บทที่ 614
ถ้าเฉินห้าวไม่ได้เจอกับไป๋ยี่เฟย ตอนนี้เขายังเป็นแค่ขโมยคนหนึ่ง ขโมยที่ใครเห็นก็ตี
และอาการป่วยของแม่เขาก็ไม่มีวันดีขึ้น และคงจากไปตั้งนานแล้ว
ไป๋ยี่เฟยพาแค่เขากับจางหัวปินมาที่เกาะ แต่ไม่ใช่ไป๋หู่สวีลั่งกับเฉินอ้าวเจียว นั่นหมายความว่า ไป๋ยี่เฟยเชื่อใจพวกเขา และเชื่อใจพวกเขาที่สุด
ไม่เพียงแค่เฉินห้าว จางหัวปินก็แบบนี้ ถ้าไม่มีไป๋ยี่เฟย ดวงตาของภรรยาจางหัวปินก็คงกลับมามองเห็นไม่ได้ อีกอย่าง พวกเขาคงหย่าแยกทางกันแล้ว
เพราะฉะนั้น บางครั้งความสัมพันธ์ชนะทุกสิ่ง รวมทั้งเงินทอง
ฉีฉีไม่เคยผ่านเรื่องราวพวกนี้ เพราะฉะนั้นเธอไม่เข้าใจ “เพราะอะไร?”
ทั้งๆที่สามารถครอบครองทองคำพวกนี้เป็นเจ้าของเอง แต่กลับยอมทำงานให้คนอื่น?
เฉินห้าวยักไหล่ “อธิบายให้เธอก็ไม่มีประโยชน์ เพราะว่าเธอไม่เข้าใจ”
…….
ไป๋ยี่เฟยเข้าไปถึงทางแยก หยิบมือถือขึ้นมา เปิดไฟฉาย แล้วจึงคลานต่อไปทีละก้าว
ทางเดินค่อนข้างยาว คดเคี้ยวไปมา และยังเป็นเนิน45องศา ลงไปเรื่อยๆ
สิบนาทีผ่านไป ทางเดินก็ค่อยๆกว้างขึ้น
สุดท้ายทางก็ยิ่งอยู่ยิ่งกว้าง กว้างจนเขาสามารถยืนได้
ไป๋ยี่เฟยเดินตามทางมาหลายสิบนาที แล้วมาเจอทางแยกอีก ลังเลอยู่สักพัก เขาก็เดินต่อไป จากนั้นก็เจอกับประตูเหล็กบานหนึ่ง
เขาใช้ไฟมือถือส่อง พบว่าประตูเหล็กนั้นขึ้นสนิมแล้ว ดูแล้วค่อนข้างเก่าแก่
ดูอย่างละเอียดพักหนึ่ง เห็นเพียงล็อกอันหนึ่ง และเป็นล็อกใหญ่มาก น่าจะใหญ่เท่ากำปั้นของผู้ชายคนหนึ่ง ถ้าเปิดออก นอกจากใช้กุญแจหรืออุปกรณ์อื่นๆ
แต่สองสิ่งนี้ไป๋ยี่เฟยไม่มีเลย
สุดท้าย ไป๋ยี่เฟยจึงกลับไปยังทางแยกเดิม แล้วเดินต่อไป
เดินไปสักพัก ก็เห็นแสงสว่าง เหมือนกับห้องโถงก่อนหน้านี้
ไป๋ยี่เฟยรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา น่าจะถึงสุดทางแล้ว จึงรีบวิ่ง
แต่เมื่อเขาไปถึงทางโค้ง ภาพที่เขาเห็นด้านใน ทำให้เขาต้องตะลึงอยู่กับที่
สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขา เป็นใบหน้าแดงก่ำ กำลังใช้ตาแดงก่ำจ้องเขาอยู่
ผมดำยุ่งเหยิง เขาใช้น้ำเสียงแหบแห้ง พูดจาติดๆขัดๆ
“สุดท้าย……..สุดท้ายก็มีคน……มาแล้ว……”
……
บนเรือเลียบหาด คนเรือกับจางหัวปินกำลังรอพวกไป๋ยี่เฟยกลับมา ไม่มีอะไรทำ ได้แต่พูดคุยกัน
คนเรือต่างสงสัยกัน หนึ่งในนั้นจึงถาม “เถ้าแก่ เถ้าแก่สามคนนั้นไปทำอะไรกัน?”
เท่าที่พวกเขาดูแล้ว เหมือนเกาะร้างเกาะหนึ่ง เพราะพวกเขาไม่เห็นเมืองที่อยู่อีกด้านหนึ่ง บวกกับไม่มีเกาะนี้บนแผนที่ เพราะฉะนั้นพวกเขาคิดว่าเป็นเกาะร้าง
จางหัวปินได้ยินแล้วก็หัวเราะพูดว่า “เถ้าแก่พวกเราทำธุรกิจค้าขายผลไม้ บังเอิญมารู้ว่าเกาะนี้มะพร้าวอร่อย ก็เลยอยากขนกลับไปขาย”
เด็กเรือเข้าใจแล้ว จากนั้นก็ถาม “แล้วทำไมเถ้าแก่ผู้หญิงกับเถ้าแก่ผู้ชายต้องผูกติดกันด้วย? พวกเขาเป็นอะไรกัน?”
จางหัวปินสีหน้าจริงจังแต่งเรื่องขึ้นมา “เพราะสมองเขามีปัญหา เป็นน้องสาวของเถ้าแก่ เถ้าแก่ไม่วางใจ ก็เลย……”
“ออ แบบนี้นี่เอง”
เด็กเรือเชื่อเขาแล้วพยักหน้า
เวลาเดียวกัน มีคนชี้ไปทางหนึ่ง “เถ้าแก่ มีเรือมา”
จางหัวปินมองตามที่เขาชี้ สีหน้าเปลี่ยนทันที
ที่ห่างออกไป มีเรือสองลำ
พอเห็นเรือสองลำนั้น จางหัวปินก็คิดถึงอะไรบางอย่าง จึงรีบตะโกน “รีบออกเรือ เร็ว”
เถ้าแก่เรือเห็นก็รีบถาม “เถ้าแก่ นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
จางหัวปินเริ่มอารมณ์ร้อน “รีบออกเรือ ออกจากที่นี่ ไม่ต้องถาม เงินผมจ่ายแน่ สองเท่า”
“แต่ว่ายังมีคน……” เถ้าแก่เรือไม่แน่ใจ
จางหัวปินเริ่มใจร้อน “อย่าพูดมาก รีบออกเรือ ถ้าไม่อยากตาย รีบไปจากที่นี่”
ได้ยินคำพูดนี้แล้ว เถ้าแก่เรือก็ตกใจ ไม่กล้าถามอีก ขอแค่พวกเขาจ่ายเงิน ยังไงก็ได้
เรือออกจากหาด วิ่งไปกลางทะเล
เรือสองลำนั้นเห็นพวกเขา เริ่มเปลี่ยนทิศทาง ขับมาทางพวกเขา
จางหัวปินยืนบนหัวเรือ มองดูเรือสองลำที่ตามมา สีหน้าจริงจัง เต้าจ่างคนนี้ไม่ธรรมดา
พวกเขาจะมาหลันเต่า ไป๋ยี่เฟยคาดการณ์สถานที่ที่เต้าจ่างจะขัดขวาง หลีกเลี่ยงสายตาสำเร็จ แต่กลับบกพร่องไปจุดหนึ่ง
หลันเต่าเป็นสถานที่ของสหพันธ์ธุรกิจ เต้าจ่างเป็นประธานของสหพันธ์ธุรกิจ พวกเขาไม่ต้องไปขวางไป๋ยี่เฟย แค่เฝ้าอยู่ตรงนี้ก็พอ
สำหรับเรือสองลำที่ตามมานั้น ก็คือเรือที่จะมาเฝ้า
เพราะฉะนั้นคิดถึงตรงนี้แล้ว จางหัวปินจึงให้คนรีบออกไปจากที่นี่ เพื่อกันไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามหาพวกไป๋ยี่เฟยเจอ
…….
ไป๋ยี่เฟยออกมาจากทางเดินแล้ว พบห้องโถงที่ใหญ่กว่า ใหญ่กว่าห้องเก็บทองคำสิบเท่า
ห้องนี้กว้างพอๆกับห้องเก็บทองคำ หุ้มด้วยแผ่นเหล็ก แล้วก็มีไฟมากมาย
นอกจากนี้แล้ว ห้องนี้มีพื้น ใช้แท่นทองคำปูพื้น ส่วนอื่นๆก็มีกองทองคำเล็กๆ
ทองคำในห้องนี้เยอะกว่าห้องก่อนหน้านี้
แน่นอน นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาตะลึง ไม่ใช่ ต้องบอกว่าตกใจ ก็คือมีชายวัยกลางคนที่อยู่ตรงหน้าเขา
ชายวัยกลางคนสีหน้าซีดเซียว โดยเฉพาะปาก ซีจนเหมือนกระดาษ ไม่มีเลือดแม้แต่น้อย มีเสื้อกล้ามสีขาวบนตัว และกางเกงหลวมตัวหนึ่ง แต่เป็นรูขาดอยู่หลายที่
เขายืนอยู่ข้างหน้าไป๋ยี่เฟยสีหน้าไม่แสดงอารมณ์ ใช้น้ำเสียงแหบแห้งพูดว่า “ในที่สุด…..มีคน……มาแล้ว”
ไป๋ยี่เฟยดูแล้ว ถึงพบว่า ข้อเท้าของชายวัยกลางคนนี้ มีโซ่เหล็กหนามัดไว้
จินตนการได้ว่า ในถ้ำแห่งนี้ ไม่มีคนเลย แต่กลับมีคนมาปรากฏตัว แล้วใช้น้ำเสียงแหบแห้งพูดจา ไม่ว่าเป็นใคร ก็คงต้องตกใจ จนอาจจะเป็นลมไปก็ได้
ไป๋ยี่เฟยก็ตกใจจนหน้าซีด สักพักจึงเรียกสติกลับมา
เขาถอยไปก้าวหนึ่ง ถามด้วยความตกใจ “คุณ…..เป็นใคร? เป็นคนหรือฝี?”
ชายวัยกลางคนใช้นิ้วปาดผมตัวเองออก เปิดปากยิ้ม แต่ไม่มีเสียง เพียงแค่ผิวกระตุกไปทีหนึ่ง “ผมเป็นคน ผมเป็นคน…..มีเงา……”
แต่เมื่อพูดจบแล้ว ก็ส่ายหน้า “ไม่ใช่ ผมก็ไม่รู้…..ผมยังเป็นคนไหม……”
ไป๋ยี่เฟยอึ้ง เขาคิดไม่ถึงว่าจะเจอคนในนี้ “คุณ……อยู่ที่นี่นานแค่ไหนแล้ว? เข้ามาได้ยังไง?”
ถามจบแล้ว ก็รู้สึกว่าคำถามตัวเองไร้สาระ เพราะว่าขาของเขามีโซ่ล่ามไว้ ไม่ต้องคิดก็รู้ ว่าต้องถูกใครจับมาแน่นอน
ชายวัยกลางคนนิ่งไปสักพัก จากนั้นก็ส่ายหัว สีหน้ามึนงง “ผมก็ไม่รู้ ผมจำไม่ได้ จำไม่ได้ว่านานแค่ไหนแล้ว”
ที่นี่มองไม่เห็นฟ้า แต่ก็มีไฟส่องตลอด แยกแยะไม่ออกว่ากลางวันหรือกลางคืน
ไป๋ยี่เฟยได้ยินคำพูดนี้แล้วยิ่งตะลึง “เป็นไปได้ไง? คุณอยู่ในนี้หลายปีแล้ว? แบบนี้การกินนอนขับถ่ายคุณจัดการยังไง?”
ถ้าหากไม่มีของกิน ไม่มีน้ำ จะอยู่ในนี้หลายปีได้ยังไง
ชายวัยกลางคนได้ยินแล้ว ก็ดึงแขนของไป๋ยี่เฟย แล้วพูดว่า “มา คุณตามผมมา”
ตอนแรกไป๋ยี่เฟยอยากหลบ แต่ไม่รู้เพราะอะไร ท่าทางของชายคนนี้ไม่เร็ว แต่เขากลับหลบไม่ทัน
เมื่อโดนจับแขนไว้ ไป๋ยี่เฟยรู้สึกไม่ค่อยดี รู้สึกขนลุกเหงื่อแตก
ไป๋ยี่เฟยมีความคิดขึ้นมาในหัวทันที
นี้ต้องเป็นคนมีฝีมือแน่นอน
แต่ทำไมคนมีฝีมือระดับนี้ถึงโดนขังไว้ที่นี่?
แล้วใครที่ขังเขาไว้?
ขังคนไว้ในนี้ต้องการอะไรกันแน่? ทำไมไม่ฆ่าเลย? แบบนี้จะได้ตัดปัญหาเลย?
ชายวัยกลางคนดึงไป๋ยี่เฟยไปถึงกำแพงอีกด้านหนึ่ง จากนั้นก็ใช้มือผลัก กำแพงก็ถูกผลักออกเหมือนประตูบานหนึ่ง
ชายวัยกลางคนชี้ไปข้างใน “คุณดู”
ตอนที่เขาพูดคำนี้ ตาสว่าง ตอนนี้หมายความว่าคำพูดเขาเป็นจริง ไม่ได้โกหก
ไป๋ยี่เฟยมองตาม ถึงกับตะลึง
ด้านในเป็นห้องลับ ห้องลับที่มีขนาดกว้างขวาง น่าจะประมาณหนึ่งพันกว่าตารางเมตร