มันกะทันหันเกินไป ทำให้คนอดสงสัยไม่ได้
ไป๋ยี่เฟยมองเขาเงียบๆ อยู่นานแล้วจึงพูด “ขอเหตุผลผมข้อหนึ่ง”
“ทำไมยอมมาอยู่กับผม?”
“ทำไมผมต้องเชื่อคุณ?”
“แล้วทำไมถึงต้องยอมรับในเหตุผลของคุณ?”
โจวหลินได้ยินแล้วตอบอย่างไม่คิด: “ผมอยากเดิมพันสักครั้ง”
เห็นเขาตอบไวแบบนี้ ราวกับรู้อยู่ก่อนแล้วว่าไป๋ยี่เฟยจะถามแบบนี้
“สิบตระกูลผู้ทรงอิทธิพลติดตามเต้าจ่าง แต่สำหรับเต้าจ่างแล้ว เขาต้องการเพียงจะรู้จักหัวหน้าครอบครัวของสิบตระกูลเท่านั้น คนอื่นก็ทำงานให้เขา เขาเองก็ไม่รู้ว่าคุณเป็นใคร”
“แต่คุณเป็นคนแรกที่ต่อกรกับเต้าจ่าง ดังนั้น ผมอยากจะเดิมพันสักครั้ง อยู่ข้างคุณไป๋ หากชนะ ผมจะได้อยู่เหนือสิบตระกูลทรงอิทธิพล หากแพ้ ผมก็ยอมรับ”
พูดจบ ไป๋ยี่เฟยก็ตะลึง
คำพูดนี้พลันทำให้เขาคิดถึงสมัยโบราณเวลาที่เจ้าชายต้องการแย่งชิงตำแหน่งประมุข ทุกคนจะเลือกเจ้าชายของตน หากฝ่ายไหนขนะ ก็จะรุ่งโรจน์และมั่งคั่งไม่มีวันหมดสิ้น หากเดิมพันแพ้ อย่างมากก็แค่ตาย
ไป๋ยี่เฟยพยักหน้าเล็กน้อยแล้วพูด: “งั้นคุณอาศัยอะไรที่จะให้ผมเชื่อ?”
“เพียงคำพูดปากเปล่า คาดว่าคุณคงไม่เชื่อ ดังนั้น ต่อไม่ว่าจะมีเรื่องอะไร คุณไป๋สั่งผมได้เลย ผมจะใช้การกระทำเป็นสิ่งที่ทำให้คุณได้เห็น” โจวหลินรีบตอบ
จากนั้นก็พูดเสริม: “คุณมีความลับอะไรไม่จำเป็นต้องบอกผม ผมแค่ลงมือทำสิ่งต่างๆ เท่านั้นครับ”
เมื่อได้ยินแบบนี้ไป๋ยี่เฟยก็พยักหน้าเล็กน้อย ถึงแม้จะทำให้คนเชื่อได้มาก แต่ก็ยังถือว่าผ่าน
ไป๋ยี่เฟยถามอีก: “งั้นทำไมผมถึงต้องใช้คุณ?”
“ผมคุ้นเคยกับเมืองหลวง ถ้าหากคุณต้องการพัฒนาในเมืองหลวง ผมสามารถช่วยคุณได้” โจวหลินพูด
ไป๋ยี่เฟยคิดอยู่ครู่หนึ่ง
โจวหลินพูดไม่ผิด เขาต้องการจะพัฒนาในเมืองหลวงจริงๆ พัฒนากำลังของตัวเองมันจำเป็นจริงๆ ในเมื่อมีคนที่คุ้นเคยกับเมืองหลวงก็สะดวกมากสำหรับเขา
แล้วยิ่งกับโจวหลินที่เป็นคนจากหนึ่งในสิบตระกูลทรงอิทธิพล ก็สามารถใช้เป็นหมากลับในสิบตระกูลทรงอิทธิพล เป็นประโยชน์สำหรับเขามาก
ในเวลาเดียวกัน สิ่งนี้ทำให้ไป่อี้เฟยมีความคิดในทันใด
ในการนำแนวคิดนี้ไปใช้ โจวหลินคือกุญแจสำคัญ
ไป๋ยี่เฟยพูดอย่างเรียบเฉย: “ลุกขึ้นเถอะ คุณกลับไปก่อน ทำตัวปกติ ทำอะไรก็ทำไป หากจำเป็น ผมจะติดต่อคุณ”
โจวหลินตื่นเต้นมากเมื่อได้ยินเรื่องนี้
ตอนนี้ หัวหน้าแผนกของคลับเดินเข้ามาพร้อมกับชายหนุ่มวัยยี่สิบกว่า
ชายหนุ่มสวมสูทสีดำ ท่าทางอบอุ่น และหน้าตาก็น่าทึ่ง เพราะเขาหน้าตาหล่อ หล่อจนเหมือนดาราดัง
“ใครเรียกผม?” หนุ่มหล่อคนนี้มองไปทั่ว จากนั้นหันไปมองไป๋ยี่เฟย
ไป๋ยี่เฟยรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยกับการปรากฏตัวของชายผู้นี้ และหลิวเสี่ยวอิงซึ่งอยู่ข้างๆ เขาลุกขึ้นยืนขึ้น
พระเจ้า โคตรหล่อเลย!
ทำไมถึงได้มีคนหน้าตาหล่อขนาดนี้?
ไป๋ยี่เฟยเห็นหลิวเสี่ยวอิงเป็นแบบนี้แล้วไม่พอใจเล็ก
ไม่ใช่เพราะอิจฉา แต่เป็นเพราะความภูมิใจในตัวเองของผู้ชาย ใครเห็นผู้ชายหล่อกว่าตัวเองจะไม่มีความสุข
ไป๋ยี่เฟยถามอย่างเรียบเฉย: “คุณคือเจ้าของคลับ?”
ชายหนุ่มพยักหน้าและยิ้มเล็กน้อยแล้วพูด: “ครับ ผมชื่อเมิ่งฉิง เป็นเจ้าของคลับแห่งนี้”
ไป๋ยี่เฟยเห็นเช่นนั้นจึงพูดตรงๆ “สวัสดีครับ ผมอยากจะซื้อคลับนี้”
เมิ่งฉิงได้ยินแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อยย แต่ถึงจะขมวดคิ้ว เมิ่งฉิงก็ยังหล่อ
ผู้จัดการแผนกถึงกับตาค้าง
ก่อนหน้านี้ไม่นาน หัวหน้าแผนกยังคิดว่าไป๋ยี่เฟยเป็นแค่คนจน คิดไม่ถึงว่าเขาจะซื้อคลับแห่งนี้
เมิ่งฉิงยิ้มเล็กน้อย แต่น้ำเสียงฟังดูไม่ค่อยพอใจ “ขอโทษครับ คุณผู้ชาย หากคุณมาเที่ยวเล่นที่นี่ เมิ่งฉิงยินดีต้องรับเสมอ แต่หากคุณคิดจะซื้อคลับนี้ ขอโทษด้วย ผมไม่ขาย”
ไป๋ยี่เฟยพูดอย่างเรียบเฉย: “คุณเปิดราคา”
“ผมพูดแล้วว่าไม่ขาย” ใบหน้าของเมิ่งฉิงไม่มีรอยยิ้มอีกต่อไป น้ำเสียงของเขาแข็งกระด้าง
ไป๋ยี่เฟยยกนิ้วขึ้น “หนึ่งร้อยล้าน”
เมิ่งฉิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ยังส่ายหัว “ไม่ขาย”
ไป๋ยี่เฟยพูดต่อ: “พันล้าน”
เมิ่งฉิงตะลึงงัน
พันล้าน?
ไม่เพียงแต่เมิ่งฉิง แม้แต่หัวหน้าแผนกและหัวหน้าบอดี้การ์ดที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูต่างก็ตกตะลึง
ไม่ว่าราคาที่ดินในเมืองหลวงจะแพงแค่ไหน ก็ไม่มีทางใช้เงินร้อยล้านซื้อคลับเฮาส์ ไม่ต้องพูดถึงว่าราคาปัจจุบันที่ ไป๋ยี่เฟยอยู่ที่หนึ่งพันล้าน
จะพูดไปอีก เมื่อดูการแต่งตัวของไป๋ยี่เฟย เขาดูไม่เหมือนคนที่จะมีเงินหนึ่งพันล้านได้เลย
ดังนั้น หลังจากเมิ่งฉิงได้สติก็ไม่พอใจเป็นอย่างมาก “คุณผู้ชายท่านนี้ อย่ามาล้อเล่นกันแบบนี้”
“ผมไม่ได้ล้อเล่น” ไป๋ยี่เฟยพูด
เมิ่งฉิงขมวดคิ้วมองไป๋ยี่เฟยและพูดอย่างเฉยเมย: “ในเมืองหลวง ต่อให้เป็นสี่ตระกูลผู้ยิ่งใหญ่ ก็คงไม่ใช้เงินพันล้านซื้อคลับแห่งนี้”
“มันไม่คุ้มค่า ดังนั้น คุณคือใครกันแน่?”
“ไป๋ยี่เฟย” ไป๋ยี่เฟยพูดชื่อตัวเองอย่างเรียบเฉย
ไป๋ยี่เฟย?
เมิ่งฉิงขมวดคิ้วแน่น เขารู้สึกว่าเหมือนจะเคยได้ยินชื่อนี้ที่ไหนมาก่อน
บอดี้การ์ดที่เฝ้าประตูอยู่ด้านนอกเบิกตาโพลงและอุทานออกมาด้วยความตกใจ “คือคนที่ป่วนสหพันธ์ธุรกิจเมืองหลวง ฆ่ารองประธานสหพันธ์ธุรกิจเมืองหลวง ไป๋ยี่เฟย?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เมิ่งฉิงก็ตอบสนองทันที และดวงตาของเขาเบิกกว้าง
หากเป็นไป๋ยี่เฟยจริงล่ะก็ ถ้าอย่างนั้น เขาจะจ่ายพันล้านเพื่อซื้อคลับของเขา เมิ่งฉิงก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่เชื่อ เพราะทุกคนต่างพากันพูดว่าไป๋ยี่เฟยเป็นคนบ้า
คนบ้าใช้เงินพันล้านซื้อคลับเฮ้าส์ ก็ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้
แต่เมิ่งฉิงยังสงสัยอยู่เล็กน้อยและมีสีหน้าเคร่งขรึม “ต่อให้เป็นอย่างนั้น ก็ไม่สามารถขายคลับให้คุณได้”
“ทำไม?” หลิวเสี่ยวอิงถามด้วยความไม่เข้าใจ
เมิ่งฉิงส่ายและพูดอย่างเรียบเฉย: “ผมเป็นเพียงนักธุรกิจเล็กๆ ไม่อยากจะต้องขุ่มมัวเพราะคุณ”
คนที่รู้เรื่องคืนนั้นล้วนเข้าใจดีว่าไป๋ยี่เฟยกับเต้าจ่างเป็นปรปักษ์กัน ชนิดที่เรียกว่าหักกันเลยทีเดียว
หากเมิ่งฉิงขายคลับให้ไป๋ยี่เฟย คนอื่นก็จะเข้าใจผิดว่าเมิ่งฉิงเข้าข้างไป๋ยี่เฟย และถ้าเต้าจ่างรู้เข้าคงจะไม่ปล่อยเขาไว้แน่
แต่ทางไป๋ยี่เฟยนั้น เพราะเมิ่งฉิงปฏิเสธเขา ทำให้เขายิ่งอยากจะซื้อคลับนี้มากขึ้นไปอีก
เพราะเมิ่งเฉิงปฏิเสธอย่างชัดเจน สามารถพูดได้ว่า เมิ่งฉิงไม่ใช่คนของเต้าจ่าง
ไป๋ยี่เฟยพูดอย่างเรียบเฉย: “ผมเข้าใจความกังวลของคุณ ดังนั้นผมจึงช่วยคุณจัดการแต่แรกแล้ว”
“คืนวันนี้ผมจะให้คนคุ้มครองคุณไปที่เมืองเทียนเป่ย ก่อนที่เรื่องของผมกับเต้าจ่างจะจบลง รับประกันว่าคุณจะปลอดภัย”
“ต่อให้ผมแพ้ คุณก็ยังสามารถอยู่ที่เมืองเทียนเป่ยต่อไปได้ ที่เมืองเทียนเป่ยจะไม่มีใครทำร้ายคุณ”
“ยิ่งกว่านั้น เงินพันล้าน มันมากพอให้คุณและครอบครัวใช้ชีวิตที่เหลืออย่างสุขสบาย”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เมิ่งฉิงก็เคร่งขรึม
เพราะเขาใจสั่นแล้ว
พันล้าน ใครบ้างไม่ใจสั่น?
เขาคิดอยู่นานแล้วเงยหน้าพูดอย่าจริงจัง: “ได้ แต่ผมมีข้อแม้หนึ่งข้อ คุณต้องให้คนของคุณที่ฝีมือดีที่สุดคุ้มครองผม”
“ได้” ไป๋ยี่เฟยพยักหน้า
……
ในตึกสูงไม่ไกลจากเทียนถังเก๋อ ฟางหยันกำลังยืนอยู่หน้าบานหน้าต่างและมองไปที่เทียนถังเก๋อ
ผู้จัดการของเธอยืนอยู่หลังเธอและกำลังด่าอย่างโกรธเคือง: “แม่ง ก็แค่ไอ้บ้านนอกยังกล้ามาปฏิเสธฉัน? คิดว่าตัวเองเป็นใคร? แม่งเอ๊ย!”