บทที่674 ดื่มแทน
พอฟางหยันได้ยิน ก็ทำหน้าไม่พอใจทันที “งั้นก็แสดงว่าคุณเป็นคนอาบน้ำให้ฉันนะสิ?”
ไป๋ยี่เฟยชะงักไป รู้สึกละอายใจมากขึ้นไปอีก แต่สมองของเขาก็แล่นเร็วมาก แล้วรีบเปลี่ยนเรื่องทันที “คุณฟางครับคนดังอย่างคุณมาทำอะไรที่อำเภอลี่เล็กๆ แห่งนี้ครับ? แล้วผู้ผู้จัดการของคุณล่ะครับไปไหน ไม่เห็นเลย?”
พอได้ยินอย่างนั้น จุดสนใจของฟางหยันก็เปลี่ยนไป ไม่รู้ว่านึกถึงเรื่องอะไร แต่จู่ๆ สีหน้าของเธอก็ดูแย่ไปทันที จากนั้นก็ถอนหายใจออกมา “งานขายที่หยุนไห่เฉิงอำเภอลี่ ได้เชิญฉันไปโปรโมทให้ เมื่อคืนในงานเลี้ยง ประธานของหยุนไห่เฉิงคนนั้นบัดซบมาก เอาแต่ดื่มอวยพรอยู่นั่นแหละ”
ไป๋ยี่เฟยถามไปด้วยความมึนงงว่า “ผู้จัดการกับผู้จัดการของคุณไม่ช่วยคุณดื่มเลยเหรอ?”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น ฟางหยันก็โกรธยิ่งกว่าเดิม “พวกนั้นต้องรับเงินจากประธานคนนั้นแล้วแน่ๆ ไม่ใช่แค่ไม่ช่วยนะพวกเขายังยุอีกต่างหาก!” ไป๋ยี่เฟยไม่รู้ว่าควรพูดยังไงดี
“เฮ้อ ดูแล้วพวกคุณไม่เหมือนคนของอำเภอลี่เลย แล้วพวกคุณมาทำอะไรที่นี่คะ?” จู่ๆ ฟางหยันก็ถามออกมา
หลงหลิงหลิงตอบ “ฉันไม่สบาย เลยจะไปหาหมอที่เมืองหลวง ที่นี่แค่ทางผ่านค่ะ”
ฟางหยันพยักหน้า ตอบอ๋อ จากนั้นก็ทำหน้าดีใจ “ถ้าอย่างนั้น……ฉันของติดรถไปด้วยได้มั้ยคะ?”
ไป๋ยี่เฟยกับหลงหลิงหลิงหันไปมองหน้าฟางหยันด้วยความสงสัย
“ฉันก็จะไปเมืองหลวงเหมือนกันค่ะ” ฟางหยันตอบ
หลงหลิงหลิงหันมามองไป๋ยี่เฟย ไป๋ยี่เฟยคิดๆ ดู แล้วพยักหน้า
หลังจากกินข้าวเช้าเสร็จ พวกเขาก็มุ่งหน้าสู่เมืองหลวงต่อ แต่ในรถได้มีฟางหยันเพิ่งขึ้นมาอีกคน
ฟางหยันเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงมาก แต่เรื่องบางเรื่องเธอก็ไม่สามารถตัดสินใจเองได้
เช่นงานโฆษณาที่อำเภอลี่ในครั้งนี้ เพราะผู้จัดการได้วางจัดการแทนเธอไปแล้ว เธอค่อนข้างสงสัยเลยล่ะว่าผู้จัดการของเธอตั้งใจพาเธอไปขึ้นเตียงของประธานคนนั้นแน่ๆ
ดังนั้น เธอจึงเลือกที่จะติดรถของไป๋ยี่เฟยเพื่อกลับไปก่อน
ด้วยความเบื่อจากการนั่งรถ ฟางหยันจึงเริ่มชวนคุย “พวกคุณเป็นคนที่ไหนคะ?”
“เมืองเทียนเป่ยค่ะ” หลงหลิงหลิงตอบ
ฟางหยันดีใจ “ฉันรู้จักเมืองเทียนเป่ย เอ๊ะ เมืองเทียนเป่ยของพวกคุณมีคนที่ชื่อไป๋ยี่เฟยอยู่ด้วยใช่มั้ยคะ?”
หลงหลิงหลิงอึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นก็มองไปที่ไป๋ยี่เฟย พอเห็นเขาไม่ได้แสดงท่าทีอะไร เธอจึงพยักหน้า แล้วตอบไปว่า “ใช่ค่ะ คุณรู้จักเขาด้วยเหรอคะ?”
ฟางหยันยิ้มแหะๆ “อันนี้……ฉันแค่เคยได้ยิน”
จากนั้นเธอก็พูดต่อว่า “คือผู้จัดการของฉันไปรับงานให้ฉันงานหนึ่ง เป็นงานโปรโมทการขายอาคารเฟสสามของหลันโปกั่งในเมืองเทียนเป่ยค่ะ พอพูดถึงอาคารนี้ เขาบอกกับฉันหลักๆ แค่ว่า หลันโปกั่งนั้นอยู่ในเครือของเฟยเสว่กรุ๊ปและประธานกรรมาธิการของหลันโปกั่งก็คือไป๋ยี่เฟย”
“ความจริงฉันเองก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้เท่าไหร่ แต่เขาบอกฉันว่าไป๋ยี่เฟยคนนี้อายุแค่ยี่สิบกว่าเท่านั้น มันช่างน่าตกใจจริงๆ”
“ฉันเองก็เพิ่งยี่สิบกว่า อายุของเราไล่เลี่ยกัน แต่เขากลับสามารถขึ้นเป็นประธานของบริษัทที่ใหญ่โตแบบนี้ได้ มันช่างน่าตกใจเหลือเกิน ฉันจึงลองหาข้อมูลของเขาดู”
“พระเจ้า พอหาข้อมูลเสร็จ ฉันยิ่งตกใจมากกว่าเดิมอีก ประวัติของเขาอย่างกับตำนาน เอาไปเขียนเป็นหนังสือได้สบายๆ เลยค่ะ”
ฟางหยันยิ่งพูดยิ่งตื่นเต้น สายตาเป็นประกาย เต็มเปี่ยมไปด้วยความนับถือที่มีต่อไป๋ยี่เฟย เธอดูไม่เหมือนดาราเลยสักนิด แต่กลับกลายเป็นแฟนคลับของไป๋ยี่เฟยไปซะงั้น
ตอนนี้อาการของหลงหลิงหลิงดีขึ้นมากแล้ว กลับมามีเรี่ยวแรงอีกครั้ง พอได้ยินเธอพูดมาอย่างนั้น หลงหลิงหลิงก็ยิ้มออกมาทันที “แล้วถ้าคุณเจอหน้าเขา มันจะเป็นยังไงเหรอคะ?”
ฟางหยันกะพริบตาปริบๆ คิดแล้วคิดอีก แล้วตอบไปว่า “จะทำอะไรได้คะ? เขาเป็นถึงประธานของบริษัทที่ใหญ่โตขนาดนั้น ส่วนฉันเป็นแค่ดาราที่เล็กจิ๋ว เทียบเขาไม่ติดเลยสักนิด!”
พอหลงหลิงหลิงได้ยินอย่างนั้น เธอก็ถามแซวไปว่า “สมมติถ้ามีโอกาสขึ้นมาจริงๆ ล่ะคะ?”
“จะเป็นไปได้ยังไงล่ะคะ?” ฟางหยันคิดว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้ จากนั้นก็อดไม่ได้ที่จะจินตนาการในหัว “ถ้าเกิดมันเป็นไปได้จริงๆ แล้วหน้าตาของเขาก็ดีใช้ได้ ไม่แน่อาจจะลองตามจีบดูก็ได้นะคะ”
หลงหลิงหลิงยังไม่ทันได้พูด ฟางหยันก็ส่ายหน้าก่อนแล้ว “ช่างมันเถอะ ปกติพวกประธานกรรมการหน้าตาไม่ดีเท่าไหร่”
“แล้วถ้าหน้าตาเหมือนเขาล่ะคะ?” หลงหลิงหลิงชี้ไปที่ไป๋ยี่เฟย พร้อมกับแววตาที่กวนๆ
ฟางหยันมองไป จากนั้นก็พูดออกมาอย่างไม่ทันได้คิดว่า “มันก็ต้อง……”
จู่ๆ เธอก็หยุดพูด แล้วส่ายหน้า “ไม่ได้ ฉันพูดไม่ได้ ผู้จัดการบอกว่าดาราต้องรักษาภาพพจน์ ต้องมีสติ จะพูดอะไรต้องคิดก่อนเสมอ ฉันมักจะถูกตำหนิเรื่องนี้อยู่เสมอ”
ฟางหยันรีบเปลี่ยนเรื่องคุย “พี่หลิงหลิงคะ เห็นเสื้อผ้าที่คุณให้ฉันมันค่อนข้างดีเลย ที่เมืองเทียนเป่ยพี่น่าจะมีชีวิตที่ดีเลยใช่มั้ยคะ?”
หลงหลิงหลิง” ……”
เนื่องจากจู่ๆ ฟางหยันก็เรื่อง เลยทำให้หลงหลิงหลิงชะงักจนตามไม่ทัน พอตั้งสติได้ เธอก็ชี้ไปที่ไป๋ยี่เฟย “ก็ถือว่าโอเคอยู่แหละ หลังๆ ก็ทำงานกับเขานี่แหละ”
ฟางหยันเหลียวไปมองไป๋ยี่เฟย พอเห็นการแต่งตัวที่แสนธรรมดาของเขาแล้วก็อดไม่ได้ที่จะเบะปาก “พี่หลิงหลิงคะ แค่เห็นการแต่งตัวของเขาก็ดูออกแล้ว พี่ไม่ต้องมาหลอกฉันเลย”
เหมือนหลงหลิงหลิงอยากพูดอะไร แต่ไป๋ยี่เฟยก็พูดแทรกขึ้นก่อนว่า “จับแน่นๆนะครับ”
พอได้ยินอย่างนั้น สีหน้าของหลงหลิงหลิงก็เปลี่ยนไปทันที
ถึงเมื่อวานเธอจะไม่เห็นการฆ่าฟันที่เกิดขึ้นตรงจุดบริการ แต่การถูกรถบัสไล่มาตลอดทางมันก็มันก็น่ากลัวมากแล้วเธอรู้ดีว่าการเดินทางครั้งนี้มันอันตรายมาก ดังนั้น เมื่อได้ยินไป๋ยี่เฟยพูดมาอย่างนั้น เธอก็จริงจังขึ้นมาทันที
ฟางหยันที่ไม่เข้าใจสถานการณ์ ยังพูดออกมาอย่างไม่พอใจว่า “นี่คุณขับช้าๆ หน่อย ฉันคิดว่าการที่คุณเอารถบ้านมาขับเหมือนรถออฟโรดนั้น……โอ๊ย!”
ครั้งนี้ไป๋ยี่เฟยไม่ได้ขึ้นทางด่วน แต่เขาใช้ทางหลวงแทน
เมื่อคืนเขาเป็นคนเรียกหนิววั่งมาเอง แต่เขาไม่รู้ว่าก่อนที่หนิววั่งจะมาได้บอกเส้นทางที่พวกเขาใช้ให้กับเต้าจ่างไปรึเปล่า ดังนั้น ไป๋ยี่เฟยคิดว่าบนทางด่วนน่าจะยังมีคนคอยดักพวกเขาอยู่ เขาจึงเลือกใช้ทางหลวงดีกว่า
และมันก็เป็นไปตามนั้น บนทางด่วนมีคนรอดักอยู่จริงๆ แต่คนอย่างเต้าจ่างนั้นทำงานรอบคอบมาโดยตลอด นอกจากบนทางด่วนแล้ว บนทางหลวงก็มีเหมือนกัน
ตอนนี้มีรถออฟโรดสามคันกำลังตามหลังพวกเขาอยู่ พวกเขาขับเร็ว พวกนั้นก็เร็วตาม พอเขาขับช้า พวกนั้นก็ช้าตามเหมือนกัน
แบบนี้ก็ยืนยันได้แล้วว่าออฟโรดสามคันนั้นกำลังตามพวกเขาอยู่ และน่าจะแจ้งตำแหน่งของพวกเขาตลอดเวลาด้วย
พอรู้ตำแหน่งของพวกเขาแล้ว ก็บอกให้พวกที่อยู่บนทางด่วนมาขวางพวกไป๋ยี่เฟยไว้
ไป๋ยี่เฟยเหยียบคันเร่งจนรถวิ่งด้วยความเร็วสูงสุด ต้องรู้ไว้ก่อนว่านี่ไม่ใช่ทางด่วนแต่เป็นทางหลวง
ความเร็วขนาดนี้ ทำเอาฟางหยันตกใจจนหน้าซีดแล้วเธอเอาแต่ตะโกนไม่หยุดว่า “นี่คุณจะขับเร็วขนาดนี้ทำไมเนี่ย? รีบไปตายรึไง? ขับช้ากว่านี้หน่อยไม่ได้รึไง?”
หลงหลิงหลิงนั้นชินกับเรื่องแบบนี้ไปนานแล้ว ดังนั้นหลังตกใจไปแปบหนึ่ง เธอก็ตั้งสติได้ จากนั้นก็หันไปปลอบใจฟางหยันว่า “พี่ใหญ่เขารู้ว่าคุณฟางมีธุระด่วน เขาจึงเร่งความเร็วให้นิดหนึ่งค่ะ”
ฟางหยันรีบสวนกลับไปว่า “นี่เรียกว่าเร็วนิดหนึ่งเหรอคะ? เขาคิดว่าตัวเองขับรถไฟความเร็วสูงอยู่รึไงเนี่ย?”
นี่พี่ชาย คุณช่วยขับช้ากว่านี้หน่อยไม่ได้รึไง? ฉันไม่ได้รีบ ไม่รีบเลยสักนิด”
ไป๋ยี่เฟยเอาแต่มองกระจกหลัง พอได้ยินฟางหยันพูดมาอย่างนั้น เขาก็ตอบไปอย่างไม่ใส่ใจว่า “อืม ครับ”
แต่ก็ยังไม่ลดความเร็วเหมือนเดิม
ฟางหยันแทบกระอักเลือดแล้ว ตอนนี้เธอรู้สึกกลัวมาก “ถ้าอย่างนั้นคุณก็รีบลดความเร็วสิ!”
ไป๋ยี่เฟยพูดสวนขึ้นมาอีกว่า “ถึงคุณไม่รีบ แต่ผมรีบครับ”
ฟางหยันโกรธจนกระทืบเท้า แล้วตะโกนออกมาว่า “ต่อให้รีบแค่ไหนก็ไม่ควรเอาชีวิตไปทิ้งมั้ง? ฉันเพิ่งมีชื่อเสียงได้ไม่นานเอง ยังมีอนาคตที่สดใสรอฉันอยู่ ฉันยังไม่อยากตายพร้อมพวกคุณ!”
“ถ้าคุณยังไม่ยอมขับช้ากว่านี้ละก็ งั้นรีบจอดที่ข้างทางแล้วให้ฉันลงไปได้มั้ย?”
ในที่สุดไป๋ยี่เฟยก็หันกลับมา จากนั้นก็มองไปยังที่ไกลๆ เขาเห็นหมู่บ้านชาวนาเล็กๆ อยู่ข้างหน้า ข้างๆ ยังมีโรงงานที่ผุพังตั้งอยู่ด้วย ตรงนั้นไม่มีคนเลย ดูท่าจะเป็นโรงงานร้าง
จากนั้นเขาก็พยักหน้า “ได้ครับ”
รถขับไปแถวๆ โรงงาน ไป๋ยี่เฟยก็ลดความเร็ว แล้วเลี้ยวรถไปที่ลานหน้าโรงงาน
รถจอดสนิทแล้ว แต่ก็ยังไม่มีใครขยับ
ฟางหยันก็ตบๆ หน้าอกด้วยความโล่งอก จากนั้นก็มองไปยังไป๋ยี่เฟย แต่พอเห็นสภาพโรงงานที่รกร้างแห่งนี้ เธอก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาอีกครั้ง
ฟางหยันมองไปรอบๆ ด้วยร่างกายที่สั่นเทา แล้วหันมามองที่สถานการณ์ตอนนี้ อดไม่ได้ที่จะคิดว่า “นี่ฉันคงไม่ได้โดนหลอกใช่มั้ย? เขาพาฉันมาที่นี่ทำไม? หรือต้องการลักพาตัวฉัน? หรือต้องการถ่ายรูปแบล็คเมล์ฉัน? หรือว่า……ต้องการจะฆ่าฉัน?”
ยิ่งคิดก็ยิ่งกลัว ฟางหยันสั่นไปทั้งตัวแล้ว เสียงก็สั่นไม่ต่างกัน “นี่ นี่พวกคุณ พี่ชาย ไม่สิ นี่คุณคิดจะทำอะไร? ถ้าคุณต้องการเงินของฉันละก็……”
แต่ไป๋ยี่เฟยกลับพูดขึ้นว่า “รถจากรถ”
สิ้นเสียง เขาก็ก้าวลงจากรถไปก่อน จากนั้นก็หยิบมีดออกมาจากใต้ท้องรถสองเล่ม แล้วโยนให้ซาเฟยหยางไปเล่มหนึ่ง
พอฟางหยันเห็นไป๋ยี่เฟยเอามีดออกมา เธอก็ยิ่งกลัวเข้าไปใหญ่ แล้วพูดทั้งน้ำตาว่า “พี่คะ มีอะไรก็ค่อยๆ พูดค่อยๆ จาก็ได้ อย่าถึงขั้นลงไม้ลงมือเลย ถ้าอยากได้เงินฉันยอมจ่าย แต่อย่า……”
ไป๋ยี่เฟยไม่มีอารมณ์ไปสนใจเรื่องพวกนั้นแล้ว เขาจึงพูดออกมาอย่างไม่ชอบใจว่า “หุบปาก!”
ฟางหยันตกใจจนรีบเอามือปิดปาก แล้วไม่กล้าพูดอะไรอีก
ทันใดนั้น รถออฟโรดสามคันนั้นก็ตามมาถึง แล้วล้อมรอบรถของไป๋ยี่เฟยไว้
จากนั้นก็มีคนสิบกว่าคนลงมาจากรถ แต่ละคนทำหน้าบึ้งตึง ส่วนคนที่เป็นหัวหน้านั้นใบหน้ามีแต่รอบฟกช้ำ น่าจะโดนกระทืบมาไม่เบาเลย