ยังไงซะคนที่หายตัวไปก็คือลูกสะใภ้ที่กำลังตั้งท้องของเขา
เนื่องจากคนรุ่นหลังของตระกูลไป๋มีไม่กี่คนหรอกที่พอใช้ได้ พอเอามาเทียบดูแล้ว ลูกชายของเขาทั้งสองต่างก็ดูเก่งกว่าพวกนั้นทุกคน
ส่วนตระกูลไป๋ก็ค่อนข้างให้ความสำคัญกับการสืบทอดทางสายเลือด คนอื่นๆ ในตระกูลไป๋ต่างก็จะนกเอาเรื่องที่ลูกชายของไป๋หยุนเผิงไม่สามารถมีลูกได้มากดดันเขาอยู่เสมอ
ไป๋หยุนเผิงรู้สึกไม่พอใจมาตั้งนานแล้ว
ไป๋เซี่ยวนั้นประสบอุบัติเหตุ เพื่อช่วยพ่อแม่ของตัวเองจนกลายเป็นคนพิการและไม่สามารถมีทายาทได้
ส่วนภรรยาของไป๋ยี่เฟยก็ถูกคนวางยาจนไม่สามารถมีลูกได้
แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเหมือนแล้ว เพราะภรรยาของไป๋ยี่เฟยได้ต้องท้องแล้ว แถมยังเป็นลูกแฝดด้วย
ในที่สุดไป๋หยุนเผิงก็สามารถระบายมันออกมาต่อหน้าคนอื่นได้สักที โดยเฉพาะกับพวกตาแก่ของตระกูลพวกนั้น เขาสามารถทำตามที่ตัวเองต้องการได้มากกว่าเดิมสักที
ตอนนี้ภรรยาของไป๋ยี่เฟยได้หายตัวไป มีความเป็นไปได้สูงที่เธอจะถูกคนจับตัวไป ดังนั้นทำไมเขาถึงจะระเบิดความโกรธออกมาไม่ได้ล่ะ?
ไป๋ยี่เฟยค่อนข้างแปลกใจกับเรื่องนี้ การที่เขามาที่นี่เพียงเพื่อต้องการให้ไป๋หยุนเผิงใช้กำลังคนของตระกูลไป๋ไปตามหาหลี่เสว่เท่านั้น
แต่ทว่า ตอนนี้มันไม่ได้มีแค่ตระกูลไป๋เท่านั้น
ไป๋หยุนเผิงได้โทรหาหลินยู่ชังและเย่เจี่ย
“ช่วยผมตามหาลหี่เสว่ลูกสะใภ้ของผมให้หน่อย ต่อไปในด้านธุรกิจของตระกูล ผมสามารถยกเมืองให้พวกคุณได้คนละเมือง”
ไป๋หยุนเผิงเดินทางไปที่บ้านเก่าตระกูลไป๋
การที่เขาทำแบบนี้เขาไม่ได้ปกปิดใครเลยทั้งนั้น
ไป๋ยี่เฟยไม่รู้ว่าคนอื่นๆ กำลังรู้สึกยังไง เขาแค่กำลังรู้สึกร้อนรนและตื่นเต้นไปในเวลาเดียวกัน
เพราะอีกเดี๋ยวเขาก็จะได้เห็นความแข็งแกร่งที่แท้จริงของสี่ตระกูลใหญ่แล้ว
ระหว่างเหตุการณ์ทั้งหมด ไป๋เซี่ยวเอาแต่นั่งอึ้งอยู่กับที่
หลังไป๋หยุนเผิงจากไป ไป๋เซี่ยวถึงได้หันมาพูดกับไป๋ยี่เฟยว่า “พี่ใหญ่ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ พี่สะใภ้เธอไม่เป็นไรหรอกครับ”
ไป๋ยี่เฟยเห็นเขายิ้มให้ตัวเอง จึงได้ยิ้มกลับไป และเดินไปตรงหน้าเขา แล้วพูดเบาๆ ว่า “ผิดหวังมั้ย?”
ไป๋เซี่ยวชะงักไป ใบหน้าที่ยิ้มแย้มก็เกร็งไป “นี่พี่กำลังอวดผมอยู่เหรอ?”
“ถูกต้อง” ไป๋ยี่เฟยยิ้มออกมา
แต่ไป๋เซี่ยวกลับโกรธจนยิ้มไม่ออกแล้ว
ไป๋ยี่เฟยพูดมาแค่นั้นก็ไม่พูดต่อ เพราะเขาไม่มีอารมณ์มาสนใจเรื่องพวกนี้
อู๋กุ้ยเซียงเองก็รู้ว่าไป๋ยี่เฟยรู้สึกยังไง แต่ก็อดไม่ได้ที่จะถามไปว่า “จะไปแล้วเหรอ?”
ไป๋ยี่เฟยหันมามองหน้าผู้เป็นแม่
หลังให้กำเนิดเขา ผู้เป็นแม่ก็ยกเขาให้คนอื่น มันเป็นเหตุให้เกิดความโกรธเกลียดขึ้นมาในใจของไป๋ยี่เฟย แต่ตอนนี้เขาโตแล้ว ความรู้สึกเหล่านั้นก็ค่อยๆ หายไป
ที่ผ่านๆ มา สิ่งที่ทำให้เขาไม่พอใจก็คือสิ่งที่ไป๋เซี่ยวทำกับเขา แต่พ่อแม่ของเขากลับทำเหมือนไม่เห็นมาตลอด
พอไป๋ยี่เฟยมาลองคิดๆ ดู บางทีพวกเขาอาจจะมีเรื่องให้เจ็บปวดก็ได้มั้ง
จู่ๆ ไป๋ยี่เฟยก็เรียกขึ้นว่า “แม่ครับ”
อู๋กุ้ยเซียงอึ้งไป
แล้วไป๋ยี่เฟยก็พูดออกมาอย่างเรียบเฉยว่า “ผมจะไปตามหาหลี่เสว่ครับ”
พูดจบ เขาก็เดินจากไป
อู๋กุ้ยเซียงมองดูแผ่นหลังที่จากไปของไป๋ยี่เฟย ดวงตาก็แดงก่ำขึ้นมา
คำว่าแม่คำนี้มันทำให้อู๋กุ้ยเซียงรู้สึกดีใจมาก หลังจากที่รอมาเนิ่นนาน ในที่สุดเขาก็ยอมเรียกเธอว่าแม่สักที
หลังจากที่ไป๋ยี่เฟยออกไป คนที่เป็นพ่อบ้านอย่างเจี่ยงอานก็เดินออกไปส่ง
พอถึงหน้าประตู เจี่ยงอานก็โค้งคำนับให้ไป๋ยี่เฟย
ไป๋ยี่เฟยอึ้งไป “ทำอะไรครับ?”
เจี่ยงอานจึงตอบกลับไปว่า “ขอบคุณมากครับคุณชาย ที่ไม่ได้เล่าเรื่องตอนที่เราปะมือกันให้เจ้าบ้านฟัง”
ไป๋ยี่เฟยชะงักไป “เมื่อกี้เรียกว่าปะมือกันเหรอ?”
เจี่ยงอานส่ายหน้าเบาๆ “คุณชายไม่ต้องทำแบบนี้เหรอครับ เจี่ยงอานเป็นคนที่รู้จักทดแทนบุญคุณ การที่คุณละเว้นผมในครั้งนี้เจี่ยงอานจะจำมันไว้ตลอดไป ต่อไปเจี่ยงอานจะไม่มีทางแทนคุณด้วยโทษแน่นอนครับ”
ไป๋ยี่เฟยยืนดูอยู่เงียบๆ แล้วยิ้มออกมาอย่างไม่ชอบใจ “เข้าใจแล้ว”
เรื่องในอนาคต ใครจะไม่รู้กันล่ะ?
พอไป๋ยี่เฟยพูดเสร็จ เขาก็เดินจากไป
เขาไม่มีทางเชื่อคำพูดของเจี่ยงอานง่ายๆ หรอก อีกทั้งเจี่ยงอานยังเป็นพ่อบ้านของตระกูลไป๋มานานหลายปี เห็นท่าก็น่าจะมองดูไป๋เซี่ยวเติบโตมาเหมือนกัน เขาจะผูกพันกับใครมากกว่าไม่บอกก็รู้
พอถึงเวลาที่ไป๋ยี่เฟยกับไป๋เซี่ยวแย่งชิงตำแหน่งเจ้าบ้านนั้น เจี่ยงอานจะเข้าข้างใคร ไม่ต้องบอกก็รู้กันอยู่แล้ว
และเป็นอย่างนั้นจริงๆ พอไป๋ยี่เฟยจากไป เจี่ยงอานก็กลับไปที่ข้างกายของไป๋เซี่ยว
“คุณชายเล็ก เขาไปแล้วครับ” เจี่ยงอานเข็นไป๋เซี่ยวให้เข้าไปข้างใน
พอไป๋เซี่ยวได้ยินอย่างนั้น เขาก็ทำหน้าไม่พอใจทันที “วันนี้ ผมกลายเป็นคุณชายน้อยไปแล้ว”
เมื่อก่อนเจี่ยงอานนั้นเรียกไป๋เซี่ยวว่าคุณชายตลอด
เมื่อเจี่ยงอานได้ยินอย่างนั้น เขาก็รีบก้มหน้าลง แล้วพูดอย่างร้อนรนว่า “คุณชาย ผม……”
เพียงแค่การเรียกที่เปลี่ยนไป ก็ทำให้ไป๋เซี่ยวรู้สึกไม่ชอบใจได้ขนาดนี้ พอไป๋ยี่เฟยกลับมา เขาก็กลายเป็นคุณชายน้อยไปแล้วเหรอ? มันมีสิทธิ์อะไร?
ไป๋เซี่ยวทำเสียงฮึดฮัด
เมื่อเจี่ยวอานเห็นอย่างนั้น เขาจึงรีบพูดถึงเรื่องการหายตัวไปของหลี่เสว่ “คุณชายครับ ภรรยาของเขาหายตัวไปแล้วไม่ใช่ว่าเราสามารถอาศัยจังหวะนี้……”
พอไป๋เซี่ยวได้ยินแบบนั้น สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป แล้วหันไปถลึงตาใส่เจี่ยงอาน เจี่ยงอานจึงต้องหยุดพูดไปกลางคัน
ไป๋เซี่ยวค่อยๆ พูดออกมาว่า “ครั้งนี้ตาแก่นั้นได้เคลื่อนไหวอย่างจริงจังแล้ว ถ้าถูกจับได้ขึ้นมาคงได้ตายอย่างอนาถแน่ผมยังไม่อยากตาย”
“คุณชายพูดถูกครับ” เจี่ยงอานรีบพูดสนับสนุน
สายลมอ่อนๆ พัดมากระทบกับเส้นผมเส้นหนึ่งของไป๋เซี่ยว
ไป๋เซี่ยวพูดออกมาเบาๆ ว่า “ลุงเจี่ยงครับ ผมรู้สึกว่าเรื่องในครั้งนี้มันไม่ได้ง่ายเายแบบนั้น”
เจี่ยงอานค่อยๆ ก้มหน้าลงมามองไป๋เซี่ยวไป๋เซี่ยวเองก็เงยหน้าขึ้นมา แล้วยิ้มให้เจี่ยงอานเล็กน้อย และพูดไปว่า “ลุงเจี่ยงเห็นผมมาตั้งแต่เด็ก”
“ครับ” แววตาของเจี่ยงอานอ่อนโยนลงมาก สีหน้าเต็มไปด้วยความเมตตา
แล้วไป๋เซี่ยวก็ถอนหายใจออกมา “ถ้าอย่างนั้น……”
เจี่ยงอานรีบตอบรับในทันที “ผมเข้าใจแล้วครับ เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกับคุณชายเลย”
ไป๋เซี่ยวพยักหน้าเล็กน้อย “รบกวนหน่อยนะครับ”
……
ในยามค่ำคืน
เมืองหลวงที่ดูเงียบสงบ กลับกำลังมีการเคลื่อนไหวอยู่ในเงามืด
ในซอกซอยที่มืดมิดแห่งหนึ่ง ชายร่างใหญ่ที่สักอยู่ตรงแขนคนหนึ่งกำลังถูกคนกดเอาไว้กับกำแพง
คนชุดดำหลายคนล้มเขาเอาไว้ หนึ่งในนั้นเอารู้ถ่ายออกมา ยื่นให้เขาดู แล้วถามไปว่า “เคยเห็นผู้หญิงในรูปรึเปล่า?”
แต่ชายคนนั้นยังคงแข็งข้อ และตอบด้วยความโมโหว่า “นี่พวกแกคิดจะทำอะไร? รู้รึเปล่าว่าฉันเป็นใคร? ฉัน……”
“ฉึก!”
ยังไม่ทันได้พูดจบ มีดเล่มหนึ่งก็ปักลงที่ต้นขาของเขา
“อ้า!”
ชายคนนั้นครวญครางออกมาทันที
คนชุดดำพูดออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ฉันจะถามอีกรอบ เคยเห็นผู้หญิงคนนี้รึเปล่า?”
“…แม่เอ๊ย พวกแกกล้าทำร้ายฉันเหรอ? ท่านหูไม่มีทางปล่อยพวกแกไว้แน่ แน่จริงก็บอกชื่อมา…” แค่ดูก็รู้แล้วว่าชายรอยสักคนนี้เป็นนักเลง บวกกับท่าทางที่แข็งกร้าวของเขา แถมยังพูดถึงท่านหูด้วย
ท่านหูเป็นนังเลงใหญ่ในเมืองหลวง แม้แต่ สิบอันดับยักษ์ใหญ่ยังไม่ยากไปมีเรื่องกับเขาเลย
แต่ทันใดนั้น ก็ได้มีเสียง “ฉึก” ดังขึ้นอีกครั้ง
ต้นขาของเขาถูกมีดแทงใส่อีกครั้ง
“อ้า!”
ถ้าไม่ใช่เพราะเขาถูกกดเอาไว้ เขาคงยืนไม่ไหวแล้วแน่ๆ