“สู้กับผีสิวะ!” สือหรั่นคำรามด้วยความโกรธ ไก่อ่อนอย่างมึงจะมาสู้กับกู? ไม่เห็นกูอยู่ในสายตาใช่ไหม?”
ไป๋ยี่เฟยหัวเราะเบาๆ “ไม่สู้กับผี สู้กับแก”
จากนั้นก็กล่าวด้วยความชอบธรรมอีกครั้งว่า “จะสู้ก็รีบสู้ ไม่สู้ก็ยอมแพ้”
“ยอมแพ้กับผีสิ!” สือหรั่นพูดจบก็พุ่งเข้าหาไป๋ยี่เฟย
เพราะอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นยอดฝีมือระดับที่สอง ความเร็วกับพละกำลังทำให้คนยากจะจินตนาการ ไป๋ยี่เฟยยังไม่ทันได้ตั้งตัว ช่องท้องก็ถูกอีกฝ่ายเตะเข้าอย่างจัง
“อั๊ก!”
เขาล้มกระเด็นออกไปพร้อมกับกระอักเลือดออกมาหนึ่งคำ กระเด็นไปไกลถึงเจ็ดแปดเมตรถึงค่อยหยุดลง
พอทุกคนเห็นฉากนี้ ทางฝั่งเต้าจ่างก็พากันตบมือโห่ร้อง ทางฝั่งไป๋ยี่เฟยกลับเป็นกังวลอย่างยิ่ง
สือหรั่นเห็นไป๋ยี่เฟยเปราะบางเช่นนี้ ก็แค่นเสียงอย่างเหยียดหยามว่า “ไอ้ไก่อ่อน กล้าดูถูกกูนัก กูเตะมึงทีเดียวก็ตายแล้ว!”
พวกไป๋หยุนเผิงคิดจะเข้าไปดูไป๋ยี่เฟย นั่นเป็นเท้าของยอดฝีมือระดับที่สอง หากเป็นคนทั่วไปโดนถูกเตะทีเดียวอาจตายได้จริงๆ
แต่โชคดีที่ไป๋ยี่เฟยเป็นคนทนมือทนเท้าอย่างมาก
ไป๋ยี่เฟยยื่นมือออกมาข้างหนึ่ง ห้ามพวกไป๋หยุนเผิงที่จะเข้ามาไว้ จากนั้นก็คลานขึ้นมาจากพื้น กุมท้องตนเองพลางนวดไปมา แสยะปากพูดลอดไรฟันว่า “มาอีกรอบ!”
สือหรั่นรู้สึกเหลือเชื่ออยู่บ้าง มองไป๋ยี่เฟยที่ยืนขึ้นมาอย่างคาดไม่ถึง
คนทางฝั่งเต้าจ่างก็ประหลาดใจเช่นเดียวกัน
พึงรู้ไว้ว่าพละกำลังของยอดฝีมือระดับที่สองอย่างสือหรั่น เท้านี้ต่อให้ไม่เตะไป๋ยี่เฟยตาย ก็สามารถทำให้บาดเจ็บหนักได้ แต่ไป๋ยี่เฟยกลับยืนขึ้นมาแล้ว
ความสามารถที่ทนมือทนเท้าอย่างไป๋ยี่เฟย อาจไม่มีใครเทียบเท่าได้
คิดถึงเดือนนั้นตอนที่อยู่ในภูเขา ทุกวันเขาจะต้องถูกเตะถูกอัด ดังนั้นการที่ถูกสือหรั่นเตะเช่นนี้ จึงยังสบายมากจริงๆ เพราะอย่างไรคนที่อัดเขาในตอนนั้นก็คือเหลียงยู่ ยังมีจื่ออีอาจารย์เขาอีกคน
ดังนั้นหากคิดดูก็รู้ว่าความสามารถทนมือของเขาจะมีความแข็งแกร่งแค่ไหน
หลังสือหรั่นตกตะลึงเสร็จก็โกรธจัด เขารู้สึกว่าไม่สามารถเตะไก่อ่อนอย่างไป๋ยี่เฟยให้บาดเจ็บสาหัสได้ ถือเป็นการสงสัยในพละกำลังของเขา ดังนั้นเขาจึงพุ่งออกไปทันที
มีประสบการณ์อย่างเมื่อครู่ หนนี้ไป๋ยี่เฟยจึงเตรียมตัวไว้แล้ว แม้ความเร็วจะช้ากว่าอีกฝ่ายอยู่บ้าง แต่เขาสามารถคาดเดาการโจมตีของอีกฝ่ายได้
ด้วยเหตุนี้พอเท้าที่สองของสือหรั่นเตะมาที่ช่องท้องของเขาอีกครั้ง ไป๋ยี่เฟยจึงยกสองมือขึ้นมาต้านไว้
“พลั่ก!”
ไป๋ยี่เฟยเดากระบวนท่าอีกฝ่ายได้อย่างถูกต้อง สองมือที่ยกขึ้นมาขวางเท้าของสือหรั่นไว้ได้สำเร็จ แต่กำลังของเท้าข้างนั้นก็ไม่ใช่เขาจะต้านรับได้ ยังคงทำให้คนพุ่งกระเด็นออกไปอยู่ดี
ตัวไป๋ยี่เฟยชนเข้ากับกำแพงสวน แล้วตกลงบนพื้น
สือหรั่นหัวเราะเยาะ “ไม่มีใครสามารถต้านลูกเตะครั้งที่สองของฉันได้ ต่อให้เป็นยอดฝีมือระดับที่สองก็ตาม ถูกฉันเตะอย่างจังสองครั้ง ไม่ตายก็ต้องเจ็บหนัก ไอ้ไก่อ่อนระดับที่สามอย่างแก ยังคิดจะคลานขึ้นมาอีก?”
คนทางฝั่งเต้าจ่างปรบมือส่งเสียงโห่ร้องอีกครั้ง
คนทางฝั่งไป๋ยี่เฟยกลับกังวลใจมากขึ้นกว่าเดิม
แต่ในเวลานี้เอง ไป๋ยี่เฟยได้ยืนขึ้นมาอีกครั้ง
ทุกคนที่เห็นฉากนี้ต่างตกตะลึงกันไปหมด
อย่างที่สือหรั่นบอก ต่อให้เป็นยอดฝีมือระดับที่สอง ถูกเขาเตะอย่างจังสองครั้งติดๆ กัน ไม่ตายก็เจ็บหนัก คลานขึ้นมาไม่ได้อีก เพียงพอให้จินตนาการได้ว่าพละกำลังที่ใช้ออกมาแข็งแกร่งมากเพียงใด
แต่ไป๋ยี่เฟยก็ยืนขึ้นมาได้จริงๆ
สือหรั่นตะลึงอยู่สักพัก ถึงขนาดมองไปที่เท้าของตัวเองอย่างสงสัย จู่ๆ เขาก็รู้สึกเสียหน้าอย่างหนักขึ้นมา
ต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้ ยอดฝีมือระดับที่สองคนหนึ่งอย่างเขา กระทั่งเตะสองครั้ง ก็เตะไก่อ่อนระดับที่สามไม่ตาย ต่อไปยังจะมีหน้าอยู่ในสหพันธ์ธุรกิจได้ยังไง?
เวลานี้ จู่ๆ ฉีฉีก็พูดขึ้นว่า “ยอมแพ้เสียเถอะ”
“ระหว่างพวกนายห่างชั้นกันเป็นโยชน์ เอาชนะไม่ได้หรอก แบบนี้นายก็ถูกอัดฟรีๆ สิ”
“ให้ฉันสู้รอบที่สามเลยเถอะ”
ไป๋ยี่เฟยกลับเช็ดเลือดที่มุมปากออกอย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นก็พูดยิ้มๆ ว่า “ฉันอยากจะลองดูสักตั้ง”
จากนั้น ไป๋ยี่เฟยก็สูดหายใจเข้าลึกๆ หลายครั้ง จัดท่าทางให้เรียบร้อย จากนั้นก็เดินเข้าไปอีกครั้ง ถึงขั้นพูดอย่างกวนประสาทว่า “เป็นถึงยอดฝีมือระดับที่สองมีแรงเท่านี้เองเหรอ?”
พอได้ยินคำพูดยั่วยุเช่นนี้ สือหรั่นก็โกรธแทบกระอักเลือด “มึง……”
แม่มันสิ หากกูคว่ำมันลงไม่ได้ กูก็ขอใช้แซ่เดียวกับมัน
ดังนั้นแววตาของสือหรั่นจึงหนาวเหน็บขึ้นมา พุ่งเข้าไปอีกครั้ง
ความเร็วที่ไปปรากฏตัวอยู่ข้างกายไป๋ยี่เฟยยังคงรวดเร็วมากเหมือนเดิม เขาไม่ได้เปลี่ยนกระบวนท่าไปจากเดิมเท่าไหร่นัก ยังคงยกเท้าทำท่าจะเตะ ตรงตำแหน่งช่องท้องของไป๋ยี่เฟยเหมือนเดิม
ไป๋ยี่เฟยถูกเตะติดๆ กันสองครั้ง ย่อมไม่มีทางโง่ไปให้ถูกเตะอีก
ดังนั้นไป๋ยี่เฟยจึงหมอบลงกับพื้นอย่างรวดเร็ว ทำให้คนที่เห็นฉากนี้งุนงงไปเล็กน้อย เท้าจึงถีบกับอากาศแทน
นาทีต่อมาเท้าของสือหรั่นก็ถูกไป๋ยี่เฟยกอดไว้ ไป๋ยี่เฟยหมุนตัวที่พื้นทีหนึ่ง อาศัยแรงนี้ดึงสือหรั่นลงมา
สือหรั่นที่ไม่ทันได้ตั้งตัว ขาข้างหนึ่งก็ถูกไป๋ยี่เฟยกอดไว้ ร่างกายเอนไปข้างหน้าล้มลงไปทันที
หลังจากนั้นไป๋ยี่เฟยก็ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ขาสองข้างรัดเอวของสือหรั่นไว้แล้วกดลงไปกับพื้นอย่างแรง
พอทุกคนเห็นฉากนี้ ก็ร้องด้วยความตกใจ รู้สึกประหลาดใจขึ้นมา
ตัวสือหรั่นเองก็เคร่งเครียดเช่นกัน
นี่คือวิชาล็อกตัวแบบหนึ่ง
ความสามารถของคนเราไม่ใช่หยุดนิ่งไร้การเปลี่ยนแปลงตลอดไป เขาเมื่อผ่านประสบการณ์ก็จะค่อยๆ เติบโตอย่างช้าๆ ได้ทุกเมื่อ
วิชาล็อคตัวของไป๋ยี่เฟยคือวิชาที่เขาเชี่ยวชาญที่สุด เมื่อก่อนฉางเชี่ยวดิ้นหลุดจากเขาไปได้ แต่ตอนนี้ต่อให้เป็นสือหรั่นยอดฝีมือระดับที่สอง ก็ใช่ว่าจะรอดจากเขาไปได้ง่ายๆ
วิชาล็อคตัวของไป๋ยี่เฟยเพิ่มความร้ายกาจขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก สือหรั่นถูกควบคุมไว้ ดิ้นไม่หลุดโดยสิ้นเชิง
สือหรั่นรู้สึกงุนงงอยู่บ้าง
เขาคิดว่า ไม่ว่าจะเป็นพละกำลังหรือความเร็วของตัวเอง ก็ล้วนแข็งแกร่งกว่าไป๋ยี่เฟยมาก ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ออกกระบวนท่ามากเท่าไหร่นัก ใช้แต่ท่านั้นซ้ำแล้วซ้ำอีก
เขาคิดเอาเองว่าทำเช่นนี้จะสามารถเตะอีกฝ่ายจนบาดเจ็บได้ รอจนเขาลุกขึ้นมาไม่ไหวแล้วจริงๆ หน้าตาเขาก็จะกลับคืนมาเอง
แต่เขาคิดไม่ถึงโดนสิ้นเชิงว่าไป๋ยี่เฟยจะถึงกับเป็นวิชาล็อกตัว
คนที่ไม่รู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็ประหลาดใจกันถ้วนหน้า
พวกเขาล้วนคิดว่าไป๋ยี่เฟยแพ้แน่อย่างไม่ต้องสงสัย เพราะอย่างไรฝีมือก็ต่างกันมากเกินไป แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่อย่างนั้นเสียแล้ว
แม้แต่ฉีฉีก็ยังประหลาดใจ
หากเป็นตัวเธอกับสือหรั่นสู้กัน คล้ายกับว่าเธอจะไม่มีความมั่นใจโดยสิ้นเชิง แต่ก็เป็นเช่นนี้ สือหรั่นถึงกับถูกไป๋ยี่เฟยควบคุมไว้ได้
แต่ตอนนี้ต่อให้พวกเขาแปลกใจกันมากแค่ไหน ก็เป็นการคิดมากเกินไปเช่นกัน
สือหรั่นกับไป๋ยี่เฟยฝีมือต่างกันเกินไปจริงๆ ดังนั้นในเวลาเช่นนี้เพียงแค่ทักษะจึงไม่อาจเอาชนะได้
ไป๋ยี่เฟยกำลังจะใช้แรงหักขาของสือหรั่น ในเวลานี้เองจู่ๆ สองมือที่ยันพื้นกับร่างกายก็ตั้งขึ้นมาอย่างถูกเวลาพอดี
จากนั้นก็อาศัยขุมกำลังนี้ยกไป๋ยี่เฟยขึ้นมาอีกที สุดท้ายก็สลัดคนออกไป
ร่างกายปล่อยสือหรั่นอย่างเฉื่อยชา แต่ขณะที่เขากำลังปล่อยอยู่นั้น สือหรั่นก็ยกเท้าข้างหนึ่งขึ้นมา เตะเข้าไปที่ช่องท้องของไป๋ยี่เฟยอีกครั้ง
“พลั่ก!”
ไป๋ยี่เฟยถูกเตะกระเด็นออกไป
ขณะเดียวกันที่ใต้เท้าของสือหรั่น มีมีดหักเล่มหนึ่งอยู่พอดี เขาใช้เท้าอีกข้างเตะไปที่มีดหัก มีดหักพุ่งกระเด็นออกไป ทิศทางที่มันมุ่งตรงไปคือไป๋ยี่เฟย
ไป๋ยี่เฟยยังกึ่งลอยอยู่ในอากาศจึงไร้ทางหลบเลี่ยงโดยสิ้นเชิง
พวกไป๋ยี่เฟยที่เห็นฉากนี้ตกใจจนสองตาเบิกกว้าง
“ระวัง!”
พวกเขาแทบจะส่งเสียงเตือนพร้อมกัน แต่พวกเขาต่างรู้ว่าไป๋ยี่เฟยกระเด็นออกไปเพราะผลของพลังต่อให้เตือนก็เปล่าประโยชน์ เขาหลบไม่พ้นโดยสิ้นเชิง
มีดหักที่เป็นประกายขาวเล่มนั้นพุ่งตรงเข้าหาไป๋ยี่เฟย
“ฉึก!”
เกิดเสียงมีดเสียบเข้าร่างกายคนดังขึ้น
พร้อมกันนั้นไป๋ยี่เฟยก็ตกลงบนพื้น
แต่ความเจ็บปวดอย่างที่คาดการณ์ไว้กลับไม่ได้ประดังเข้ามา เขาพบว่าตนเองไม่ได้ถูกมีด
เขาเงยหน้าขึ้นทันที จากนั้นจึงเห็นคนคนหนึ่งที่ขวางอยู่ตรงหน้าเขา เป็นหนิววั่ง