บทที่675สงสัยในตัวเอง
ฟางหยันยังอยู่ในรถ แต่พอเห็นคนพวกนั้น เธอก็อึ้งไปเลย แล้วเธอก็ได้เข้าใจว่าตัวเองนั้นเข้าใจผิดไป เธอหันมามองหลงหลิงหลิงด้วยความแปลกใจ “เมื่อกี้พวกนั้นกำลังไล่ตามเรามาใช่มั้ยคะ?”
หลงหลิงหลิงพยักหน้า
ฟางหยันกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่ “ความจริงพี่ชายคนนั้น……ตั้งใจจะสลัดพวกนั้นออกไปใช่มั้ยคะ?”
หลงหลิงหลิงไม่ได้พยักหน้า เธอแค่พูดออกมาว่า “บางที เขาอาจจะแค่อยากล่อพวกนั้นมาที่นี่ก็ได้”
“หมายความว่ายังไงคะ?” ฟางหยันไม่เข้าใจ “ที่นี่มันไม่มีกล้องวงจรปิด อีกฝ่ายมากันเยอะขนาดนั้น พี่ชายเขาจะไม่……”
หลงหลิงหลิงจ้องหน้าฟางหยัน ยิ้มออกมาแต่ไม่ได้พูดอะไร
……
นอกรถชายที่หน้าฟกช้ำพูดออกมาอย่างได้ใจว่า “ไป๋ยี่เฟย! วันนี้ก็ไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าแกซะทีเดียว แกแค่ยอมไปกับเราแต่โดยดีก็พอแล้ว!”
ชายคนนี้เป็นศิษย์น้องของเต้าจ่าง ก่อนหน้านี้เขาใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองฝั่งตะวันตกมาตลอด เขาเพิ่งมาเมืองหลวงได้ไม่นาน ส่วนฝีมือของเขานอกจากเต้าจ่างแล้วก็ไม่น่าจะมีใครเทียบเคียงได้เลย ที่สำคัญเขาเป็นคนที่ใช้วิชาเสริมพลังอ้านจิ้งได้ดีที่สุดแล้ว
แต่หลายวันก่อน ที่สุสานจินไห่เขากลับถูกชายของทานกระทืบจนแม้แต่โอกาสที่จะได้โต้ตอบยังไม่มีเลย มันทำให้เขาอดที่จะสงสัยในความสามารถของตัวเองไม่ได้เลย
ถ้าไม่ได้ยินคำพูดของศิษย์พี่เต้าจ่างที่บอกว่าเต้าจ่างเองก็ไม่ได้เปรียบชายคนนั้นเหมือนกันละก็ เขาก็คงอดคิดไม่ได้ว่าตัวเองนั้นอ่อนแอแค่ไหน
ครั้งนี้เต่าจ่างส่งเขามาฆ่าไป๋ยี่เฟย
มันถือเป็นโอกาสที่ดี! โอกาสที่เขาจะได้ระบายอารมณ์
เขาคิดในใจ แค่คนจากบ้านนอก มันจะเก่งสักแค่ไหนเชียว?
ถือเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงผลงานให้เต้าจ่างได้เห็นบ้าง จะได้เรียกความมั่นใจของตัวเองกลับคืนมา
ด้วยเหตุนี้ ชายวันกลางคนจึงค่อนข้างดูถูกไป๋ยี่เฟยกับซาเฟยหยาง เขาหยิ่งยโส ในสายตาเขา สองคนนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่ตายไปแล้ว
ชายคนนี้อยากระบาย ส่วนไป๋ยี่เฟยก็อยากระบายความอัดอั้นเรื่องหนิววั่งเหมือนกัน
และตอนนี้ก็มีคนมาให้เขาได้ระบายพอดี ว่าแล้วเขาก็ยิ้มออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ “นี่คุณโง่รึเปล่า? คุณคิดว่าการที่ผมล่อพวกคุณเข้ามาในนี้แค่เพื่อต่อรองกับพวกคุณเท่านั้นนะเหรอ?”
พอชายคนนั้นได้ยินแบบนี้ เขาก็โมโหขึ้นมาทันที “แกได้ตายสมใจแน่!”
คนที่ถูกยอมาตั้งแต่เด็กและไม่เคยถูกใครต่อว่ามาก่อนแบบเขา ตอนนี้เขาโกรธจนแทบระเบิดแล้ว!
ว่าแล้วเขาก็ตะโกนออกมาแล้วโบกมือ “ลุย ฆ่าพวกมันซะ!”
จากนั้น คนสิบกว่าคนที่ถือมีดสะปาต้าไว้ในมือก็พุ่งเข้าใส่ไป๋ยี่เฟยกับซาเฟยหยางทันที
“ปั้ง!”
“อ้า!”
ฟางหยันที่มองดูสถานการณ์นอกรถด้วยความตื่นเต้น เมื่อจู่ๆ ก็มีคนลอยมากระแทกเข้ากับตัวรถ เธอจึงตกใจจนกรี๊ดออกมา ถอยหลังไปหลายก้าวจนเกือบล้มลงไป
กระจกรถแผ่นเล็กๆ เลอะไปด้วยรอยเลือดที่ยาวเป็นสาย
ฟางหยันถูกเลี้ยงดูในสังคมผู้ดีมาตั้งแต่เด็ก จึงไม่เคยพบเห็นสถานการณ์แบบนี้มาก่อน เธอจึงตกใจจนหน้าถอดสีและสั่นไปทั้งตัว
หลงหลิงหลิงเห็นเข้าจึงได้ปลอบเธอไปว่า “ไม่ต้องกลัว ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ”
ฟางหยันยังรู้สึกหวาดกลัวกับภาพเมื่อกี้อยู่ ผ่านไปพักใหญ่กว่าเธอจะรู้ตัว แล้วหันมามองหลงหลิงหลิงด้วยความสงสัย “ทำไมคุณถึงไม่รู้สึกกลัวเลยคะ?”
หลงหลิงหลิงตอบไปพร้อมรอยยิ้ม “เพราะฉันเชื่อในตัวพี่ใหญ่ค่ะ”
เธอเชื่อในตัวของไป๋ยี่เฟยมาตลอด ดังนั้น ต่อให้ตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ เธอก็ไม่รู้สึกกลัว
แต่ฟางหยันนั้นไม่เหมือนกัน เธอไม่เจอพบเจอการฆ่าฟันด้วยอาวุธจริงๆ แบบนี้มาก่อน แต่พอเห็นหลงหลิงหลิงที่ยังใจเย็นได้ขนาดนี้ มันก็ทำให้เธอคิดได้ว่า หลงหลิงหลิงต้องเธอผ่านเรื่องแบบนี้มาก่อนจึงได้ไม่รู้สึกกลัว
ในตอนนี้ ฟางหยันกำลังรู้สึกเสียใจมาก เธอไม่ควรมากับพวกนี้เลย
จู่ๆ ฟางหยันก็ตะโกนออกมา “ตกลงพวกคุณเป็นใครกันแน่?”
ทันใดนั้นเอง ฟางหยันที่หันหน้าไปทางหน้าต่างเห็นคนกำลังทำท่าจะฟันใส่แผ่นหลังของไป๋ยี่เฟย แล้วเธอก็ตะโกนออกมาอัตโนมัติว่า “ระวัง!”
มันเป็นการตอบสนองจากสัญชาตญาณ เนื่องจากเธอมากับไป๋ยี่เฟย มันจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เธอจะเอนเอียงมาทางพวกไป๋ยี่เฟย ด้วยเหตุนี้เธอจึงได้ตะโกนออกไป
แต่เอาเข้าจริงมันก็ไม่ช่วยอะไร เพราะระบบเก็บเสียงของรถคันนี้ดีมาก ไป๋ยี่เฟยจึงไม่ได้ยิน
ต่อให้ไป๋ยี่เฟยไม่ได้ยิน แต่ด้วยสัญชาตญาณที่มีต่อภัยคุกคาม มันก็ทำให้เขาหันกลับมาถีบใส่คนๆ นั้นจนกระเด็นออกไปหลายเมตร
พอได้เห็นแบบนั้น ฟางหยันก็ถึงกับอึ้งไปเลย
“นี่……เขาสามารถถีบคนให้กระเด็นออกไปได้ไกลขนาดนั้น……อย่างกับถ่ายหนังเลย”
หลงหลิงหลิงจ้องมองฟางหยันอย่างมีความนัย “เมื่อกี้คุณยังกลัวจะเป็นจะตายอยู่เลยไม่ใช่เหรอคะ? ทำไมตอนนี้ถึงหันมาชื่นชมพี่ใหญ่ของฉันแล้วล่ะ?”
ฟางหยันชะงักไป “เหรอคะ?”
หลงหลิงหลิงยิ้มออกมาเล็กน้อย แล้วพูดไปว่า “พี่ใหญ่เขาแต่งงานแล้ว ที่สำคัญพวกเขารักกันมาก คุณหยุดคิดเรื่องนั้นเถอะค่ะ”
พอได้ยินอย่างนั้น จู่ๆ ใบหน้าของฟางหยันก็แดงก่ำขึ้นมา แล้วพูดด้วยความโมโหว่า “ใช่ที่ไหนคะ? ฉันไม่มีทางคิดแบบนั้นหรอกค่ะ!”
ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่หลงหลิงหลิงก็รู้สึกได้ ว่าสายตาของฟางหยันนั้นตามติดไป๋ยี่เฟยอยู่ตลอด
การต่อสู้ข้างนอกกำลังเป็นไปด้วยความดุเดือด ไป๋ยี่เฟยได้ฟันคนไปเจ็ดแปดคนแล้ว
แน่นอนว่าทางซาเฟยหยางต่างหากที่น่าตื่นเต้น
ไม่ ไม่ถือว่าตื่นเต้น น่าจะเรียกว่าเป็นเทคนิคในการฆ่าอย่างหนึ่งมากกว่า
ยังคงเป็นเหมือนเมื่อคืน ราวกับว่าเขากำลังเดินเล่น ค่อยๆ ก้าวเดินไปทีละก้าว แต่ทุกครั้งที่ลงมือก็จะมีคนตายไปหนึ่งคน
พอชายวัยกลางคนที่ใบหน้าฟกช้ำเห็นเข้า เขาก็ตกใจอย่างมาก และรู้ทันทีว่าซาเฟยหยางนั่นเป็นยอดฝีมือ
ตอนอยู่ที่ฝั่งตะวันตก เขาแทบจะเป็นบุคคลที่ไร้เทียมทานแล้ว แต่พอมาถึงที่เมืองหลวงแค่ไม่กี่วัน กลับเจอยอดฝีมือไปถึงสองคนแล้ว ยอดฝีมือของที่นี่มันเยอะขนาดนั้นเลยเหรอ?
แต่สิ่งที่ทำให้เขาสบายใจได้ก็คือ ซาเฟยหยางนั้นมีกระบวนท่าที่ชัดเจน ไม่เหมือนกับผู้ชายที่เจอตรงสุสานจินไห่ ไม่มีกระบวนท่าอะไรเลย เอาแต่โจมตีมาแบบมั่วเท่านั้น
เขาคิดในใจ ไม่ว่าซาเฟยหยางจะร้ายกาจแค่ไหน แต่ด้านวิชาเสริมพลังอ้านจิ้งก็ไม่มีทางเทียบตัวเองได้อยู่แล้ว
การได้มาเจอกับยอดฝีมือแบบนี้ และสามารถเอาชนะไปได้ ศิษย์พี่เต้าจ่างจะต้องชมเขาแน่ๆ และตัวเองก็จะมีความสำคัญมากขึ้นในสายตาของศิษย์พี่เต้าจ่างด้วย
ว่าแล้ว ชายคนนั้นก็เอามีดสั้นออกมาเล่มหนึ่ง เข้าสู่สนามรบ และมุ่งเป้าไปที่ซาเฟยหยาง
เขาใส่วิชาเสริมพลังอ้านจิ้งเข้าไปในมีด ในตอนที่เข้าเข้าใกล้ซาเฟยหยาง มีดของเขาก็สั่นสะเทือนขึ้นมา แม้แต่อากาศรอบๆ ก็สั่นไปด้วย
หลังจากที่ซาเฟยหยางฆ่าลูกกระจ๊อกไปคนหนึ่ง เขาก็รู้สึกถึงการสั่นสะเทือนของอากาศ เขาจึงขมวดคิ้วแล้วหันมามอง
พอเห็นอย่างนั้น เขาก็ทำเสียงฮึดฮัดแล้วพูดไปว่า “นี่ไอ้หนู วิชาเสริมพลังอ้านจิ้งเขาไม่ได้ใช้กันแบบนี้”
ซาเฟยหยางค่อยๆ ยกมีดของตัวเองขึ้น จนไปกระทบกันมีดสั้นของชายคนนั้นพอดี การกระทำที่เชื่องช้านี้ดูแล้วเหมือนไม่ค่อยมีแรง
แต่ทันทีที่มีดทั้งสองเล่มปะทะเข้าด้วยกัน ก็มีเสียง “ตู้ม” ดังขึ้น
จากนั้นก็เป็นเสียง “แกร็ก!”
มีดของชายคนนั้นหักเป็นสองท่อน
เขาอึ้งไปทันที
เขาเห็นอยู่ว่าตอนที่ซาเฟยหยางฟันมานั้นไม่ได้ใช้วิชาเสริมพลังอ้านจิ้งเลยสักนิด เขาเลยเข้าใจว่าอีกฝ่ายใช้ไม่เป็นแต่เมื่อมีดของทั้งสองปะทะกัน วิชาเสริมพลังอ้านจิ้งก็ได้ระเบิดออกมา พร้อมกับอานุภาพที่เหลือล้น
ก่อนที่เขาจะตั้งตัวได้ ซาเฟยหยางก็มาอยู่ข้างๆ เขาแล้ว แล้วชกเข้าที่หน้าอกของเขา
ชายคนนั้นรีบยกมือขึ้นมากัน และใช้วิชาเสริมพลังอ้านจิ้งไปด้วย
เหมือนกับเมื่อกี้เลย เพียงแต่กำปั้นที่ชกมาไม่ใช้วิชาเสริมพลังอ้านจิ้งเท่านั้น ตอนที่ปะทะกันแรงระเบิดก็ปะทุออกมาทันที
ชายคนนั้นกระเด็นออกไป
“ตุ๊บ!”
“เอื้อ!”
ชายคนนั้นล้มลงกับพื้นพร้อมกับเลือกที่พุ่งออกมาจากปาก เขาอึ้งจนไม่รู้จะอึ้งยังไงแล้ว
แทบจะในทันที เขาก็ลุกขึ้นมาแล้ววิ่งหนีไปเลย
ตอนนี้ชายคนนั้นกำลังรู้สึกสับสนมาก “นี่มันเรื่องบ้าอะไรเนี่ย? ทำไมถึงเจอยอดฝีมือเยอะขนาดนี้เนี่ย? ทำไมใครๆ ก็สามารถใช้หมัดทารุณฉันได้ง่ายๆ แบบนี้?”
ซาเฟยหยางไม่ได้ไล่ตามไป เขาแค่ยืนนิ่งอยู่กับที่เท่านั้น
ส่วนคนอื่นๆ ที่เหลือต่างก็ถูกน็อคไปหมดแล้ว
เรื่องของวิชาเสริมพลังอ้านจิ้งนั้นไป๋ยี่เฟยไม่มีทางรู้เรื่องแน่นอน แต่ซาเฟยหยางนั้นรู้และเข้าใจที่สุด
ความจริงชายคนนั้นสามารถใช้วิชาเสริมพลังอ้านจิ้งได้ดีเลยทีเดียว เขาสามารถใส่วิชาเสริมพลังอ้านจิ้งเข้าไปในมีดได้ตามใจนึก แต่ที่น่าเสียดายคือวิธีที่เขาใช้มันไม่ถูกต้อง
วิชาเสริมพลังอ้านจิ้งนั้นสามารถเพิ่มพลังให้กับหัวหรืออาวุธได้ แต่ด้วยเหตุนี้ มันจึงก่อให้เกิดแรงเสียดทานขึ้นกับอากาศโดยรอบ ดังนั้น ถ้าคนที่ใช้เป็นจริงๆ เขาจะใช้มันในตอนที่เข้าใกล้เป้าหมายมากๆ แล้วเท่านั้น
ไป๋ยี่เฟยโยนมีดลงพื้น แล้วมองซาเฟยหยางด้วยความสงสัย “ทำไมต้องปล่อยเขาไปด้วยครับ?”