จางหัวปินสืบหาสักหน่อย ขมวดคิ้วเล็กน้อยพูดว่า “นี่เป็นเบอร์ที่ถูกดัดแปลงแล้ว ไม่สามารถสืบหาตำแหน่งที่ตั้งที่แม่นยำได้ แต่ว่า……”
“แต่ว่าอะไรล่ะ?”
“ถึงแม้ว่าจะสืบหาตำแหน่งที่แน่นอนไม่ได้ แต่สามารถรู้ได้คร่าวๆว่าเบอร์นี้มาจากเมืองหลวง” จางหัวปินตอบกลับ
ไป๋ยี่เฟยได้ยินคำพูดพยักหน้าต่อๆกันพูดว่า “พอแล้ว”
เพียงแค่จุดนี้ก็เพียงพอแล้ว
คนบางคน เรื่องบางเรื่อง เขาล้วนต้องไปจัดการ
และความแค้นบางความแค้น เขาจำเป็นต้องไปแก้แค้น!
ไป๋ยี่เฟยหัวเราะเย็นชาเสียงหนึ่ง “ตกลงว่าเป็นคนกลุ่มไหน? เพียงแค่ผมไป ก็จะเปิดโปงความจริงออกมาอย่างแน่นอน!”
จางหัวปินเห็นแบบนี้พยักหน้าต่อๆกัน “งั้นผมไปเตรียมตัวสักหน่อย”
ความหมายของไป๋ยี่เฟยคือเขาต้องไปจัดการคนเหล่านี้ที่เมืองหลวง ดังนั้นจางหัวปินก็จะลุกขึ้นไปเตรียมตัว
แต่ว่าไป๋ยี่เฟยส่ายหัวพูดว่า “คราวนี้คุณไม่ต้องตามไป”
จางหัวปิน สวีลั่ง เฉินห้าว พวกเขาในตอนนี้ตั้งเนื้อตั้งตัวมีครอบครัวอยู่ในเมืองเทียนเป่ยแล้ว
ดังนั้นไป๋ยี่เฟยไม่ได้คิดว่าจะพาพวกเขาไปเลย อีกทั้งคราวนี้ไปเมืองหลวงไม่ใช่แค่กี่วันก็จะกลับมาได้ ถ้าหากพบเจอกับความอันตรายอะไรอีก จะบอกกับคนในบ้านของพวกเขาได้ยังไงล่ะ?
มีการตัดสินใจแบบนี้ ไป๋ยี่เฟยกลับถึงบ้านก็เลยปรึกษาหารือกับหลี่เสว่ออกมา
แต่ว่าเขาเพียงแค่พูดว่ามีเรื่องจะคุยกับหลี่เสว่ จากนั้นก็ไม่ได้พูดสักคำ ครุ่นคิดอยู่ในห้องนอน
หลี่เสว่นั่งอยู่บนโซฟาจ้องมองเขาอย่างเงียบๆ
แท้ที่จริงไป๋ยี่เฟยกำลังคิดว่าควรจะพูดกับหลี่เสว่ยังไง ถึงยังไงก่อนหน้านั้นไม่นานเขาเพิ่งพูดว่าจะหลีกห่างจากการโต้แย้งเหล่านี้ หลบซ่อนไว้ผ่านชีวิตของตนเอง แต่ตอนนี้ก็จะเปลี่ยนใจอีกแล้ว นี่คือกำลังตบหน้าตนเองอยู่ เขาไม่รู้ว่าควรจะพูดยังไง
พัสดุที่ได้รับเมื่อกี้นั้น เพียงแค่สาเหตุบางส่วนที่ทำการตัดสินใจแบบนี้ แต่ไม่ใช่สาเหตุที่สำคัญที่สุด
สาเหตุที่สำคัญที่สุดก็คือเนื่องเพราะเต้าจ่างรู้ว่าไป๋ยี่เฟยย่อมรู้ข่าวของทองคำชุดนั้นอย่างแน่นอน ดังนั้นถึงแม้ว่าเขาคิดอยากจะหลีกห่างเต้าจ่าง ก็จะไม่สมปรารถนาของเขาเช่นกัน
หลี่เสว่มองไปสักพัก จากนั้นเอ่ยปากพูดก่อนว่า “สามีจ๋า ฉันเคยพูดไว้แล้ว ไม่ว่าคุณทำอะไร ฉันล้วนสนับสนุนคุณ”
ไป๋ยี่เฟยได้ยินคำพูดถอนหายใจหนึ่งทีอย่างจนใจพูดว่า “ภรรยาจ๋า หลายปีที่ผ่านมานี้ผมไม่เคยเสาะหาอะไรโดยอัตโนมัติ นอกเหนือเพียงแค่คุณ”
หลี่เสว่พยักหน้าเล็กน้อย กอดไป๋ยี่เฟยไว้เบาๆ “ฉันรู้”
ไป๋ยี่เฟยก็กอดหลี่เสว่ไว้เช่นกัน พูดเสียงเข้มว่า “ทั้งที่ผมไม่เสาะหาอะไรคนเหล่านี้กลับบีบบังคับผมไป ดังนั้นผมก็คิดว่า ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นผมก็ไปเสาะหา ผมก็ไปทำ!”
“ไป๋เซี่ยวไม่อยากให้ผมไปเมืองหลวง ผมก็จะตั้งใจไปเมืองหลวงให้ได้!”
“เต้าจ่างอยากจะรู้ความลับของถ้ำทองคำ ผมก็จงใจที่จะไม่บอกเขา ยังจะทำให้เขาหุบปากตลอดกาล!”
“คนเหล่านั้นที่อยากจะทำให้ผมตาย งั้นผมก็อยู่อย่างสงบสุขให้ได้! ทำให้พวกเขาเห็นว่าผมอยู่อย่างสง่างามขนาดไหน!”
“แต่ว่าสิ่งเหล่านี้ดูเหมือนล้วนมีผู้ช่วยคนหนึ่งแน่ เขากำลังยุให้ความขัดแย้งของผมกับคนเหล่านี้อยู่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นผมก็เดินตามทางของเขา ผมจะเหยียบคนเหล่านี้ทั้งหมดอยู่ใต้เท้าทีละคนทีละคน ผมจะดูว่า เขายังจะสร้างศัตรูให้ผมยังไง!”
“ภรรยาจ๋า ผมอยากจะมุมานะพยายามให้ได้!”
หลี่เสว่ได้ยินคำพูดของเขา เงียบไปนานมาก
ไป๋ยี่เฟยก็คิดว่าหลี่เสว่กำลังลำบากใจอยู่ เป็นห่วงอยู่ อีกทั้งคิดว่าหลี่เสว่จะเกลี้ยกล่อมตนเอง
แต่ว่าหลี่เสว่ไม่มี
เธอเพียงแค่พยักหน้าพูดว่า “ได้ คุณทำอะไรฉันล้วนอยู่เคียงข้างคุณ”
ทันใดนั้นไป๋ยี่เฟยโล่งอกหนึ่งที นี่ง่ายกว่าที่เขาจินตนาการ แต่เขากลับมองข้ามสายตาที่มั่นคงยืนหยัดขนาดนี้ของหลี่เสว่ในตอนนี้
และตอนนี้ในเมื่อพวกเขาตัดสินใจจะไปเมืองหลวงแล้ว งั้นก่อนที่จะไปยังมีเรื่องมากมายต้องวางแผนให้ดีๆ
ไป๋ยี่เฟยจะมอบเฟยเสว่กรุ๊ปให้หวังโหลวรับผิดชอบ
จากนั้นจดทะเบียนห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งอยู่ภายใต้ชื่อสวีลั่ง
ตอนที่ห้างสรรพสินค้าเปิดกิจการ ไป๋ยี่เฟยตั้งใจให้สวีลั่งสวมใส่ชุดสูท สวีลั่งล้วนไม่เป็นธรรมชาติมากทั้งตัว
ในเวลานี้พวกเขากำลังยืนหมอบอยู่ที่ราวบนชั้นห้าของห้างสรรพสินค้า จ้องมองความคึกคักในการเปิดกิจการอยู่ข้างล่าง
ไป๋ยี่เฟยถามว่า “เจอกับฉีฉีหรือยัง?”
สวีลั่งส่ายหัวเล็กน้อย บนใบหน้าไม่มีสีหน้าอะไร “เธอดูเหมือนไม่ยอมเจอกับผม”
“คุณล่ะ? มีความคิดอะไรหรือ?” ไป๋ยี่เฟยถามอีก
สวีลั่งหันไปจ้องมองไป๋ยี่เฟยยิ้มแล้วยิ้มอีกพูดว่า “เพียงแค่รู้ว่าเธอไม่เป็นไร ผมก็วางใจแล้ว”
“พ่อ!”
เสียงเรียกเสียงหนึ่ง ส่งมาจากที่อยู่ไม่ไกล
หยางเฉียวกำลังพาหลี่โย่วเซิงที่พายกระเป๋าหนังสือไว้เดินเข้ามา หลี่โย่วเซิงดีใจอย่างมาก พุ่งเข้าไปในอ้อมอกของสวีลั่ง ตื่นเต้นดีอกดีใจอย่างมากพูดว่า “แม่บอกว่าห้างสรรพสินค้าแห่งนี้วันหลังจะเป็นของพวกเราแล้ว จริงๆหรือ?”
สวีลั่งลูบหัวของลูกชายลูบแล้วลูบอีก จ้องมองไปยังหยางเฉียว
หยางเฉียวพยักหน้าเล็กน้อย แต่ว่ายังมีความเขินอายเล็กน้อย
“โย่วเซิงสอบได้สิบอันดับแรกของชั้น ฉันบอกว่าจะให้ความแปลกใจและดีใจกับเขาสักอย่าง ดังนั้นจึง……”
“อืม ดีมาก” สวีลั่งเห็นแล้วดีใจมาก แม้ว่ายิ้มอย่างเห็นไม่ได้ชัด แต่กลับเป็นรอยยิ้มที่แฝงไว้ด้วยความสัตย์ซื่อจริงใจ ภาพอย่างนี้ทำให้ไป๋ยี่เฟยรู้สึกอิจฉาอย่างมาก
จากนั้นไป๋ยี่เฟยก็รู้สึกว่าตนเองเป็นส่วนเกิน และอยู่ในเวลานี้เขาก็เข้าใจแล้วเช่นกัน ฉีฉีทำไมไม่มาเจอสวีลั่งเลย
ไป๋ยี่เฟยตบไหล่ของสวีลั่งตบแล้วตบอีกยิ้มพูดว่า “ผมยังมีธุระต้องไปก่อนแล้ว”
ไป๋ยี่เฟยหมุนตัวไปยังลิฟต์ สวีลั่งตามเข้าไป “คุณจะไปเมืองหลวงแล้วหรือ?”
“คุณได้ยินมาจากไหน?” ไป๋ยี่เฟยยิ้มถาม
สวีลั่งตอบกลับว่า “เป็นสัญชาตญาณของผม”
ไป๋ยี่เฟยยิ้มชกสวีลั่งหนึ่งที “ผู้หญิงจึงจะอาศัยสัญชาตญาณ คุณอาศัยสัญชาตญาณอะไรล่ะ?”
ลิฟต์มาแล้ว ไป๋ยี่เฟยเดินเข้าไป จากนั้นโบกมือแล้วโบกมืออีกกับสวีลั่ง ประตูลิฟต์ค่อยๆปิดลง เลื่อนลงไปข้างล่าง
ในลิฟต์ อยู่ดีๆไป๋ยี่เฟยพูดไปคำหนึ่งว่า “ผมรู้ คุณไม่อยากทำร้ายชีวิตสงบสุขที่ได้มายากของพี่ชายคุณ”
“รู้เหี้ยอะไร!”
อยู่ในมุมของลิฟต์ส่งเสียงฉีฉีออกมา
ฉีฉีหลบอยู่ในมุมของลิฟต์มาโดยตลอด สวีลั่งไม่ได้เห็นฉีฉีเลย
ไป๋ยี่เฟยจ้องมองเธอหนึ่งที พูดเบาๆว่า “ก็เด็กเมื่อวานซืนอย่างคุณนี่ ยังจะปิดบังผมได้หรือ?”
ฉีฉีได้ยินว่าตนเองถูกเรียกว่าเด็กเมื่อวานซืน ทันใดนั้นโมโหขึ้นมา โดยจิตใต้สำนึกก็จะยกเท้าของเธอไปเตะไป๋ยี่เฟย
ไป๋ยี่เฟยหลบไปข้างๆทันที “ผมผิดแล้วได้ไหมล่ะ? ผมขอโทษกับคุณ”
เห็นแบบนี้ฉีฉี ฮึ เย็นชาเสียงหนึ่ง ยังเหลือบมองไป๋ยี่เฟยหนึ่งที
ลิฟต์ลงไปถึงชั้นใต้ดิน อยู่ตอนที่ที่ประตูใกล้จะเปิดออก อยู่ดีๆไป๋ยี่เฟยพูดว่า “คุณอาจจะไม่รบกวนความสงบสุขของพี่คุณเลย”
“คุณอาจจะเป็นส่วนหนึ่งในความสงบสุขด้วยเช่นกัน”
ฉีฉีนิ่งอึ้งไปแล้ว
ประตูลิฟต์เปิดออก ไป๋ยี่เฟยเดินไปยังข้างนอก ทั้งยังพูดว่า “ยังคิดไม่ออกล่ะก็ค่อยๆคิด แต่อย่าคิดนานเกินไป ถึงยังไงทั้งชีวิตของคนก็แค่สิบกว่าปีเท่านั้นเอง พลาดไปแล้ว ก็ไม่มีแล้วอยากจะชดเชยกลับมาอีกก็ไม่ทันแล้วเช่นกัน”
ฉีฉีอึ้งชะงักอยู่กับที่ อีกทั้งเดินออกจากลิฟต์
คำพูดนี้ที่ไหนจะไม่ใช่พูดกับตัวเธอเองล่ะ ก่อนหน้านั้นเขามักจะรู้สึกว่าน้องสาวยังเด็ก เขามีเวลาสามารถพาน้องสาวไปสุขสบายกับชีวิต แต่ว่ารอถึงน้องสาวไม่อยู่แล้ว เขาจึงรู้สึกถึงว่าเรื่องบางเรื่องรอไม่ไหวนะ
……
โรงพยาบาลโว่หลง ในออฟฟิศของหลิวเสี่ยวอิง
หลิวเสี่ยวอิงพาหลี่เสว่เดินเข้าไป จากนั้นเอาอัลตร้าโซนิคใบนั้นวางอยู่ต่อหน้าหลี่เสว่ พูดอย่างหนักอึ้งมากว่า “นี่เป็นเรื่องที่ร้ายแรงมากเรื่องหนึ่ง”
หลี่เสว่ได้ยินคำพูดนี้ทันใดนั้นตื่นเต้นขึ้นมา
หลี่เสว่คิดว่าตนเองเป็นโรคอะไร ดังนั้นตื่นเต้นมาก แต่อยู่ในเวลานี้อยู่ดีๆหลิวเสี่ยวอิงก็หัวเราะแล้ว “ตื่นเต้นขนาดนี้ทำไมล่ะ?”
หลี่เสว่อึ้งชะงักหนึ่งที จากนั้นมีปฏิกิริยาขึ้นมา อารมณ์ไม่ดีลืมตาขาวหนึ่งที “คุณทำให้ฉันตกใจแทบตาย!”
หลิวเสี่ยวอิงหัวเราะพอแล้วจึงพูดต่อว่า “แท้ที่จริงนี่เป็นข่าวดีเรื่องหนึ่ง”
“ข่าวดีอะไรหรือ?” หลี่เสว่ถามอย่างอยากรู้อยากเห็น จากนั้นตัดพ้ออีกว่า “หลายวันนี้ฉันทรมานมากนะ ทรมานมากยังจะได้เป็น……”
พูดไปพูดมาอยู่ดีๆหลี่เสว่หยุดชะงักไปเลย จากนั้นประหลาดใจจ้องมองไปยังหลิวเสี่ยวอิง
หลิวเสี่ยวอิงพยักหน้าแล้วพยักหน้าอีก พูดกับเธอว่า “ก็คือเป็นสิ่งที่คุณคิดแบบนั้น คุณตั้งครรภ์แล้ว อีกทั้ง…….”
“อีกทั้งอะไรล่ะ?” หลี่เสว่ถามอย่างอึ้งชะงัก
หลิวเสี่ยวอิงหัวเราะพูดต่อว่า “เป็นฝาแฝด”