ตอนนี้ไป๋ยี่เฟยไม่มีสติ ใช้หัวโขกอยู่ตลอดโดยไม่สนใจใดๆ เขาไม่รู้สึกตัวโดยสิ้นเชิงว่าสือหรั่นไม่มีแรงสู้ใดๆ แล้ว
จู่ๆ เวลานี้ก็มีคนตะโกนขึ้นว่า “รีบหยุดเขาไว้เร็ว!”
ฉินซานลงมือทันที กดไหล่ของไป๋ยี่เฟยไว้
ไป๋ยี่เฟยไม่โขกอีกต่อไป
เขาหันหน้าไปมองฉินซาน จู่ๆ ประกายสีแดงในดวงตาเขาเวลานี้ได้หายไปแล้ว
แต่ไป๋ยี่เฟยมีเลือดอาบหน้า
ฉินซานกล่าวกับไป๋ยี่เฟยว่า “นายชนะแล้ว เขาตายแล้ว”
สองมือของไป๋ยี่เฟยรีบปล่อยทันที สือหรั่นไร้การค้ำยันก็ล้มลงบนพื้นเสียงดัง “ตึง”
จากนั้นบรรยากาศก็เงียบเสียจนแม้แต่เสียงเข็มตกก็ยังได้ยิน ถึงขั้นมีคนกลั้นลมหายใจโดยไม่รู้ตัว
ไป๋ยี่เฟยอดถอยหลังไปหลายก้าวไม่ได้ ร่างกายแทบประคองไว้ไม่อยู่ กวาดตาหาอยู่นาน ถึงได้หาตำแหน่งของซินชิวพบ
เขาตะโกนว่า “พวกเราชนะแล้ว รอบที่สามไม่ต้องสู้แล้วใช่ไหม?”
ซินชิวไม่แสดงท่าทีอะไร พยักหน้าตอบว่า “พวกนายชนะแล้ว พวกเราจะไม่สร้างความลำบากให้พวกนาย ปล่อยพวกนายไป”
“ปล่อยพวกเราไป?”
“ฮ่าๆๆ ……”
จู่ๆ ไป๋ยี่เฟยก็หัวเราะ แต่หัวได้พักหนึ่ง เสียงหัวเราะก็หยุดลง จากนั้นแววตาเขาก็ขรึมลง ยกมือชี้ไปที่กลุ่มของพวกเต้าจ่างตะโกนด้วยความโมโหว่า “วันนี้แกฟังฉันให้ดีล่ะ!”
“วันนี้พี่น้องของฉันตายไปสิบกว่าคน หนิววั่งบาดเจ็บหนัก หากช่วยชีวิตหนิววั่งกลับมาไม่ได้ ฉันจะทำให้พวกแกทั้งหมดตายตามเขาไป!”
คนของทางฝั่งเต้าจ่าง พอเห็นด้านที่บ้าคลั่งดุร้ายเช่นนี้ของไป๋ยี่เฟยต่างก็ตกใจกันหมด
นี่เขาคงจะเสียสติไปแล้วจริงๆ!
ไป๋ยี่เฟยเอานิ้วชี้ไปทางเต้าจ่างอีกครั้ง กล่าวอย่างดุร้ายว่า “จงจำคำฉันไว้ ฉันจะต้องเอาคืนแน่ ฉันเคยบอกแล้ว ทำร้ายพี่น้องของฉัน ฉันจะไม่ปล่อยไปสักคน!”
“ใครมาก็ไม่มีผล!”
เต้าจ่างอดแค่นเสียงเย็นชาไม่ได้ “ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ คิดว่าตัวเองเอาชนะยอดฝีมือระดับที่สองได้ก็ไร้คู่ต่อสู้แล้วเหรอ?”
ฟังคำพูดนี้ของเต้าจ่างคล้ายกับว่าจะลงมือ
เมื่อเห็นสภาพการณ์เช่นนี้ ฉินซานก็รีบเดินออกมา ขวางอยู่ด้านหน้าไป๋ยี่เฟยพร้อมกับตะโกนเสียงดังว่า “พร้อมรับคำท้า!”
จากนั้นซาเฟยหยางกับไป๋หยุนเผิงก็เดินออกมาเช่นเดียวกัน แล้วค่อยเป็นฉีฉี ไป๋หู่ จงเหลียน รวมถึงคนชุดดำขององค์กรขวางซาที่ได้รับบาดเจ็บเหล่านั้นด้วยพวกเขาถลึงตามองใส่เต้าจ่างอย่างดุร้าย
ส่วนคนของทางฝั่งเต้าจ่างก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรเช่นกัน มีคนถอยหลังไปสองสามก้าว ต่อมาเมื่อมีคนมาสะกิดเตือนใจ คนกลุ่มใหญ่ก็ถอยหลังตามเช่นเดียวกัน
ชั่วเวลาประเดี๋ยวเดียวเต้าจ่างกลายเป็นคนหัวเดียวกระเทียมลีบ
เต้าจ่างพลันหวาดกลัวขึ้นมา
ไม่พูดถึงจำนวนคนที่เผชิญ แค่ฉินซานคนเดียวก็สามารถทำให้เต้าจ่างตายได้
เวลานี้เอง ฉินซิวก็ถอนหายใจออกมา “เฮ้อ!”
สายตาของทุกคนตกอยู่ที่ตัวเขา
ฉินซิวกล่าวเสียงราบเรียบ “หันหลังกลับไปดูสิ”
ทุกคนรีบหันหลังทันที พบว่าไป๋ยี่เฟยสลบล้มลงไปอยู่ที่พื้นแล้ว
เมื่อสักครู่ไป๋ยี่เฟยใช้ศีรษะของตัวเองโขกไปที่ศีรษะของสือหรั่น จนสือหรั่นสลบไป
ฉินซานบอกว่าสือหรั่นตายแล้ว แต่ทุกคนไม่อาจฟันธงว่าสือหรั่นตายแล้วจริงหรือไม่ ดังนั้นที่ฉินซานพูดเช่นนี้ เพียงเพื่อทำให้ไป๋ยี่เฟยรามือเท่านั้นเอง
ผลกระทบจากพลังเป็นดาบสองคม สือหรั่นล้มไปแล้ว ไป๋ยี่เฟยจะดีไปกว่ากันได้ที่ไหนกัน?
ส่วนไป๋ยี่เฟยที่ล้มอยู่ที่พื้นหน้าผากบวมปูดราวกับลูกมะนาว
“หมอ หมอรีบมาเร็วเข้า!”
พวกเขาพากันตะโกนเรียก แต่หมอไปส่งหนิววั่งที่โรงพยาบาล ตอนนี้หมอจึงไม่มีแล้ว
“มาแล้วๆ!”
จู่ๆ ก็มีผู้หญิงสองคนหน้าตาคล้ายคลึงกันอยู่หลายส่วน ผลักกลุ่มคนพุ่งเข้ามา บนตัวพวกหล่อนมีกระเป๋าปฐมพยาบาลใบหนึ่งมาด้วย
สองคนนี้ก็คือหลิวเสี่ยวอิงกับป้ารองของเธอ
หลังคนทั้งสองเบียดเข้ามาแล้ว หลิวเสี่ยวอิงก็วิ่งมาหยุดตรงหน้าไป๋ยี่เฟย รีบประคองไป๋ยี่เฟยขึ้นมา พูดกับป้ารองของเธอว่า “เร็ว!”
ป้ารองของหลิวเสี่ยวอิงดูอายุมากแล้ว หน้าตาคล้ายคลึงกับหลิวเสี่ยวอิงอยู่หลายส่วน สวมกางเกงขาจั๊มตามสมัยนิยมดูทันสมัยอย่างมาก ดูมีเสน่ห์ในแบบของผู้ใหญ่อีกรูปแบบหนึ่ง
เธอดูอาการของไป๋ยี่เฟยก่อน จากนั้นคิ้วก็ขมวดขึ้นมา พูดอย่างเต็มไปด้วยความสงสัยว่า “นี่โขกไปกี่ครั้งกันหน้าผากถึงได้มีสภาพแบบนี้?”
พูดประโยคนี้จบ เธอก็หยิบยาทาสีเขียวบางอย่างออกมาจากกระเป๋าใบเล็กที่ตนเองนำติดตัวมาด้วย แล้วทาลงบนศีรษะไป๋ยี่เฟย
พวกไป๋หยุนเผิงล้อมอยู่ด้านข้างมองดูอย่างเป็นกังวล
หลิวเสี่ยวอิงประคองศีรษะของไป๋ยี่เฟยไว้ และมีท่าทางราวกับกังวลใจอย่างยิ่ง แต่กลับไม่กล้ารบกวนป้ารองของตนเองให้จัดการไป๋ยี่เฟย
เต้าจ่างที่อยู่อีกฝั่งมองไปทางซินชิวพลางถามว่า “อาจารย์ ตอนนี้พวกเรา……”
ซินชิวใช้สายตากวาดมองเขาแวบหนึ่ง กล่าวเสียงเรียบว่า “หยุดเพียงเท่านี้เถอะ”
พูดคำนี้จบก็หมุนกายเดินจากไป
พอเต้าจ่างได้ยินคำนี้ในใจก็ตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง
เป็นเพราะซินชิวกำลังลงให้ไป๋ยี่เฟยขั้นหนึ่ง หรือจะบอกว่าซินชิวกำหนดขั้นบนได้ไว้แล้ว?
ไม่ว่าจะเป็นความเป็นไปได้แบบไหน ในใจเต้าจ่างก็เกิดความกลัวขึ้นมาสายหนึ่งแล้ว ยิ่งกว่านั้นซินชิวก็ไปแล้ว เขาจึงไม่มีความมั่นใจจะฆ่าไป๋ยี่เฟยอีก ดังนั้นไม่จำเป็นต้องรั้งอยู่ที่นี่อีกต่อไป หรือบางทีนี่อาจจะเป็นความบังเอิญอีกอย่างหนึ่ง?
ดังนั้นเต้าจ่างจึงโบกมือทีหนึ่ง “ถอย!”
คนทางฝั่งเต้าจ่างอยากฟังคำนี้นานแล้ว ดังนั้นพอได้ยินประโยคนี้ กระทั่งศพเหล่านั้นที่นอนคว่ำอยู่บนพื้นก็ไม่สนใจแล้ว ทยอยพากันออกไปจากเขตคฤหาสน์
ด้วยเหตุนี้ การสังหารกลุ่มใหญ่ที่เกิดแรงกระเพื่อมไปครึ่งเมืองหลวงฉากนี้ ก็ปิดฉากลงแต่เพียงเท่านี้
แม้การต่อสู้ครั้งใหญ่นี้จะสิ้นสุดลงแล้ว แต่การต่อสู้ครั้งใหญ่ในวันนี้กลับทำให้ไป๋ยี่เฟยมีชื่อเลื่องลือไปทั่วเมืองหลวง
……
หลินขวางสู้มาจนถึงข้างกายไป๋หยุนเผิง “ลุงไป๋”
ไป๋หยุนเผิงมองเขาแวบหนึ่ง ถอนหายใจเล็กน้อย “แม้ฉากหน้านายจะดูเป็นคนตรงไปตรงมา แต่ฉันคิดว่านายน่าจะฉลาดกว่าใคร”
“ต่อไปหากนายมีเรื่องอะไร คิดว่าไป๋ยี่เฟยก็คงเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อช่วยนายเช่นกัน”
หลังหลินขวางได้ยินคำพูดนี้ ก็กะพริบตาปริบๆ จากนั้นก็พูดยิ้มๆ ว่า “ลุงไป๋ คิดว่าที่คุณมาที่นี่ในคืนนี้ ทางตระกูลไป๋คงจะมอบหมายมาสินะ หากคุณยุ่งล่ะก็ ไปก่อนล่วงหน้าก็ได้ ตรงนี้มอบให้ผมจัดการก็พอแล้ว”
“ลำบากนายแล้ว”
หลังไป๋หยุนเผิงพูดคำนี้ ก็ขึ้นรถของตัวเอง แล้วขับออกไปจากที่นี่
หลินขวางมองรถของไป๋หยุนเผิงขับจากไป มุมปากยกขึ้นบางๆ พลางพึมพำว่า “แววตาของลุงไป๋ช่างโหดเหี้ยมจริงๆ แต่ครั้งนี้เหมือนจะมองผิดไป”
เวลานี้จางหัวปินเดินเข้ามา หลินขวางรีบหุบยิ้มทันที หมุนตัวไปพูดกับเขาว่า “ผมเตรียมรถไว้เรียบร้อยแล้ว ส่งพวกคุณกลับโรงแรมก่อน รอพี่ใหญ่ไป๋พ้นขีดอันตรายแล้ว ค่อยเหมาเครื่องบินให้พวกคุณกลับไป”
จางหัวปินรีบกล่าวขอบคุณ “ขอบคุณมากจริงๆ แต่ด้วยนิสัยของไป๋ยี่เฟย เขาไม่มีทางปล่อยพี่น้องตัวเองทิ้งไว้ที่นี่ ดังนั้นอาจยังต้องเตรียมรถอีกสองคัน ขนร่างของพวกพี่น้องกลับไป”
หลินขวางพยักหน้าแล้วหยิบมือถือมาโทรศัพท์
ทุกคนในตอนนี้ต่างคิดว่าเรื่องจบลงแล้ว ทว่ากลับไม่ใช่เช่นนั้น
ฉีฉีไม่อยากกลับไปพร้อมกับคนเหล่านี้ ดังนั้นเธอจึงไปจากที่แห่งนี้เพื่อไปยังที่อีกแห่งหนึ่ง นั่นก็คือทิศทางของโรงจอดรถ
ตอนเธอไปถึงโรงจอดรถ พบว่าด้านนอกโรงจอดรถยังมีรถหลายคันจอดอยู่ และบอดี้การ์ดที่อยู่บนรถถึงกับหลับอยู่ในรถอีกด้วย
ในรถคันที่อยู่ด้านหน้าสุดมีผู้หญิงคนหนึ่งนอนอยู่
ฉีฉีมองแวบเดียวก็มองออก ผู้หญิงคนนี้คือภรรยาของหลี่จู้ ไป๋เจียวลูกพี่ลูกน้องของไป๋ยี่เฟย
แล้วก็เพราะผู้หญิงคนนี้นี่เองที่เกือบจะพรากชีวิตของสวีลั่งไป
ประกายดุร้ายวาบผ่านในดวงตาของฉีฉี
ดังนั้นเธอจึงเดินขึ้นหน้าไปทันทีแล้วใช้เท้าข้างหนึ่งถีบไปที่รถยนต์
“ปึง!”
เกิดเสียงดังขึ้น บอดี้การ์ดที่อยู่ในรถต่างตกใจตื่นกันหมด
ยอดฝีมือระดับที่สามคนนั้นที่อยู่บนรถของไป๋เจียวก็พลอยสะดุ้งตื่นตามไปด้วยเช่นกัน