ดวงตาของหลี่เสว่นั้นแดงก่ำ น้ำตาไหลลงมาตามร่องแก้มอย่างเงียบๆ
“จะร้องไห้ไปทำไม?” หูเฟยหงจ้องหน้าหลี่เสว่ด้วยความดุร้าย “แม่งเอ๊ย ฉันยังไม่ทันได้ทำอะไรเธอสักหน่อย เธอก็ร้องไห้แล้ว! รอถึงตอนที่ฉันทำอะไรเธอก่อน ตอนนั้นสิที่ควรร้อง!”
พอพูดจบ หูเฟยหงก็ถอดเสื้อของตัวเองออกจากนั้นเขาก็หันกลับไปถามจูฉวนอู่ว่า “นี่พี่จู มาร่วมวงด้วยกันมั้ย?”
จูฉวนอู่ขมวดคิ้ว เขาไม่ได้บ้ากามขนาดนั้นสักหน่อย เขาจึงตอบไปอย่างเรียบเฉยว่า “คุณทำไปคนเดียวเลย เดี๋ยวผมออกไปโทรหาเรือที่ต้องใช้ในการออกทะเลหน่อย”
พูดจบ จูฉวนอู่ก็เปิดประตูออกไป
หูเฟยหงขำออกมาอย่างชั่วร้าย แล้วเดินเข้ามาหาหลี่เสว่
เมื่อหลี่เสว่เห็นหูเฟยหงเดินเข้ามาหา แววตาของเธอก็ดูสิ้นหวังและหวาดกลัวขึ้นมาทันที
ปากของหลี่เสว่ตอนนี้ถูกเทปกาวพันอยู่ เธอจึงไม่สามารถพูดหรือส่งเสียงออกมาได้
เธอทำได้แค่ส่ายหน้าอยู่นั้น พร้อมกับเปล่งเสียงอู้อู้ออกมา
แต่ในเวลาต่อมา หูเฟยหงก็เดินไปหยุดอยู่ที่ด้านหลังของหลี่เสว่แปบหนึ่ง จากนั้นก็รีบเดินกลับไปล็อคประตูอย่างรวดเร็ว
เมื่อหลี่เสว่เห็นหูเฟยหงทำแบบนั้น เธอก็รู้สึกตกใจทันที เธอรู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้
หูเฟยหงเดินไปอีกครั้ง เขาเอามือมากดลงที่ไหล่ของเธอ หลี่เสว่ขัดขืนโดยการพยายามใช้ขาถีบใส่หูเฟยหง แต่เธอก็ไม่สามารถถีบโดนหูเฟยหงเลย
ทันใดนั้น รอยยิ้มที่ชั่วร้ายของหูเฟยหงก็ได้หายไป เขาพูดกับหลี่เสว่ด้วยสีหน้าที่จริงจังว่า “คุณหลี่ครับ ช่วยใจเย็นและฟังผมก่อนนะครับ ผมไม่มีทางทำร้ายคุณแน่นอน……”
ระหว่างที่พูด หูเฟยหงก็แกะเชือกที่มัดหลี่เสว่ออก
หลี่เสว่รู้สึกมึนงง
จากนั้นหูเฟยหงก็คุกเข่าลงตรงหน้าหลี่เสว่งพอหลี่เสว่เห็นแบบนั้น เธอก็ตกใจจนเข้าไปขดตัวอยู่ที่มุมห้อง หูเฟยหงพูดเบาๆ ว่า “คุณหลี่ครับ คุณอย่างส่งเสียงดังนะครับ ช่วยฟังผมให้จบก่อน”
ตอนแรกหลี่เสว่ก็ตั้งจะจะตะโกนออกมา แต่พอเห็นการกระทำของหูเฟยหงแล้ว เธอก็รู้สึกใจเย็นลงเล็กน้อย จากนั้นก็มองหูเฟยหงด้วยความหวาดระแวง
หูเฟยหงจึงรีบพูดขึ้นมาว่า “เราต่างก็ติดกับแล้ว เดิมทีพวกเราตั้งใจจะจับคุณเพื่อใช้เป็นไพ่ตายในการรักษาชีวิตเท่านั้น แต่ไม่นึกเลยว่าเราจะถูกดึงเข้ามายุ่งเกี่ยวกับความลับครั้งใหญ่เข้า”
“พวกเราเป็นคนของท่านหลินสาม แต่เขากลับทอดทิ้งเรา ใช้เราเป็นแพะรับบาป”
“ความจริงเราสามารถปล่อยคุณไปได้ ถึงต้องเป็นศัตรูกับไป๋ยี่เฟยและตระกูลไป๋ก็ตาม แต่มันก็ยังพอมีทางแก้ไข แต่จูฉวนอู่มันไม่ยอมให้ปล่อยคุณไป มันบอกว่าคุณรู้ตำแหน่งของคลังเก็บทองที่สาม”
“มันยังบอกอีกว่ามันรู้ตำแหน่งของคลังเก็บทองที่สองแล้ว แบบนี้ก็เท่ากับมันมีตำแหน่งของคลังเก็บทองสองที่อยู่ในมือแล้ว พอถึงตอนนั้นไม่ว่าใครหน้าไหนก็สามารถถูกมันกำจัดได้อย่างง่ายดาย”
“หลังจากที่กำจัดสี่ตระกูลใหญ่กับสหพันธ์ธุรกิจเมืองหลวงแล้ว มันก็จะให้ผมเป็นรองต่อจากมัน”
“แม่งมันคิดว่าผมโง่ขนาดนั้นเลยรึไง?”
“คนแบบมันน่ะ ถ้ารู้ตำแหน่งของคลังเก็บทองที่สามแล้ว ตอนนั้นก็จะเป็นเวลาตายของผม”
“และอาจไม่ใช่แค่ผมคนเดียว เอาเข้าจริงตอนนั้นตระกูลหูทั้งหมดอาจจะถูกมันฆ่าปิดปากไปเลยก็ได้”
“คุณหลี่ครับ ด้วยเหตุนี้ผมจึงทำได้แค่ขอร้องคุณ ของร้องให้ไป๋ยี่เฟยสามีของคุณช่วยปกป้องตระกูลหูของผมด้วยแล้วผมจะใช้ชีวิตของช่วยให้คุณหนีไปเอง”
หลังจากหลี่เสว่ฟังที่หูเฟยหงพูดจบ เธอก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่
ไป๋ยี่เฟยเคยบอกกับเธอจริงๆ ว่าบนหลันเต่ามีคลังเก็บทองซ่อนอยู่ แต่หลี่เสว่ก็ไม่รู้จริงๆ ว่าคลังเก็บทองนั้นอยู่ที่ไหน
แถมตอนนี้หูเฟยหงยังพูดถึงคลังเก็บทองที่สองที่สามอีก งั้นก็แสดงว่าจะต้องมีคลังเก็บทองอีกหนึ่งแห่งใช่มั้ย?
พอหูเฟยหงเห็นว่าหลี่เสว่ยังทำหน้าไม่เข้าใจ เขาก็กัดฟันพูดว่า “คุณหลี่ครับ ผมรู้ว่าตอนนี้คุณมีคำถามมากมาย แต่ผมไม่สามารถอธิบายอะไรได้มากนัก คุณรู้แค่ไปบอกกับไป๋ยี่เฟยว่าจูฉวนอู่รู้ตำแหน่งของคลังเก็บทองที่สองแล้วก็พอ ตอนนี้มันน่ากลัวยิ่งกว่าเต้าจ่างซะอีก”
จากนั้นหูเฟยหงก็คุกเข่าคำนับให้หลี่เสว่ไปทีหนึ่ง “ขอให้คุณหลี่โปรดรับปากด้วย ขอให้คุณหลี่โปรดรับปากด้วย” หลี่เสว่ตกใจจนสะดุ้ง ในที่สุดเธอก็ใจเย็นลงแล้ว จากนั้นก็รีบตอบไปว่า “คุณลุกขึ้นก่อนค่ะ”
“ถ้าฉันสามารถหนีออกไปได้จริงๆ ฉันจะทำตามคำขอของคุณค่ะ”
หูเฟยหงถามย้ำอย่างไม่ค่อยมั่นใจ “จริงเหรอครับ?”
หลี่เสว่พยักหน้า “คุณไม่ต้องเป็นห่วง ตอนนี้ฉันกำลังตั้งครรภ์ลูกของไป๋ยี่เฟยอยู่ ถ้าคุณสามารถช่วยฉันออกไปได้ ก็เท่ากับคุณได้ช่วยทายาทของตระกูลไป๋ไว้ด้วยเช่นกัน ถึงตอนนั้นไม่เพียงแค่ไป๋ยี่เฟยแม้แต่ตระกูลไป๋ก็จะเข้ามาช่วยปกป้องตระกูลของคุณอีกแรงค่ะ”
พอหูเฟยหงได้ยินอย่างนั้นเขาก็ชะงักไป พอเข้าใจแล้วเขาก็รีบลุกขึ้นมา เปิดหน้าต่างออก
จากนั้นเขาก็หยิบเชือกที่ใช้มัดหลี่เสว่ขึ้นมา พอมัดรวมกันแล้ววางลง
เพราะหลี่เสว่กำลังตั้งท้องอยู่ ต่อให้หลี่เสว่กระโดดลงไปจากชั้นสองก็รับประกันไม่ได้ว่าเธอจะไม่เป็นอะไรเลย
“คุณหลี่ ระวังตัวด้วยนะครับ”
เขาใช้เชือกผูกกับหลี่เสว่ไว้ จากนั้นก็ให้เธอปีนลงไปจากทางหน้าต่าง
พอหลี่เสว่ลงถึงพื้นเธอก็วิ่งออกไปทันที
ด้วยความที่เธอไม่ได้ถูกปิดตาไว้ ต่อให้ฟ้ามืดแล้วก็ยังสามารถรู้ตำแหน่งที่ตั้งอยู่ดี
พอวิ่งออกมาได้ไม่ไกล เธอก็ได้ยินเสียงที่ปะทะกันดังขึ้น
หลี่เสว่หันหลังไปมองทีหนึ่ง สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นก็ตั้งหน้าตั้งตาวิ่งต่อไป
แต่ในตอนที่เธอกำลังวิ่งออกไปอยู่นั้นเอง เธอก็พบกับคนๆ หนึ่งเข้า
เจี่ยงอานยืนอยู่บนถนนที่มุ่งหน้าไปในเมือง เขายืนกอดอกอยู่ตรงนั้น “คุณนายน้อย ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ”
ก่อนหน้านี้ตอนที่หลี่เสว่เดินทางไปบ้านตระกูลไป๋เพื่อขอความช่วยเหลือให้ไป๋ยี่เฟยนั้น ก็ต้องได้เจอกับเจี่ยงอานพ่อบ้านของตระกูลไป๋อยู่แล้ว
หลี่เสว่ยืนมองเจี่ยงอานด้วยความหวาดระแวง เธอไม่คิดว่าการที่เจี่ยงอานมาอยู่ตรงนี้คนเดียวนั้นเขาจะมาเพื่อช่วยเธอหรอกนะ
……
ตัดภาพมาที่ไป๋ยี่เฟย หลังจากที่เขาตื่นขึ้นมา เฉินอ้าวเจียวก็ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เขาฟัง
หลังจากนั้น ไป๋หยุนเผิงก็ได้รู้ตำแหน่งของหูเฟยหงกับจูฉวนอู่จากแหล่งข่าวของตระกูลไป๋ของตระกูลเย่
แต่ตอนที่พวกเขาไปถึง ได้มีการต่อสู้เกิดขึ้นภายในห้อง หูเฟยหงกลายเป็นศพไปแล้ว ไม่มั่นใจว่าจูฉวนอู่เป็นคนฆ่ารึเปล่า
เฉินอ้าวเจียวมองไปทีหนึ่ง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ชอบใจว่า “ก็ยังหาน้องสะใภ้ไม่เจออยู่ดี”
“จูฉวนอู่ก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย”
ข้อมูลนี้จะบอกว่าดีก็ไม่ใช่จะบอกว่าร้ายก็ไม่เชิง
เฉินอ้าวเจียวรู้ว่าไป๋ยี่เฟยกำลังเป็นห่วง จึงไปพูดปลอบใจไปว่า “อย่างน้อยน้องสะใภ้ก็ยังมีชีวิตอยู่”
ไป๋ยี่เฟยกำลังนอนอยู่ในวิลล่าของตระกูลไป๋ ในห้องมีแค่เขากับเฉินอ้าวเจียวเท่านั้น
ไป๋ยี่เฟยนั่งพิงอยู่บนที่นอน พร้อมกับใบหน้าที่ทรุดโทรม
เขามองทอดออกไปยังนอกหน้าต่าง ตอนนี้ฟ้าสว่างแล้ว
จากนั้นไป๋ยี่เฟยก็ขมวดคิ้วแล้วพูดออกมาว่า “ผมจำไม่ได้แล้ว”
พอได้ยินอย่างนั้น เฉินอ้าวเจียวก็พูดด้วยสีหน้าที่เป็นกังวลว่า “ก่อนหน้านี้ซาเฟยหยางก็ได้มาเยี่ยมคุณ เขาฝากบอกคุณว่าคุณต้องควบคุมอารมณ์ของตัวเองให้ดี”
“ตระกูลไป๋มีโรคที่ติดต่อกันทางสายเลือด เนื่องจากความโกรธที่มากเกินไปทำให้อะดรีนาลินในร่างกายเพิ่มขึ้น จึงส่งผลให้พละกำลังและความเร็วเพิ่งขึ้นหลายเท่าตัว”
“แต่ร่างกายของคุณจะได้รับภาระอย่างหนัก”
พอไป๋ยี่เฟยได้ยินก็อดไม่ได้ที่จะขำออกมาอย่างไม่ชอบใจ “มันคงไม่ใช่แค่ความทรงจำที่ได้รับผลกระทบหรอกใช่มั้ย?”
เฉินอ้าวเจียวถอนหายใจแล้วยื่นกระจกบานหนึ่งให้เขา “คุณดูเองแล้วกัน”
พอไป๋ยี่เฟยได้หันไปมองตัวเองในกระจก มันก็ทำให้เขาดูโทรมมากขึ้นไปอีก หน้าตาไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่ถ้าลองมองดูดีๆ จะเห็นว่าเส้นผมกว่าครึ่งของเขาได้กลายเป็นสีเทาไปแล้ว
ไป๋ยี่เฟยแค่มองไปแปบหนึ่งก็โยนกระจกไปข้างๆ แล้วไม่สนใจอีก จากนั้นก็พูดออกมาอย่างเรียบเฉยว่า “ผมอยากอยู่เงียบๆ คนเดียว”
เฉินอ้าวเจียวเห็นแล้วเหมือนอยากพูดอะไร แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูด เขาแค่ถอนหายใจแล้วเดินออกจากห้องไป
ไม่นานก็มีคนเข้ามาอีก ซึ่งก็คือโจวฉวี่เอ๋อ
พอโจวฉวี่เอ๋อเข้ามาก็ตั้งใจจะพูดอะไรบางอย่าง แต่พอเห็นสภาพของเขาเข้าก็ต้องชะงักไป จากนั้นก็อุทานออกมาด้วยความตกใจ “นี่ผมของคุณเป็นอะไรไปคะ?”
ไป๋ยี่เฟยส่ายหน้าเบาๆ “ไม่มีอะไรครับ”
พอโจวฉวี่เอ๋อเห็นแบบนั้นก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา “คุณไม่ต้องร้อนรนไปนะ ฉันคิดว่าพวกนั้นคงไม่ทำอะไรเสว่เอ๋อหรอก เราจะต้องตามหายเธอจนเจอแน่”
แต่ไป๋ยี่เฟยเพียงพูดออกมาเรียบๆ ว่า “ผมอยากอยู่เงียบๆ คนเดียว”
พูดจบเขาก็หลับตาแล้วนอนราบลงบนเตียง
พอเห็นไป๋ยี่เฟยเป็นแบบนั้น เธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโมโหขึ้นมา
“ไป๋ยี่เฟย นี่มันหมายความว่ายังไง?”
“นี่คุณไม่ต้องการภรรยาของคุณแล้วเหรอ?”