ไป๋ยี่เฟยไม่ได้สนใจฟางหยัน แต่อยู่ดีๆคุกเข่าอยู่ต่หน้าป้ายศิลาหน้าหลุมฝังศพ ทั้งสองมือปิดหน้าตนเองไว้ ร่างกายสั่นระริกไม่หยุด
ฟางหยันอึ้งชะงักจ้องมองไป๋ยี่เฟย ในเวลานี้เธอจึงรู้สึกถึงอย่างแท้จริง เหมือนดั่งไป๋ยี่เฟยที่แสดงให้เห็นว่าเงินไม่สามารถใช้สารพัดประโยชน์จริงๆ
มองสภาพในปัจจุบันนี้ของไป๋ยี่เฟยอีก ทำให้เธอรู้สึกไร้เรี่ยวแรงมากอย่างแปลกประหลาด
ตอนที่พบเจอกับไป๋ยี่เฟยในตอนแรก เขากำลังถือมีดเล่มหนึ่งกับชายวัยกลางคนคนหนึ่งเข่นฆ่ากันกับคนกลุ่มหนึ่ง
พบเจอกับเขาอีกครั้ง คือชกแชมป์เทควันโดคนหนึ่งเกือบตาย
เรื่องของทั้งสองครั้ง ใบหน้าเขาล้วนไร้สีหน้าอย่างนั้น ถ้าเป็นคนดูแล้วล้วนรู้สึกว่าเขาเป็นลูกผู้ชายคนหนึ่ง! ชายแท้ๆ!
แต่ภาพด้านหลังของเขาในตอนนี้ปรากฏให้เห็นความโศกเศร้ากับหมดหนทางขนาดนั้น
อยู่ดีๆฟางหยันนึกถึงญาติของตนเอง
เธอไม่หวาดกลัวอีกแล้ว ค่อยๆนั่งลงยองๆยื่นมือออกไปตบหลังของไป๋ยี่เฟยตบแล้วตบอีก “ขอโทษ ฉันไม่รู้…..”
อยู่ดีๆไป๋ยี่เฟยเงยหน้าขึ้นฟ้าร้องตะโกนเสียงหนึ่ง
“อ่า!”
เสียงเสียงนี้ทำให้ฟางหยันตื่นตกใจหนึ่งที กลับยิ่งทำให้ฟางหยันเจ็บปวดใจมากขึ้น
โมโหร้องตะโกนเสียงนี้ แฝงไว้ด้วยการดิ้นรนที่หมดหนทางกับความโศกาอาดูรที่สุดขีด
ไป๋ยี่เฟยร้องไห้แล้ว ร้องไห้จนใจฉีกปอดขาด
ฟางหยันอึ้งชะงักก่อนหนึ่งที จากนั้นก็ค่อยๆใช้มือข้างนั้นของเธอลูบหลังของไป๋ยี่เฟยเบาๆ ปลอบโยนเขาอย่างไร้เสียง
ไป๋ยี่เฟยร้องไห้นานมาก
เขาไม่รู้ว่าตนเองทำไมจะต้องร้องไห้ออกมาอยู่ต่อหน้าคนนอกคนหนึ่ง อาจจะไม่อยากทำให้หลี่เสว่เป็นห่วง ไม่อยากทำให้คนที่ห่วงใยเขาเหล่านั้นเป็นห่วง ดังนั้นอยู่ต่อหน้าคนที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเขาเท่าไหร่คนนี้เขาระบายออกมาแล้ว
เขาต้องการระบายจริงๆ อีกทั้งก็ต้องการมีคนคนหนึ่งระบายอยู่เป็นเพื่อนกับเขา แต่เขาไม่หวังว่าคนที่อยู่เป็นเพื่อนกับเขาคนนี้เสียใจด้วยกันกับเขา
ในเวลานี้พอดีก็ได้พบเจอกับฟางหยัน เธอเป็นคนที่เหมาะสมที่สุด
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานขนาดไหน ไป๋ยี่เฟยร้องไห้จนเหนื่อยแล้ว
อยู่ดีๆฟางหยันก็มองเห็นไป๋ยี่เฟยนอนลงไปข้างๆนี้ของตนเอง พิงอยู่บนไหล่ของเธอ
ฟางหยันอึ้งชะงักไปหนึ่งที จากนั้นจึงพบเห็น ไป๋ยี่เฟยถึงขนาดร้องไห้ไปร้องไห้มานอนหลับเลย
ใช่สิ ไป๋ยี่เฟยเหนื่อยเกินไปแล้ว ไม่เพียงแค่ร่างกายเหนื่อย ใจก็เหนื่อยด้วย
ฟางหยันไม่ได้ขยับ ก็ให้เขาพิงตนเองอยู่อย่างนี้
ค่อยๆเข้าสู่กลางดึกแล้ว เริ่มมีลมแล้ว แน่นอนย่อมรู้สึกว่ามีความหนาวเล็กน้อย แต่กลับไม่ได้เรียกไป๋ยี่เฟยตื่น
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานขนาดไหน อยู่ดีๆมีเสียงเสียงหนึ่งโผล่ออกมา
“สาวน้อย ขอบคุณ”
“ถ้าหากว่าเขาไม่ร้องไห้ออกมาอีก ผลลัพธ์ยากที่จะจินตนาการ”
“ดังนั้นขอบคุณ”
ที่นี่เป็นสุสานนะ ล้วนเป็นหลุมฝังศพ อีกทั้งตอนนี้ใกล้จะเช้ามืดแล้ว ทุกที่ล้วนมืดตึดตืออยู่ นอกจากฟางหยันกับไป๋ยี่เฟยคนอะไรล้วนไม่มี
อยู่ดีๆเสียงที่โผล่ออกมาทำให้ฟางหยันตกใจจนเกือบร้องตะโกน
ฟางหยันหันไปมองหนึ่งทีอย่างกะทันหัน ทันใดนั้นสีหน้าก็ซีดขาวแล้ว
หลี่เฉียงตงเดินออกมาจากความมืด ฟางหยันตกใจจนสั่นริกๆ “คุณเป็นคนหรือเป็นผี?”
หลี่เฉียงตงอมยิ้มหนึ่งทีพูดว่า “ผมเป็นคน”
จากนั้นหลี่เฉียงตง นั่งยองๆลงกดจุดอยู่ลำคอของไป๋ยี่เฟยหนึ่งที ทำให้ไป๋ยี่เฟยนอนหลับสนิทกว่านี้อีก
ฟางหยันกลั้นหายใจไว้ ร่างกายแข็งทื่อมาก
หลี่เฉียงตงกลับเอ่ยปากเบาๆว่า “ตั้งแต่เล็กจนโตเขามีชีวิตประคับประคองกันมากับน้องสาว แม้ว่าพวกเขาไม่มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือด แต่ว่าความผูกพันของพวกเขายังแรงกว่าพ่อแม่แท้ๆ”
“เขาอยากทำให้น้องสาวของตนเองมีชีวิตที่ดี สิ่งที่น่าเสียดายคือตอนนี้เขามีความสามารถนี้แล้ว น้องสาวกลับจากไปเลย”
“ตั้งแต่น้องสาวเขาจากไปจนถึงเมื่อกี้ตลอดเวลาเขาล้วนไม่เคยร้องไห้”
“สาเหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะว่าโศกเศร้าถึงขีดสุดแล้ว และอาจจะเพราะเขายังไม่เชื่อว่าน้องสาวไปแล้ว”
“แต่ว่าอารมณ์ของคนเก็บค้างไว้นานไม่ได้ ถ้าเก็บค้างไว้นาน ก็จะบดขยี้คนไป”
“ดังนั้นขอบคุณมากจริงๆ ทำให้เขาร้องไห้ออกมา”
จากนั้นหลี่เฉียงตงดึงไป๋ยี่เฟยเข้ามาแบกไว้บนหลังของตนเอง
ฟางหยันได้ยินคำพูดเหล่านี้อารมณ์สลับซับซ้อน กลับไม่มีความหวาดกลัวเหล่านั้นอย่างเมื่อกี้แล้ว
ฟางหยันเป็นดาราคนหนึ่ง มีการแสดง มีความเห็นอกเห็นใจที่แข็งแกร่งมาก ดังนั้นคำพูดเมื่อกี้เหล่านั้นชั่วพริบตาก็ทำให้เขาเข้าใจถึงความโศกเศร้าที่สุดขีดแบบนั้นของไป๋ยี่เฟยเลย อดไม่ไหวที่จะขอบตาแดง
“งั้นคุณเป็นใครหรือ? เกี่ยวข้องอะไรกับเขาหรือ? จะทำร้ายเขาหรือไม่?” ฟางหยันเงยหน้าไปถามหลี่เฉียงตง
หลี่เฉียงตงอมยิ้มหนึ่งทีพูดกับฟางหยันว่า “ผมจะไม่ทำร้ายเขา”
“สำหรับสถานะของผมกับความเกี่ยวข้องกับเขา ผมคิดว่าคุณไม่อยากรู้”
พูดจบคำนี้ก็เดินออกไปเลย
ฟางหยันอึ้งชะงักไปนานมาก จนถึงลมพัดเย็นนิดๆพัดเข้ามา เธอขนลุกขึ้นมาฉับพลันในทันที ตกใจจนลุกขึ้นมาทันที ก็ไม่สนว่าขาของตนเองชาหรือไม่รีบเดินออกจากสุสาน
……
ตอนที่ไป๋ยี่เฟยตื่นขึ้นมาเป็นตอนกลางวันแล้ว หลี่เสว่อยู่ข้างเตียงกำลังหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งให้เขาเช็ดหน้า
ไป๋ยี่เฟยจ้องมองหลี่เสว่จ้องมองแล้วจ้องมองอีก จากนั้นจับมือของเธอไว้ ยิ้มพูดว่า “ลำบากคุณแล้ว”
หลี่เสว่ส่ายหัวเล็กน้อย “ฉันทำอาหารเช้าเสร็จแล้ว”
หลังจากไป๋ยี่เฟยตื่นแล้วไปกินอาหารเช้ากับหลี่เสว่ด้วยกัน
สำหรับเรื่องเมื่อคืน พวกเขาใครล้วนไม่ได้เอ่ยอีกสักคำ
เพียงแค่กินไปเรื่อยๆ อยู่ดีๆหลี่เสว่ลุกขึ้นมา พุ่งเข้าไปในห้องน้ำ
“อ้วก…..”
ไป๋ยี่เฟยตกใจจนรีบตามเข้าไป ทั้งลูบหลังของเธอเบาๆ ทั้งถามว่า “ตกลงว่าเป็นยังไงแล้วล่ะ? เมื่อวานคุณก็เป็นอย่างนี้ กระเพาะไม่สบายหรือ?”
หลี่เสว่หยุดการอาเจียนเป็นเวลาชั่วคราว ใช้น้ำบ้วนปากบ้วนแล้วบ้วนอีก พูดอย่างอ่อนแอว่า “อาจจะใช่มั้ง”
ไป๋ยี่เฟยกลับไม่วางใจ “ไม่ได้ พวกเราจำเป็นต้องไปโรงพยาบาลตรวจเช็คสักหน่อย”
หลี่เสว่พยักหน้าแล้วพยักหน้าอีก เพิ่งอยากจะพูดอะไร อ๊อดของบ้านพวกเขาก็ถูกกดดังขึ้นแล้ว
ไป๋ยี่เฟยไปเปิดประตูก่อน พบเห็นเป็นคนส่งพัสดุคนหนึ่ง เขาส่งพัสดุชิ้นหนึ่งให้กับไป๋ยี่เฟย “เป็นนายไป๋หรือเปล่า? นี่คือพัสดุของท่าน เชิญเซนต์รับ”
หลังจากไป๋ยี่เฟยเซนต์รับแล้วพูดขอบคุณกับคนคนนั้นคำหนึ่ง จากนั้นปิดประตูถือพัสดุเข้ามา
หลี่เสว่เดินเข้ามาอยากรู้อยากเห็นถามว่า “คุณซื้อของแล้วหรือ?”
ไป๋ยี่เฟยหยุดชะงักหนึ่งที “ผมคิดว่าเป็นคุณซื้อ”
หลี่เสว่ส่ายหัว “ฉันไม่ได้ซื้อ!”
ทั้งสองคนสบตากันหนึ่งที มองเห็นความสงสัยงงงวยที่อยู่นัยน์ตากันและกัน จากนั้นแกะพัสดุออกด้วยกัน
และหลังจากรอจนแกะพัสดุออกแล้ว ชั่วพริบตาเดียวไป๋ยี่เฟยเบิกตาโพลงทั้งคู่ กำกำปั้นของตนเองอย่างแน่น และสีหน้าของหลี่เสว่ ซีดขาวทันทีเลย
ความโมโหแบบอยากที่จะอธิบาย วิ่งวนอยู่ในใจไป๋ยี่เฟย
ในพัสดุเป็นตุ๊กตา แต่คอของตุ๊กตาถูกกรีดออกโผล่นุ่นสีขาวที่อยู่ข้างในออกมา และอยู่บนกายตุ๊กตายังติดตัวหนังสือว่ายินดีตัวใหญ่ๆไว้
ความหมายของตุ๊กตาตัวนี้เห็นได้ชัดมาก ก็คือบอกว่าน้องสาวของไป๋ยี่เฟยตายแล้ว ขอแสดงความยินดีกับเขา
คนที่ส่งพัสดุนี้ใช้ใจเหี้ยมโหดจริงๆ
หลี่เสว่จ้องมองไป๋ยี่เฟยที่มีความโมโหล้นฟ้าหนึ่งที เป็นห่วงเหลือเกิน
จากนั้นมือถือของไป๋ยี่เฟยดังขึ้นแล้ว ไป๋ยี่เฟยไม่เอ่ยอะไรรับสายขึ้นมา แต่ว่านัยน์ตากวาดผ่านความอาฆาตที่เย็นชาหนึ่งที
“ไป๋ยี่เฟยอ่า ขอแสดงความยินดีด้วยจริงๆ ขอแสดงความยินดีกับคุณ น้องสาวตายแล้ว ก็ได้หลุดพ้นภาระอย่างหนึ่งแล้ว! ฮ่าฮ่า…..”
เสียงที่อยู่ในโทรศัพท์ผ่านการดัดแปลงแล้ว ใช้เครื่องดัดเสียง ฟังไม่ออกว่าเป็นใคร
แต่ประโยคนี้ทำให้ไป๋ยี่เฟยยิ่งโมโหมาก ดูเหมือนวินาทีถัดมาความโมโหที่ลุ้นฟ้าก็จะระเบิด
ฝั่งตรงข้ามพูดเพียงแค่ประโยคนี้ ก็วางสายอย่างเด็ดขาด
ไป๋ยี่เฟยหยิบมือถือออกจากประตูไปบ้านจางหัวปิน
“สืบหาเบอร์นี้”
ไป๋ยี่เฟยโทรกลับอีกครั้ง แต่ว่าโทรไม่ติดแล้ว