บทที่673 ลบล้างกันแล้ว
ไป๋ยี่เฟยไม่เข้าใจ ทำไมต้องเป็นหนิววั่ง? แล้วครั้งนี้มันเป็นเพราะอะไร?
พอหนิววั่งเห็นว่าแววตาของไป๋ยี่เฟยกำลังสับสน เขาก็ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น ดับบุหรี่ แล้วพูดไปว่า “คุณรู้ใช่มั้ย ว่าผมมีลูกชายคนหนึ่งที่เรียนอยู่เมืองหลวง”
ไป๋ยี่เฟยพยักหน้า
หนิววั่งพูดต่อ “หนึ่งเดือนก่อน เขาได้หายตัวไป”
“มีคนโทรมาหาผม เขาบอกว่า ถ้าไม่ทำตามที่พวกเขาสั่ง พวกเขาก็จะฆ่าลูกชายของผมทิ้ง”
“ตอนแรกผมก็อยากบอกเรื่องนี้กับคุณ แต่เหมือนพวกเขาจะรู้ว่าผมคิดจะทำอะไร วันต่อมาผมก็ได้รับนิ้วมือหนึ่งนิ้วของลูกชายผม”
ดวงตาของหนิววั่งแดงก่ำแล้ว เขาทิ้งตัวลงไปที่ราวกั้นบนตรงริมแม่น้ำอย่างอ่อนแรง แล้วพูดด้วยเสียงที่สะอื้นว่า “ผมไม่สามารถมองดูลูกชายของผมตายไปต่อหน้าได้ ผมมีลูกชายแค่คนเดียว……”
ไป๋ยี่เฟยดูดบุหรี่เข้าไปด้วยความเคร่งเครียด แต่ไม่ได้พ้นควันออกมา เขาอยากใช้ควันบุหรี่มาทำให้ตัวเองใจเย็นลง
“ดังนั้น พวกเขาอยากให้ผมตาย เพื่อแลกกับชีวิตของลูกชายคุณ?” ไป๋ยี่เฟยพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย
หนิววั่งยังคงฟุบอยู่ตรงราว แล้วชกเข้าไปที่ราวอย่างแรง จากนั้นก็พูดออกมาอย่างเจ็บปวดว่า “ผมไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้น ไม่อยากเลย แต่ผมไม่มีทางเลือก……”
ไป๋ยี่เฟยกำลังรู้สึกเหนื่อยใจมาก
คุณไม่อยากเห็นลูกชายของตัวเองตาย แล้วคิดเหรอว่าภรรยาของผม พี่น้องของผมจะอยากเห็นผมตาย?
ใช่ ถ้าคิดจากอีกมุม การที่หนิววั่งทำแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องที่ผิด แต่ว่า หนิววั่งก็เป็นพี่น้องของเขาเหมือนกัน หนิววั่งเองก็เห็นเขาเป็นพี่น้องคนหนึ่งไม่ใช่รึไง?
แล้วเขาจะทนดูพี่น้องของตัวเองไปตายได้อย่างนั้นเหรอ
ไป๋ยี่เฟยพูดด้วยเสียงที่เคร่งขรึมว่า “ผมไม่อยากตาย”
จู่ๆ หนิววั่งก็ร้องไห้โฮออกมา ร้องออกมาแบบไม่อายใคร
การที่ชายวัยสี่สิบคนหนึ่งสามารถร้องไห้ออกมาแบบนี้ มันคงมีแต่ความรู้สึกที่หมดสิ้นหนทาง ความรู้สึกผิด ความโดดเดี่ยวกับความรู้สึกมากมายที่รวมอยู่ในนั้น
แต่การร้องไห้ก็ไม่สามารถลบล้างสิ่งที่เขาเคยทำลงไปได้
มีคำพูดหนึ่งที่พูดไว้ดีมาก มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่เห็นแก่ตัว
มันเป็นแบบนั้นจริงๆ เห็นแก่ตัวของหนิววั่งนั้นคือเขาเข้าข้างลูกชายของตัวเอง ส่วนความเห็นแก่ตัวของไป๋ยี่เฟยก็คือเขาไม่อยากตาย
ไป๋ยี่เฟยเข้าใจที่เขาทำแบบนี้และไม่มีสิทธิ์ที่จะไปโทษเขา แต่การที่เขาเอาความลับไปบอกศัตรูมันไปทำร้ายสวีลั่งเข้าเรื่องนี้เขายอมรับไม่ได้จริงๆ
พอมองดูหนิววั่งที่กำลังร้องไห้อย่างทุกข์ทรมานมัน ไป๋ยี่เฟยก็พ้นควันออกมา แล้วค่อยๆ พูดขึ้นว่า “คุณไปซะ”
หนิววั่งชะงักไป เขาหยุดร้องไห้ แล้วมองไป๋ยี่เฟยด้วยความสงสัย “คุณไม่ฆ่าผมเหรอ?”
ไป๋ยี่เฟยส่ายหน้า ไม่ตอบอะไรสักคำ หันหลังแล้วเดินจากไป
หนิววั่งยืนอยู่ริมแม่น้ำคนเดียว สายลมอ่อนๆ พัดผ่าน ทั้งๆ ที่มันไม่หนาว แต่เขากลับรู้สึกหนาวอย่างถึงที่สุด จู่ๆ ร่างกายก็สั่นขึ้นมา
เขาเข้าใจความหมายของไป๋ยี่เฟย ที่บอกให้ไป ไม่ได้หมายถึงให้เขาไปจากที่นี่ แต่คือการบอกให้เขาหายตัวไปจากชีวิตของพวกไป๋ยี่เฟยซะ
หนิววั่งหลับตาลง กัดฟันแน่น จากนั้นก็ล้วงมีดผ่าตัดออกมาจากอกเสื้อ แล้วพุ่งเข้าใส่ไป๋ยี่เฟย
แต่พอหนิววั่งพุ่งไปได้แค่สองก้าว จู่ๆ ไป๋ยี่เฟยก็พลิกตัวกลับมา แล้วชี้หน้าหนิววั่งพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่โกรธเกรี้ยวว่า “หยุดนะ!”
หนิววั่งชะงักและไม่กล้าขยับอีก
ไป๋ยี่เฟยพูดด้วยความโมโหอย่างสุดขีด “ทั้งๆ ที่คุณเป็นคนผิดแล้วทำไมผมต้องเป็นคนรับกรรมแทนคุณด้วย?”
“แคร็ง!”
มีดในมือของหนิววั่งหล่นลงพื้น เขาเป็นแค่คนธรรมดา ไม่มีทางสู้ไป๋ยี่เฟยได้อย่างแน่นอน การที่จะฆ่าไป๋ยี่เฟยนั้น มันเป็นไปไม่ได้เลย
ดังนั้น การที่หนิววั่งเลือกที่จะทำแบบนี้ ก็เพื่อให้ไป๋ยี่เฟยฆ่าเขาทิ้งเท่านั้นเอง
เขาแค่รนหาที่ตาม
ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ไป๋ยี่เฟยก็คงต้องลำบากใจมาก อีกอย่าง เมื่อกี้เขาเพิ่งพูดไปว่าทำไมเขาต้องมารับกรรมแทนสิ่งที่หนิววั่งทำลงไปด้วย?
ไป๋ยี่เฟยขึ้นรถ ตอนที่กลับรถได้วิ่งผ่านจุดที่หนิววั่งยืนอยู่ เขาพูดขึ้นว่า “ไปโพสต์ลงในเว็บไซต์ของเมืองหลวงซะ ว่าทองคำสิบชั่งแลกกับเบาะแสของหนิวต้าย โดยไม่ต้องบอกว่าใครเป็นคนโพสต์”
พูดจบรถก็ถูกขับออกไป
หนิววั่งได้แต่ยืนมองรถที่ขับออกไปด้วยอึ้ง
……
การที่ไป๋ยี่เฟยเลือกที่จะทำแบบนี้นั้น ก็เพื่ออยากให้เต้าจ่างรับรู้ข้อมูลนี้เท่านั้น
เขาไม่ได้อยากได้ทองสิบชั่งนั้นหรอก แต่เขาต้องสนใจแน่นอนว่าทองคำพวกนั้นมาจากไหน?
ถ้าเป็นแบบนั้น ชีวิตของลูกชายหนิววั่งก็คงไม่มีอะไรให้ห่วงแล้ว
ส่วนหนิววั่ง ถึงแม้ไป๋ยี่เฟยจะให้ความสำคัญกับพรรคพวก แต่เขาก็ไม่มีทางเก็บคนที่หักหลังไว้แน่นอน
……
เช้าแล้ว ไข้ของหลงหลิงหลิงได้ลดลงแล้ว เธอลืมตาขึ้นมา มองไปรอบๆ ด้วยความสับสน จากนั้นก็ลุกขึ้นนั่ง
เธอเอามือปาดเหงื่อบนหน้าผากออก จากนั้นก็เปิดผ้าห่มกะว่าจะลงจากเตียง
แต่เธอก็ต้องชะงัก ถุงน่องของเธอถูกฉีกออก จนเห็นขาทั้งสองข้าง
ตรงหัวเตียงยังมีไวน์แดงวางอยู่ครึ่งขวด พอเห็นแบบนั้น หลงหลิงหลิงก็เข้าใจขึ้นมาทันที จากนั้นเธอก็ยกมือขึ้นมาดมดู มันมีกลิ่นของแอลกอฮอล์ปนอยู่
ไม่ใช่แค่ฝ่ามือของเธอ แต่ทั้งห้องนั่นอบอวลไปด้วยกลิ่นเดียวกัน
หลงหลิงหลิงคิดว่า เพื่อทำให้ไข้ของเธอลดลง ไป๋ยี่เฟยจึงใช้ไวน์มาเช็ดฝ่ามือกับฝ่าเท้าของเธอ
แต่พอนึกถึงการเช็ดฝ่าเท้า ไป๋ยี่เฟยต้องฉีกถุงน่องของเธอออก ใบหน้าของหลงหลิงหลิงก็แดงขึ้นมาทันที
ทันใดนั้นเอง ประตูห้องน้ำก็เปิดออก
ไป๋ยี่เฟยเดินออกมาจากในนั้น เห็นได้ชัดว่าเพิ่งอาบน้ำเสร็จ พอเห็นหลงหลิงหลิง เขาก็ยิ้มแล้วพูดกับเธอว่า “ตื่นแล้วเหรอ!”
พอหลงหลิงหลิงเห็นไป๋ยี่เฟย ด้วยความอาย เธอจึงรีบซ่อนขาของตัวเองเข้าไปในผ้าห่มทันที จากนั้นก็ก้มหน้าตอบอืมไปคำหนึ่ง
ไป๋ยี่เฟยทำเป็นไม่เป็นการกระทำนั้น เขาแค่พูดออกมาอย่างเรียบเฉยว่า “เมื่อกี้ผมดูแล้ว ไข้ลดแล้ว แล้วไม่น่าเป็นอะไรแล้ว เมื่อกี้ผมสั่งโจ๊กไปถ้วยหนึ่ง น่าจะใกล้ถึงแล้ว คุณไปอาบน้ำก่อนเถอะ”
“ค่ะ” หลงหลิงหลิงยังคงก้มหน้า หลังจากที่ตอบรับไป เหมือนเธอจะกลัวไป๋ยี่เฟยมองเห็นขาของตัวเอง เธอจึงยังไม่ยอมขยับ
ความจริงเรื่องนี้ทันไม่มีอะไรเลย หลงหลิงหลิงแค่รู้สึกเขินเท่านั้น พอเธอเห็นว่าไป๋ยี่เฟยไม่ได้มอง เธอจึงค่อยๆ เปิดผ้าห่มออก แล้วลงจากเตียง
แต่ทันใดนั้นเอง จู่ๆ หลงหลิงหลิงก็เห็นเตียงข้างมีขาวเรียวยาวของใครบางยื่นออกมาจากผ้าห่ม ขาคู่นั้นหนีบผ้าห่มบนตัวเธอเอาไว้
หลงหลิงหลิงรู้สึกตกใจจนรีบซุกเข้าไปในผ้าห่มอีกครั้ง
หลงหลิงหลิงงงจนไม่รู้ว่าต้องทำตัวยังไง
ตอนนี้ฟางหยันเองก็ตื่นแล้ว เธอลึกขึ้นนั่ง
จากนั้นคนทั้งสามก็จ้องกันไปจ้องกันมา
ภายในห้องเงียบไปช่วงขณะหนึ่ง จากนั้น
หลงหลิงหลิง “อ้า!”
ฟางหยัน “อ้า!”
หลงหลิงหลิงตกใจเพราะฟางหยัน
ส่วนฟางหยันนั้นเห็นว่าตัวเองไม่ได้สวมเสื้อผ้าเลย บวกกับสถานที่ที่แปลกตา แถมมีผู้ชายอยู่ด้วยคนหนึ่ง ดังนั้นเธอจึงรู้สึกต้องใจและร้อนรน
ความจริงคือ เนื่องจากเมื่อคืนตอนที่ไป๋ยี่เฟยโยนเธอลงบนเตียงนั้น เสื้อซับของเธอได้เปียกไปหมดแล้ว ถ้านอนไปทั้งอย่างนั้นเธอคงเป็นหวัดแน่ๆ ดังนั้นไป๋ยี่เฟยจึงหลับตาแล้วถอดเสื้อผ้าของเธอออกจนหมด
ส่วนไป๋ยี่เฟยในตอนนี้ ถูกเสียงกรี๊ดนั้นสะเทือนจนล้มลงไปบนโซฟา
……
ยี่สิบนาทีหลังจากนั้น ไม่รู้ว่าไป๋ยี่เฟยอธิบายไปกี่รอบ ถึงอธิบายให้เข้าใจได้
พอฟางหยันฟังจบ ถึงเธอจะยอมเชื่อบ้าง แต่เรื่องเสื้อผ้าของเธอนี่สิ เธอยังจ้องไป๋ยี่เฟยด้วยความสงสัย “ฉันเป็นคนถอดเสื้อผ้าของตัวเองออกจริงๆ เหรอคะ?”
ไป๋ยี่เฟยพยักหน้า “จริงๆ นะครับ พอเข้ามาถึง คุณก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงถอดเสื้อผ้าออกหมดเลย ผมห้ามยังไงคุณก็ไม่ยอมฟัง สุดท้ายคุณยังอ้วกใส่ผมอีก”
ฟางหยันถึงกับอึ้ง “ฉันอ้วกใส่คุณด้วยเหรอคะ?”
ไป๋ยี่เฟยพยักหน้า
ฟางหยันจ้องเขม็งมาที่ไป๋ยี่เฟยแล้วถามว่า” แล้วฉันล่ะ? ไม่มีใครทำอะไรฉันใช่มั้ย?”
ไป๋ยี่เฟยตอบไปว่า “บนตัวคุณก็มี แต่ไม่มีใครแตะต้องคุณเลย”