ซาเฟยหยางก็พิสูจน์การคาดเดาของเขาว่าเป็นจริงเช่นกัน “เทียนหัวซานไม่เพียงแค่เป็นศิษย์พี่ของผม ยังเป็นพี่ชายแท้ๆของผม”
ดังนั้น ไป๋ยี่เฟยล้วนเข้าใจทั้งหมดแล้ว
“ศพนั้นที่อยู่ในหลุมคือเทียนหัวซาน” ไป๋ยี่เฟยพูดเสียงเข้ม
ซาเฟยหยางพยักหน้าแล้วพยักหน้าอีก จากนั้นถอนหายใจอีกหนึ่งที “นิสัยของพี่ชายของผมชอบเอาชนะคนเกินไป จัดการเรื่องราวก็ไม่สนใจไยดีถึงผลลัพธ์เช่นกัน เพื่อที่จะบรรลุถึงจุดประสงค์ก็ไม่แคร์ว่าจะล่วงเกินคนหรือไม่ ดังนั้น ถึงสุดท้ายคนมากมายล้วนถูกเขาล่วงเกินแล้ว”
“แม้ว่าเขาชั่วมาก แต่ความเกี่ยวข้องทางสายเลือดก็ไม่มีทางที่จะลบออกไปได้ ถึงยังไงเขาก็เป็นพี่ชายผม”
หลังจากไป๋ยี่เฟยฟังจบแล้ว ในใจทอดถอนใจด้วยความหดหู่พักหนึ่ง จากนั้นก็นึกถึงอะไรขึ้นมาอีก พูดว่า “งั้นร่างที่ตายอยู่ในสุสานนั้นเป็นซาเฟยหยางเรื่องนี้คืออาวุโสป่าวประกาศออกไปหรือ?”
ซาเฟยหยางพยักหน้านิดๆ
ตอนนั้นเทียนหัวซานตายแล้ว ซาเฟยหยางยังมีชีวิตอยู่ แต่เพราะว่าตอนที่เทียนหัวซานยังมีชีวิตอยู่ได้ล่วงเกินคนมากเกินไปเกรงว่าแม้แต่ตายแล้วก็ยากที่จะสงบสุขได้ ดังนั้น ซาเฟยหยางจึงปล่าวประกาศต่อภายนอกว่า คนที่ตายคือซาเฟยหยาง
และไป๋ยี่เฟยที่อยู่ในเวลานี้ อยู่ดีๆเขาก็นึกถึงไป๋เซี่ยวทันที
เขากับไป๋เซี่ยวก็เป็นพี่น้องกันแท้ๆ งั้นถ้าหากว่าไป๋เซี่ยวตายแล้ว เขาจะใจกว้างขนาดนี้ไหม?
คำตอบนี้เขาไม่รู้ เกรงว่ามีแต่ถึงเวลานั้นจริงๆจึงจะได้รู้
เนื่องเพราะซาเฟยหยางนึกถึงเทียนหัวซานขึ้นมา ดูเหมือนมีอารมณ์ความหดหู่เล็กน้อย จากนั้นพูดเบาๆคำหนึ่งว่า “วันนี้ก็ถึงแค่นี้ก่อนเถอะ”
หลังจากพูดจบหมุนตัวออกไปเลย
ไป๋ยี่เฟยนั่งอยู่กับพื้นที่ปูเต็มไปด้วยทองคำ ไม่ได้ลุกขึ้นออกไปเลย แต่ย้อนคิดอยู่ว่าเริ่มตั้งแต่ที่เขาพบเจอกับไป๋หยุนเผิง ความจำทั้งหมดในสองปีที่ผ่านมานี้
……
คราวนี้พวกเขาหลบหลีกอยู่ในคลังเก็บทองเตรียมพร้อมมาก่อนแล้ว ไม่เหมือนตอนที่ซาเฟยหยางถูกขังอยู่ในคลังเก็บทองไม่สามารถกินข้าวได้ตามปกติ
แต่พวกเขากลับทำได้
และภาระหน้าที่ที่ทำกับข้าวนี้ย่อมตกอยู่บนกายของหลิวเสี่ยวอิงอยู่แล้ว
มื้อเย็นเพิ่งทำเสร็จ หลิวเสี่ยวอิงไปเรียกฉินหัวกับจื่ออีก่อน จากนั้นก็ไปเรียกไป๋ยี่เฟยกับซาเฟยหยางอีก
แต่ว่าเธอเพิ่งเดินถึงนอกห้องนอน ก็มองเห็นซาเฟยหยางเดินออกมาก่อน
หลิวเสี่ยวอิงอมยิ้มหนึ่งทีพูดว่า “นายซา กินข้าวได้แล้ว”
ซาเฟยหยางพยักหน้าแล้วพยักหน้าอีก “ลำบากแล้ว”
จากนั้นซาเฟยหยางไปกินข้าวเลย ส่วนหลิวเสี่ยวอิงรออยู่นอกห้องนอนตลอด
เพราะเธอรู้ว่าในตอนนี้ไป๋ยี่เฟยฝึกวิชาเสริมพลังอ้านจิ้งจะต้องถอดเสื้อผ้า ดังนั้นเธอรอไป๋ยี่เฟยใส่เสื้อผ้าอยู่
หลังจากผ่านไปสิบนาที หลิวเสี่ยวอิงเห็นไป๋ยี่เฟยยังไม่ได้ออกมา อีกทั้งรู้สึกว่าผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว ย่อมใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นเธอเดินเข้าไปโดยตรง
แต่ว่าเธอล้วนคิดไม่ถึง หลังจากเข้าไปแล้วก็มองเห็นไป๋ยี่เฟยตัวเปลือยนั่งอยู่กับพื้น
หลิวเสี่ยวอิงล้วนนิ่งอึ้งไปเลยทั้งตัว เธอยืนอยู่กับที่ ไม่รู้ว่าจะเดินไปข้างหน้าต่อหรือว่าจะถอยออกไป
แท้ที่จริงหลิวเสี่ยวอิงเป็นหมอคนหนึ่ง เห็นลักษณะท่าทีไม่ว่าผู้ชายหรือผู้หญิงที่ไม่ได้ใส่เสื้อผ้ามาจนชินแล้ว แต่สภาพการณ์เหมือนแบบนี้ หลิวเสี่ยวอิงยังเป็นครั้งแรก
ถึงยังไงที่นี่ก็ไม่ใช่ห้องผ่าตัด ความรู้สึกที่มองเห็นว่าไม่ได้ใส่เสื้อผ้าไม่เหมือนกับอยู่ในห้องผ่าตัด
ก็อยู่ในเวลานี้ อยู่ดีๆหลิวเสี่ยวอิงพบเห็นว่าเส้นผมของไป๋ยี่เฟยอยู่ดีๆกลายเป็นสีขาวในชั่วพริบตา
ก็ไม่ถือว่าอยู่ดีๆเช่นกัน เพราะว่าก่อนที่จะฝึกกังฟูเธอมองเห็นเส้นผมของไป๋ยี่เฟยยังเป็นสีดำอยู่ ตอนนี้เห็นแล้ว กลับกลายเป็นสีขาวเยอะเลย อีกทั้งยังมีเส้นผมอื่นๆกำลังค่อยๆกลายเป็นสีขาวอยู่
ในใจหลิวเสี่ยวอิงสงสัยงงงวย อยากจะร้องเสียงหนึ่ง กลับอยู่ในเวลานี้ มองเห็นไป๋ยี่เฟยหันหน้ามา
ตาทั้งคู่ของไป๋ยี่เฟยแดงฉาน นัยน์ตาเต็มไปด้วยความเหี้ยมโหดกับโหดร้าย จ้องมองหลิวเสี่ยวอิงอย่างแน่น
หลิวเสี่ยวอิงถูกจ้องมองจนขนหัวลุก ตกใจจนตัวสั่นพูดว่า “ไป๋ ไป๋ยี่เฟย คุณ คุณเป็นยังไงแล้วล่ะ?”
เพิ่งพูดคำนี้จบ อยู่ดีๆไป๋ยี่เฟยลุกขึ้นพุ่งไปยังเธอ
“อ่า!”
หลิวเสี่ยวอิงหวาดกลัวมาก กลัวจนขาอ่อนแล้ว ทั้งตัวยังสั่นระริกอยู่ อยากจะวิ่งออกไปข้างนอก กลับวิ่งไม่ออกเลยสักนิด
หลิวเสี่ยวอิงร้องเสียงดังหนึ่งที วินาทีถัดมา ไป๋ยี่เฟยกดทับเธอล้มอยู่กับพื้น มือจับคอของเธอไว้ทันที
เป็นพลังขนาดใหญ่กดทับเธอไว้ หลิวเสี่ยวอิงรู้สึกว่าคอของเธอจะถูกบีบจนหักแล้ว
และอยู่ในเวลานี้ ซาเฟยหยางที่รู้สึกถึงความผิดปกติ อยู่ดีๆวิ่งกลับมา พอดีได้ยินเสียงร้องของหลิวเสี่ยวอิง และมองเห็นไป๋ยี่เฟยบีบคอหลิวเสี่ยวอิงไว้ดังนั้นไม่ลังเลแม้แต่น้อยชกไปยังไป๋ยี่เฟยหนึ่งที
ซาเฟยหยางไม่ได้จะชกไป๋ยี่เฟยจริงๆ เพียงแค่อยากจะบีบให้เขาถอยไปเท่านั้น
แต่ว่า ไป๋ยี่เฟยไม่ได้ถอยออกไปเลย
เขาเงยหน้าขึ้น ใช้ตาที่แดงฉานคู่นั้น จ้องมองซาเฟยหยางอย่างแน่น
จากนั้นยกมืออีกข้างหนึ่งขึ้นอย่างดุร้าย หมัดที่ชกมายังซาเฟยหยางอย่างแม่นยำนั้น
ทันใดซาเฟยหยางตื่นตกตะลึงอย่างมาก
เพราะว่าเขาล้วนนึกไม่ถึง อยู่ดีๆความเร็วของไป๋ยี่เฟยยกระดับสูงขึ้นอย่างมาก อีกทั้งสามารถสู้เทียบกับเขาได้แล้ว
ดังนั้นอยู่ตรงที่สองหมัดปะทะกัน ซาเฟยหยางใช้วิชาเสริมพลังอ้านจิ้ง
“ปั้ง!”
เสียงดังสนั่นส่งออกมา สองหมัดปะทะอยู่ด้วยกัน
แต่ว่าไป๋ยี่เฟยไม่ได้ถอยออกไป
ไม่เพียงแค่นี้ ตอนที่ไป๋ยี่เฟยกับซาเฟยหยางสองหมัดปะทะกัน วิชาเสริมพลังอ้านจิ้งนั้นของซาเฟยหยาง ทั้งๆที่ควรต้องระเบิดออกมาผลสุดท้ายกลับถูกไป๋ยี่เฟยดูดเข้าไปเลย อยู่ดีๆจากนั้นก็ระเบิดออกมาจากหมัดของไป๋ยี่เฟย
ดังนั้นคนที่ถอยไปข้างหลังไม่ใช่ไป๋ยี่เฟย แต่เป็นซาเฟยหยาง ซาเฟยหยางถอยไปห้าหกก้าว
ซาเฟยหยางตื่นตะลึงเลย
ไป๋ยี่เฟยจ้องเขม็งซาเฟยหยางอย่างแน่น ตาทั้งคู่แดงฉาน อีกทั้งยังโมโหร้องตะโกนเสียงหนึ่ง
และหลิวเสี่ยวอิงที่อยู่ในมือของไป๋ยี่เฟย ความรู้สึกของเธอกำลังค่อยๆหมดไป
……
“ปั้ง!”
อยู่ดีๆ ทั้งตัวไป๋ยี่เฟยสั่นระริกหนึ่งที จากนั้นร่างกายล้มลงไปยังข้างๆ ล้มสลบไปแล้ว
จากนั้น ไป๋ยี่เฟยดูเหมือนฝันไปอีก
เขาฝันเห็นไป๋เซี่ยวเอามีดแทงเขาหนึ่งที จากนั้นฝันเห็นคนที่เป็นใครก็ไม่รู้อีกคนหนึ่ง เอามีดแทงเข้าไปในร่างกายของน้องสาวหนึ่งที
อยู่ในฝัน ไป๋ยี่เฟยจำไม่ได้ว่าน้องสาวไม่อยู่มานานแล้ว
ไป๋ยี่เฟยเจ็บปวดมาก อยากจะพุ่งเข้าไปช่วยน้องสาวเขา แต่ว่าเขาก็โดนแทงด้วยหนึ่งที ดูเหมือนร่างกายออกแรงไม่ได้
ไป๋ยี่เฟยร้อนใจมาก โกรธแค้นมาก
จากนั้นอีก ไป๋ยี่เฟยตื่นแล้ว
ไป๋ยี่เฟยลุกขึ้นนั่งอย่างรุนแรง ร่างกายมีเสื้อผ้า แต่เสื้อผ้าเปียกโชกไปด้วยเหงื่อแล้ว
เขามองไปรอบๆมองแล้วมองอีกรู้ว่าตนเองยังอยู่ในหลันเต่า
วินาทีถัดมา เขาไร้เรี่ยวแรงทั้งตัวนอนกลับไปบนเตียงอีก
เขาอยากจะลุกขึ้นมานั่งอีก กลับพบเห็นว่าแม้แต่ออกแรงเล็กน้อยก็ไม่ได้ ก็เหมือนถูกคนวางยาดั่งสมัยโบราณทำให้ตัวอ่อนไปหมด
“เป็นยังไงแล้วล่ะ?”
“ผมทำไมกลายเป็นแบบนี้ล่ะ?”
ซาเฟยหยาง ฉินหัวกับจื่ออีก็ล้วนอยู่ในห้องนอนเช่นกัน หลังจากมองเห็นไป๋ยี่เฟยตื่นแล้ว ล้วนล้อมรอบเข้ามา
จื่ออีจ้องมองไป๋ยี่เฟย ขมวดคิ้วนิดๆ “คุณจำไม่ได้แล้วหรือ?”
ไป๋ยี่เฟยสงสัยงงงวยส่ายหัวแล้วส่ายหัวอีก “ผมควรจำอะไรได้หรือ?”
ความจำของไป๋ยี่เฟยในตอนนี้ แค่หยุดอยู่ที่เขาพูดคุยสนทนาเรื่องนิ้วเท้าหกนิ้วกับซาเฟยหยาง
และมองเห็นสีหน้าของไป๋ยี่เฟยนี้ พวกเขาล้วนรู้ ดูแล้วไป๋ยี่เฟยน่าจะจำไม่ได้จริงๆแล้ว ทั้งสามคนสบตากันหนึ่งทีอย่างหนักอึ้ง
ทันทีนั้นไป๋ยี่เฟยมองออกแล้ว ร้อนใจอย่างมากถามว่า “เกิดอะไรขึ้นใช่หรือไม่?”
จื่ออีส่ายหัวนิดๆ
ไป๋ยี่เฟยก็มองไปยังฉินหัว จากนั้นฉินหัวเพียงแค่ถอนหายใจหนึ่งที
ไป๋ยี่เฟยหันไปมองซาเฟยหยางอีก ซาเฟยหยางเงียบไปสักพัก ฝืนโผล่รอยยิ้มออกมาหนึ่งทีพูดว่า “อยู่ในบางสภาพการณ์ พลังความสามารถของคุณเหนือกว่าผมแล้ว นี่ถือว่าเป็นข่าวดีอย่างหนึ่งหรือไม่?”
พลังความสามารถเหนือกว่าซาเฟยหยางได้ เป็นข่าวดีจริงๆ
แต่ว่าน้ำเสียงของซาเฟยหยางคือประโยคคำถามหนึ่ง เพราะว่าเขาก็ไม่แน่ใจเช่นกัน อีกทั้งซาเฟยหยางก็พูดแล้วว่าแค่อยู่ในภายใต้บางสภาพการณ์
ยังมีก็คือ ทำไมจื่ออีกับฉินหัวล้วนไม่พูดล่ะ?