“คุณรู้รึเปล่าว่าเพื่อช่วยคุณแล้วครั้งนี้หลีเสว่……”
“ออกไป!”
โจวฉวี่เอ๋อตั้งใจจะต่อว่าไป๋ยี่เฟยให้ตั้งสติได้ เพราะเธอไม่อยากเห็นไป๋ยี่เฟยที่ตกอยู่ในสภาพที่ทรุดโทรมแบบนี้
แต่ไป๋ยี่เฟยกลับไม่รับฟังเธอเลย แถมยังมาไล่เธอออกไปด้วย
โจวฉวี่เอ๋ออึ้งไปพักหนึ่ง จากนั้นก็ได้ยินไป๋ยี่เฟยพูดขึ้นว่า “คุณออกไปเถอะ ผมเหนื่อย ผมอยากนอน”
โจวฉวี่เอ๋อมองไป๋ยี่เฟยด้วยแววตาที่สับสน สุดท้ายเธอก็กัดฟันพูดว่า “ไป๋ยี่เฟย ฉันผิดหวังในตัวนายจริงๆ!”
“ยอมแพ้แม้กระทั่งผู้หญิงของตัวเอง คุณนี่มันก็เป็นได้แค่เศษสวะเท่านั้น!”
“ถ้าคุณไม่ช่วยเดี๋ยวฉันช่วยเอง!”
พูดจบ โจวฉวี่เอ๋อก็พุ่งออกไปด้วยความโมโห พร้อมกับ “ปั้ง” ปิดประตูอย่างแรง
แต่พอเธอออกมาจากบ้านตระกูลไป๋แล้ว เธอกลับไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี
เธอไม่รู้ว่าควรไปตามหาหลี่เสว่ที่ไหน ไม่รู้ว่าควรทำยังไง และไม่รู้ว่าต้องทำอะไรบ้าง
การที่เธอเลือกมาเมืองหลวงก็เพื่อมาเป็นเลขาให้หลี่เสว่
แต่ตอนนี้หลี่เสว่ถูกคนจับตัวไป เธออยากไปช่วย แต่กลับไม่รู้ว่าจะช่วยยังไงดี
โจวฉวี่เอ๋อเดินสับสนอยู่กลางถนน เธอไม่รู้ว่าควรไปตามหาที่ไหนดี แล้วควรทำอย่างไรต่อ?
จู่ๆ โจวฉวี่เอ๋อก็นึกถึงเรื่องราวมากมายที่เคยเกิดขึ้น
นึกถึงตอนที่รู้จักหลี่เสว่ใหม่ๆ และนึกถึงช่วงเวลาที่พวกเธอคบกันอย่างสนิทสนม แต่แล้วเธอก็นึกถึงฉินหัวอย่างไม่รู้ตัว
สุดท้ายเธอก็นึกถึงฉินซาน
โจวฉวี่เอ๋อตัดสินใจหยิบมือถือออกมา แล้วโทรหาฉินซาน
เขารับสายอย่างไว
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ? ที่รัก คิดถึงผมเหรอ?” เสียงเกเรของฉินซานดังขึ้น
โจวฉวี่เอ๋อชะงักไป เพราะในจินตนาการของเธอเสียงที่ดังขึ้นเป็นเสียงที่ทุ้มลึกที่ชวนให้สบายใจของฉินหัว
แต่มันก็แค่แวบเดียว เพราะตอนนี้เธอไม่ได้สนใจเรื่องนั้น “คุณอยู่ไหนคะ? ฉัน……”
ฉินซานสามารถฟังออกว่าโจวฉวี่เอ๋อกำลังรู้สึกไร้ที่พึ่งมาก เขาอดไม่ได้ที่จะเงียบไปแปบหนึ่ง
จากนั้นเขาค่อยถามโจวฉวีเอ๋อไปว่า “คุณอยู่ไหน? เดี๋ยวผมไปหา”
โจวฉวี่เอ๋อมองไปรอบๆ แล้วตอบไปว่า “เหมือนจะอยู่ในสวนสาธารณะ……”
……
หลังจากวางสาย โจวฉวี่เอ๋อก็นั่งลงบนม้านั่งข้างๆ เพื่อรอคอย
ระหว่างที่รอ โจวฉวี่เอ๋อก็รู้สึกว่าตัวเองนั่งรออยู่นานมาก
เธอนั่งอยู่ตรงนั้น มองดูผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา แววตาเลื่อนลอย ราวกับเธอได้จ้องมองผู้คนเดินผ่านไปมาเป็นทศวรรษๆ แล้ว
พอฉินซานมาถึงก็เห็นเธอที่กำลังนั่งหมดหวังอย่างอับจนหนทาง เขาจึงรีบเดินเข้าไปหา “คุณกำลังทำอะไรอยู่เนี่ย?”
โจวฉวี่เอ๋อเงยหน้าขึ้นมามองฉินซาน สีหน้าที่ไม่รู้จะทำยังไงคงอยู่ไปแวบหนึ่ง จากนั้นก็ดูมีมีความหวังขึ้นมาทันที เธอรีบพูดออกมาด้วยความตื่นเต้นว่า “คุณสามารถช่วยฉันได้มั้ยคะ? ช่วยฉันหน่อย ช่วยฉันตามหาเสว่เอ๋อทีนะคะ”
ฉินซานจ้องมองมาที่โจวฉวี่เอ๋อ เงียบไปพักหนึ่งก่อนจะพูดออกไปว่า “รู้นี้ผมก็พอรู้ แต่มันไม่ได้ง่ายอย่างที่คุณคิด คุณอย่าเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้ดีกว่า เดี๋ยวผมจะพยายามหาทางช่วยเอง”
โจวฉวี่เอ๋อเอ๋ยด้วยความตื้นตัน “ขอบคุณค่ะ”
จู่ๆ ฉินซานก็ยิ้มออกมา “นี่คนสวน ถ้าผมเกิดช่วยเธอกลับมาได้จริงๆ ถ้าอย่างนั้นคุณ……”
ทันใดนั้นเอง จู่ๆ โจวฉวี่เอ๋อก็พูดออกมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยว่า “ฉันจำคุณได้”
ฉินซานชะงักแล้วถามไปว่า “คุณหมายความว่าอะไร?”
โจวฉวี่เอ๋อส่ายหน้า แววตาแสดงออกถึงความดีใจ “ไม่มีอะไรค่ะ”
จากนั้นโจวฉวี่เอ๋อก็เดินจากไป
ฉินซานที่มองดูผ่านหลังของโจวฉวี่เอ๋อ เขาเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะถอนตัดพ้อออกมาว่า “นี่คุณเรียกผมมาเพื่อพูดแค่นี้เนี่ยนะ?”
โจวฉวี่เอ๋อหันหลังกลับมามองฉินซาน จากนั้นก็ตอบมาอย่างเรียบเฉยว่า “ใช่ค่ะ”
จากนั้นเธอก็เดินต่อไป เดินไปยิ้มไปพร้อมกับร้องไห้ไปด้วย
เพราะเมื่อกี้เธอเพิ่งรู้เรื่องอะไรบางอย่างเข้า
ฉินซานที่กำลังมองดูโจวฉวี่เอ๋อที่เดินจากไป จู่ๆ เขาก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา
ตอนที่เขาต้องเผชิญหน้ากับเต้าจ่างหรือแม้แต่ซินชิวอาจารย์ของเต้าจ่างก็ตาม เขายังไม่รู้สึกถึงความกลัวเลยแม้แต่น้อย แต่ตอนนี้เขากลับกำลังรู้สึกกลัว
……
ตระกูลไป๋ ตระกูลเย่ ตระกูลหลิน รวมถึงคนของไป๋ยี่เฟยต่างก็กำลังตามหาเบาะแสของหลี่เสว่อยู่
แต่กลับไม่มีใครได้ข้อมูลอะไรมาเลย
ในเวลาเดียวกัน ไป๋ยี่เฟยก็เอาแต่ขังตัวเองไว้ในห้องของวิลล่าตระกูลไป๋ โดยไม่อยากพบใครทั้งนั้น
ทุกคนต่างคิดว่าเขาคงทนไม่ไหวจนพังทลายไปแล้ว
ยอมแพ้ไปแล้ว
และยังคิดว่าเขาป่วยจนทำให้สภาพจิตใจได้รับผลกระทบไปด้วย
แต่ไป๋ยี่เฟยกลับไม่ได้รู้สึกแบบนั้น
เขาแค่หัวหงอกไปนิดหนึ่ง ความจำเลอะเลือนไปเล็กน้อยเท่านั้น
ที่เขาขังตัวเองอยู่ในห้องเพื่อทำให้ตัวเองสงบ เขารู้ว่าตัวเองทำอะไรได้ และควรทำอะไร
ทันใดนั้น มือถือของเขาก็ดังขึ้น ไป๋ยี่เฟยรีบลุกขึ้นจากเตียง แล้วคว้ามือถือที่วางอยู่บนโต๊ะมา
“ฮัลโหล!”
พอไป๋ยี่เฟยรับสายก็ได้ยินเสียงหายใจของคนทางนั้นดังขึ้น ผ่านไปสักพักคนทางนั้นถึงยอมพูดออกมา “ท่าเรือปี่หยุนแกมาแค่คนเดียว!”
เสียงที่พูดมานั้นแหบซ่าน เหมือนเสียงเครื่องจักร เห็นได้ชัดว่าเขาพูดผ่านเครื่องดัดเสียงอย่างแน่นอน
ไป๋ยี่เฟยมองออกไปนอกหน้าต่าง แล้วหรี่ตาลง “ผมต้องการยืนยันก่อนว่าตอนนี้ภรรยาของผมยังปลอดภัยอยู่”
“ตอนนี้เธอยังปลอดภัยมาก”
ไป๋ยี่เฟยพูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม “ผมต้องการฟังเสียงของเธอ”
จากนั้นก็มีเสียงหัวเราะที่ไม่ชอบใจดังขึ้น ตามด้วยเสียงพูดของหลี่เสว่
“ปล่อยฉันนะ พวกคุณเป็นใคร? รีบปล่อยฉันเดี๋ยวนี้……”
จากนั้นก็กลายเป็นเสียงเครื่องดัดเสียงนั่นอีกครั้ง “แกมีโอกาสแค่ครั้งเดียว มาคนเดียว ไม่อย่างนั้นฉันจะฆ่าเธอทันที”
“ตกลง” หลังไป๋ยี่เฟยรับปากเขาก็วางสายไป
จากนั้นเขาก็ลุกไปใส่ชุดสีดำของขวางซา หยิบมีดสั้นมาหนึ่งเล่ม สุดท้ายก็ถือโอกาสตอนที่ทุกคนไม่ทันสังเกตแอบหนีออกไปคนเดียว
เพราะไป๋ยี่เฟยรู้ดีว่า ถ้าคนอื่นรู้เข้า พวกเขาก็ไม่มีทางปล่อยให้ไป๋ยี่เฟยออกไปคนเดียวแน่นอน
และเขาก็รู้ดี ว่าหลี่เสว่เป็นเหมือนชีวิตของเขา ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางปล่อยให้หลี่เสว่ได้รับอันตรายใดๆ แน่นอน
พอออกมาจากวิลล่าของตระกูลไป๋แล้ว ไป๋ยี่เฟยก็โบกแท็กซี่คันหนึ่งให้ไปส่งที่ท่าเรือปี่หยุน
รอบๆ เมืองหลวงนั้นไม่มีท่าเรืออยู่เลย ท่าเรือปี่หยุนนั้นต่างอยู่ในเมืองข้างๆ ที่ชื่อว่าเมืองจิน ระยะทางไม่ใกล้ไม่ไกล
สองชั่วโมงหลังจากนั้น ไป๋ยี่เฟยก็นั่งรถแท็กซี่มาถึงที่ท่าเรือปี่หยุน
ท่าเรือปี่หยุนเป็นท่าเรือที่เล็กมากๆ เพราะทางเมืองจินตั้งใจจะรื้อท่าเรือนี้ทิ้งแล้วไปสร้างท่าเรือที่ให้กว่าเดิมในอีกฝั่งหนึ่ง
ดังนั้น ตอนนี้ที่ท่าเรือจึงมีตู้คอนเทนเนอร์มากมายตั้งอยู่ แต่กลับไม่ค่อยเห็นคนเท่าไหร่
ไป๋ยี่เฟยลงจากรถแล้วค่อยๆ เดินเข้าไปด้านใน
เขาเดินผ่านตู้คอนเทนเนอร์ตู้แล้วตู้เล่า มองไปรอบๆ พร้อมกับร่างกายที่ตื่นตัว
แต่หลังจากที่เขาเดินหาอยู่นาน ก็ยังไม่เจอใครสักคน
ว่าแล้วเขาก็หยิบมือถือขึ้นมาแล้วโทรออกไป แล้วก็เป็นไปตามคาด เขาโทรไม่ติด
ทันใดนั้นเอง ก็ได้มีเสียงหนึ่งดังขึ้นที่ด้านหลังของเขา
“ตามฉันมา!”
ด้วยความตกใจ ไป๋ยี่เฟยจึงหันไปมอง แล้วก็พบว่ามีชายใส่หมวกแก๊ปคนหนึ่งที่ส่วนสูงพอๆ กับเขายืนอยู่
พอชายคนนั้นพูดจบก็หันหลังเดินจากไป ไป๋ยี่เฟยจึงรีบตามไป
พวกเขาเดินผ่านตู้คอนเทนเนอร์อีกหลายตู้ สุดท้ายก็มาถึงที่ริมทะเล
ที่ริมทะเลมีเรือลำใหญ่จอดอยู่
“ขึ้นมา!”