บอดี้การ์ดสองคนของตระกูลจูรู้จักกับฉางเชี่ยว รู้ว่าคุณชายตาย ถึงต่อให้ฆ่าฉางเชี่ยวไป ก็ไม่มีวิธีรายงานผล ดังนั้นจึงช่วยฉางเชี่ยวแทน”
“คุณชายทางฝั่งตระกูลหูก็ถูกฆ่าเช่นเดียวกัน ข่าวที่ได้รับถูกผู้หญิงคนหนึ่งสกัดไว้ แต่ยังไม่รู้ว่าเป็นใคร”
“ตระกูลฉุงก็จะมาเช่นกัน แต่ถูกท่านหลินรองห้ามไว้”
“แล้วก็ยังมีตระกูลเย่ เดิมเย่เจี่ยก็จะมาเช่นกัน แต่ถูกพ่อนายห้ามไว้ และเพราะเรื่องนี้ ตอนนี้ผู้อาวุโสเหล่านั้นของตระกูลไป๋กำลังตามก่อกวนพ่อนายไม่หยุด แถมยังบอกว่าจะเป็นหัวหน้าตระกูลไป๋เสียใหม่”
“แล้วก็เฉินอ้าวเจียวอาการไม่ร้ายแรงอะไร บาดแผลที่ขาอาจจะต้องรักษาถึงเกือบเดือน”
“จริงสิ ยังมีข่าวดีอีกเรื่อง สายที่โทรมาจากเมืองเทียนเป่ยบอกว่าสวีลั่งฟื้นแล้ว”
ผ่านศึกเมื่อวานเย็นไป ฟ้าสว่างยังไม่นานเท่าไหร่ เลยทำให้ทั้งเมืองหลวงตกสู่ท่ามกลางความเดือดพล่าน
จากนั้นเกือบทุกคนต่างรู้ว่า ที่เมืองเทียนเป่ยมณฑลเป่ยไห่มีเถ้าแก่น้อยคนหนึ่งชื่อว่าไป๋ยี่เฟย เขากับประธานของสหพันธ์ธุรกิจเมืองหลวงผูกพยาบาทต่อกัน เพื่อช่วยลูกน้องของตนจึงสู้กับฝ่ายสหพันธ์ธุรกิจ ไม่เพียงฆ่ารองประธานของสหพันธ์ธุรกิจตาย ยังต่อสู้กับคนของเต้าจ่างและตระกูลมหาเศรษฐีอีกครึ่งเมืองหลวง แถมสุดท้ายยังเอาชนะได้อีกด้วย
เมื่อได้ฟังข่าวเหล่านี้ ก็เป็นที่ฮือฮาของคนทั้งเมืองหลวง
พึงรู้ว่าสหพันธ์ธุรกิจเมืองหลวงอยู่เหนือกว่าสี่ตระกูลใหญ่ ถึงต่อให้เป็นสี่ตระกูลใหญ่ก็ไม่กล้าต่อกรกับสหพันธ์ธุรกิจเมืองหลวงเช่นนี้
ทั่วทั้งเมืองหลวงต่างกำลังวิพากษ์วิจารณ์์ถึงเรื่องนี้
“ให้ตายสิ ทำไมเมื่อก่อนถึงไม่เคยได้ยินชื่อไป๋ยี่เฟยกันนะ?”
“ตอนนี้เขานับเป็นคนมีชื่อเสียงไปแล้ว!”
“เจ๋งเป็นบ้า!”
“ต่อไปไป๋ยี่เฟยก็คือไอดอลของฉัน!”
……
ไม่ว่าคนเหล่านี้จะวิจารณ์หรือเล่าลือไปอย่างไร ก็ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับคนต้นเรื่องมากนัก
ไป๋ยี่เฟยนั่งอยู่บนเตียงคนไข้ หลังฟังรายงานของจางหัวปินจบ ก็เอ่ยปากกล่าวอย่างช้าๆ ว่า “มีแต่ข่าวดีไม่มีข่าวร้ายใช่ไหม?”
จางหัวปินเงียบ
ไป๋ยี่เฟยกล่าวเสียงราบเรียบ “แจ้งข่าวร้ายเถอะ”
จางหัวปินเงียบไปชั่วครู่ จึงถอนหายใจอย่างปลงๆ แล้วกล่าวว่า “ไม่ว่าเรื่องอะไรมักต้องจ่ายค่าตอบแทนเสมอ”
“ไป๋ยี่เฟย เรื่องที่ทำหนนี้ใหญ่โตมาก การยั่วยุสหพันธ์ธุรกิจเมืองหลวง ค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายจึงสูงมากเช่นกัน ฉันหวังว่านายคงจะนึกออกบ้าง”
ไป๋ยี่เฟยไม่ได้เอ่ยอะไร แต่รอจางหัวปินอย่างเงียบๆ เขาแค่อยากฟังข่าวที่ไม่น่าดีใจเหล่านั้นเท่านั้น
จางหัวปินพบเห็นเรื่องราวมามากจึงได้แต่เอ่ยปากพูดว่า “พี่น้องขวางซาตายไปสิบคน”
“หมอหนิว ยื้อชีวิตไว้ไม่ได้”
“มือคู่นั้นของลูกชายเขาเข้ารับการผ่าตัดแล้ว คนส่วนใหญ่รับกลับไปแต่ต่อไปคงไม่อาจใช้นิ้วได้เหมือนเดิม”
“แต่คนไม่เป็นไรแล้วก็ดี ต่อไปพวกเราสามารถหา……”
จางหัวปินยังพูดไม่ทันจบ จู่ๆ ไป๋ยี่เฟยก็พูดขัดจังหวะเขา “ฉันอยากอยู่คนเดียวเงียบๆ”
จางหัวปินชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็พยักหน้าแล้วเดินออกไปจากห้อง
ในห้องเหลือเพียงไป๋ยี่เฟยอยู่คนเดียว เขานั่งพิงเตียง กำสองมือไว้แน่น ทั้งตัวสั่นระริก
ตอนนี้เขาแทบจะไม่รู้แล้วว่าจุดประสงค์ที่ตนเองมาเมืองหลวงหนนี้คืออะไร และไม่รู้ว่าเป็นเรื่องผิดหรือถูกที่มา
แต่ทางฝั่งเขาสูญเสียพี่น้องไปมากขนาดนี้ เขารู้สึกผิด
ไป๋ยี่เฟยลอบแค้นใจ
ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้?
เดิมทีเขาคิดเพียงอยากจะหาสถานที่ที่เงียบสงบสักที่ ไม่ยุ่งเกี่ยวสิ่งใดอีก กลับกลายเป็นว่ายิ่งถลำลึกลงเรื่อยๆ อยากจะดึงก็ดึงไม่ออก หากดึงออกมาล่ะก็ พี่น้องที่ตายไปเหล่านี้ก็ต้องตายเปล่าไม่ใช่หรือ?
เวลานี้ฉีฉีก็เข้ามา
ดวงตาของไป๋ยี่เฟยถูกผ้าพันไว้ เขามองไม่เห็นว่าคนที่มาเป็นใคร แต่ฟังจากเสียงฝีเท้าแล้วเขาก็จำได้ จึงถอนหายใจอย่างจนปัญญาพลางพูดว่า “ฉันขออยู่คนเดียวเงียบๆ ไม่ได้เหรอ?”
ฉีฉีกลับทำสีหน้าเย็นชา แค่นเสียงเย็น “ทำไมนายไม่ละอายใจต่อหลี่เสว่ ถึงกับคบกับดาราดัง?”
“ดาราดัง?” ไป๋ยี่เฟยทำหน้างง
ฉีฉียิ้มเยาะพลางกล่าวว่า “ฟางหยัน นั่นเป็นเซเลปแถวหน้าเชียวนะ แถมชาวเน็ตยังบอกอีกว่าเป็นสาวหน้าหยกด้วยล่ะ!”
พอได้ยินชื่อฟางหยัน ไป๋ยี่เฟยก็นึกออกขึ้นมา
แต่คำเรียกสาวหน้าหยกนี้ใช้กับฟางหยันดูเกินจริงไปหน่อย เพราะอย่างไรเขาก็เคยประจักษ์ว่าฟางหยันเมื่ออยู่เบื้องหลังเป็นคนยังไง
ไป๋ยี่เฟยถามเธออย่างแปลกใจ “เธอรู้ได้ยังไง?”
“เฮ้ ไม่ถูกสิ ใครคบหล่อนกัน?”
ฉีฉีแค่นหัวเราะ “ฉันพบหล่อนตอนอยู่ในบ้านซุนหมิงเจี้ยน ตอนนี้เจ้าหล่อนถูกคนของนายเฝ้าอยู่ อ้อ ยังมีลูกพี่ลูกน้องนายอีกคน”
ไป๋ยี่เฟยกะพริบตา พูดอย่างไม่เชื่ออยู่บ้าง “ไป๋เจียว?”
“ถูกต้อง”
ไป๋ยี่เฟยชะงักไปอย่างเห็นได้ชัด ถามอย่างไม่เข้าใจว่า “เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับไป๋เจียว?”
ดังนั้นฉีฉีจึงเล่าเรื่องของไป๋เจียวเมื่อเย็นวานให้เขาฟังเที่ยวหนึ่ง แล้วถามเขาอีกว่า “นายคิดจะจัดการยังไง?”
ไป๋ยี่เฟยเข้าใจความหมายของฉีฉีทันที ตอนนั้นเป็นเพราะไป๋เจียว ถึงทำให้สวีลั่งเกือบตาย ดังนันในใจของฉีฉีจะต้องจดจำความแค้นไว้อย่างแน่นอน
ทว่าไป๋ยี่เฟยในเวลานี้คิดถึงปัญหาอีกอย่างหนึ่ง “เมื่อเย็นวานทำไมเธอถึงไม่บอกความลับนั่นกับอาจารย์เธอ?”
ฉีฉีถลึงตาใส่ไป๋ยี่เฟยแวบหนึ่ง ไม่ได้ตอบคำถามเขา แต่ยกหมัดเล็กๆ ของตนเองขึ้นมาไกวไปมาสองหน จากนั้นก็แค่นเสียงออกมา เดินออกจากห้องผู้ป่วยไป
รอจนตอนที่ฉีฉีเดินไปถึงข้างประตู ไป๋ยี่เฟยก็ถามขึ้นมากะทันหันว่า “จะไปแล้วเหรอ?”
ฉีฉีไม่ได้สนใจเขา เปิดประตูห้องจะก้าวออกไป ไป๋ยี่เฟยก็เอ่ยขึ้นทันทีว่า “พี่ชายเธอฟื้นแล้วนะ”
ฉีฉีนิ่งไปทันที จากนั้นก็ตอบเสียงราบเรียบว่า “รู้แล้ว”
หลังพูดจบก็เดินจากไปจริงๆ
พลัดพรากจากกันมาตั้งหลายปีขนาดนี้ได้กลับมาเจอกันใหม่อีกครั้งคงจะตื่นเต้นเป็นแน่ แต่หลังจากที่ตื่นเต้นไปแล้ว กลับต้องมาคิดว่าควรจะเผชิญหน้ากันยังไง
ดังนั้นไป๋ยี่เฟยจึงเข้าใจจิตใจของฉีฉีเป็นอย่างดี เอ่ยเสียงเบาว่า “ทุกอย่างจะดีขึ้นเอง”
……
“ขออภัยไม่อาจเข้าไปได้”
“หลีกทางให้ฉัน!”
“ขออภัย คุณไม่อาจเข้าไปได้จริงๆ”
“ฉันบอกให้หลีกไปไง รู้ไหมว่าฉันเป็นใคร ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่ไหม?”
“ใครก็เข้าไปไม่ได้ทั้งนั้น!”
“แม่งเอ๊ย รนหาที่ตาย!”
“ปึง!”
“……”
ไป๋ยี่เฟยคิดว่าในที่สุดก็ได้อยู่คนเดียวเงียบๆ เสียที แต่ด้านนอกประตูกลับเกิดเสียงดังรบกวนขึ้น อีกทั้งยังเกิดการต่อสู้ขึ้นด้วย
จู่ๆ คนชุดดำขององค์กรขวางซาคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามา เพื่อคุ้มครองไป๋ยี่เฟย
ไป๋ยี่เฟยรีบถามทันที “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
คนชุดดำคนนั้นบอกว่า “มีคนบอกว่าเป็นลุงของคุณ ต้องการจะบุกเข้ามาหาคุณเพื่อคิดบัญชีให้ได้ พวกเราไม่ให้เขาเข้า ก็เลยสู้กับพวกเรา คนที่เขาพามาร้ายกาจมาก พวกเราไม่ใช่คู่มือเขาเลย”
การปะทะกับคนที่เรียกตัวเองว่าลุงของไป๋ยี่เฟย ไม่ว่าคนของอีกฝ่ายจะใช่คู่มือหรือไม่ คนชุดดำเหล่านี้คงไม่มีทางทำร้ายอีกฝ่ายอย่างแท้จริง
“ปัง!”
ประตูถูกคนถีบเปิดจากด้านนอก กระแทกกับกำแพง
จากนั้นคนกลุ่มใหญ่ก็บุกเข้ามาในห้องผู้ป่วย
“ปัง!”
คนชุดดำคนหนึ่งถูกโยนลงบนพื้น น่าจะเป็นคนที่ขวางอยู่หน้าประตูก่อนหน้านี้
พอเห็นฉากนี้เข้า ใจของไป๋ยี่เฟย พลันสั่นขึ้นมาทันที แต่สีหน้าเขากลับไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากเท่าไหร่นัก ถามอย่างนิ่งเรียบว่า “พวกคุณเป็นใคร?”
คนคนนั้นที่บอกว่าเป็นลุงของไป๋ยี่เฟยยืนอยู่ด้านหน้าสุด น้ำเสียงเขาหยาบคายอย่างมาก “แกคือไป๋ยี่เฟย?”
ไป๋ยี่เฟยพยักหน้า “ใช่แล้ว แล้วคุณคือ?”
คนคนนั้นกล่าวด้วยใบหน้าเคร่งขรึมว่า “ฉันคือลุงของเธอ ไป๋เฟยหลง”