองคำพวกนี้ ทำไมคุณไม่หวั่นไหว?”
เฉินห้าวกลับพูดว่า “ขอให้เป็นคนเห็นแล้วก็ต้องหวั่นไหว”
ฉีฉีพยักหน้า “ตอนนี้ไป๋ยี่เฟยรวยแล้วใช่ไหม? คุณดูเขายังหวั่นไหวเลย คุณก็ควรหวั่นไหว แต่น่าเสียดาย…..”
“เสียดายอะไร?”
“เสียดายกล้าแค่คิด ไม่กล้าทำ” ฉีฉีทำเสียงดูถูก
เฉินห้าวได้ยินแล้วก็สีหน้าหดหู่ลง “เธอหมายความว่ายังไง? อยากพูดอะไร?”
ฉีฉีเปลี่ยนท่านั่ง ตั้งใจพูด “ตอนที่พวกเราลงมา คุณเห็นถ้ำนั่นไหม?”
เฉินห้าวพยักหน้า
ฉีฉีพูดต่อ “ไป๋ยี่เฟยไปถ้ำนั่นแหละ ถ้ำนั้นลึกลงไปอีก คุณว่า ถ้ามันถล่มลงมา เขาคงออกมาไม่ได้?”
เฉินห้าวคิดไปครู่หนึ่ง หน้าก็จริงจังขึ้น “ก็ถูก”
ฉีฉีเห็นแล้วก็รีบพูดต่อ “ฉันว่า คุณต้องมีวิธีทำให้ถ้ำนั่นถล่มลงมาแน่ ขอแค่ไป๋ยี่เฟยถูกฝังตายอยู่ในนั้น คุณค่อยยืมมือถือให้ฉันใช้หน่อย ฉันก็สามารถทำให้จางหัวปินหายไปได้”
“แบบนี้ ทองคำพวกนี้ก็เป็นของพวกเราแล้ว”
“ถึงเวลา พวกเราก็หารครึ่ง คุณว่ายังไง?”
เฉินห้าวได้ยินแล้ว ก็รู้สึกตกใจ
กองภูเขาทองคำ ขอแค่ครึ่งหนึ่ง ก็พอเขาใช้ครึ่งค่อนชีวิตแล้ว
ถ้าได้ออกไปแล้ว อย่าบอกแค่เมืองเทียนเป่ยเลย ถึงแม้ว่าไปเมืองหลวง ก็สามารถเทียบเท่ากับสี่ตระกูลใหญ่ได้แล้ว
แรงดึงดูดพวกนี้ ขอให้เป็นคนก็ต้องหวั่นไหวอยู่แล้ว
เฉินห้าวหัวเราะทันที
ฉีฉีเห็นก็หัวเราะตาม จากนั้นก็ลุกขึ้น เร่งให้เฉินห้าวรีบลงมือ “แบบนี้ ก็รีบลงมือเลย ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวไป๋ยี่เฟยกลับมา”
เฉินห้าวก็ลุกขึ้นตาม แต่เขาไม่ได้ไปที่ปากถ้ำ แต่เดินไปข้างหน้าฉีฉี
“เพี๊ยะ”
ตบไปที่หน้าของฉีฉี
วินาทีนี้ เหมือนอากาศแข็งตัว
ฉีฉีจับหน้าตัวเองอย่างไม่น่าเชื่อ จ้องหน้าเฉินห้าว
เฉินห้าวเห็นแล้วก็หัวเราะ “เธอไม่เข้าใจความสัมพันธ์ของฉันกับพี่ชายแม้แต่น้อย พวกเราความสัมพันธ์ลึกซึ้งผ่านเป็นผ่านตายมาด้วยกัน อย่าว่ากองทองคำพวกนี้เลย ขอให้เธอใช้ความร่ำรวยทั้งโลก ให้ฉันไปดูพี่ชายฉัน ก็เป็นไปไม่ได้”