ทองคำหนึ่งฝ่ามือก็คือทองคำขนาดเท่ากับหนึ่งฝ่ามือ
บรรดาผู้คนที่ตื่นเต้นและอยากจะลองประมูล เมื่อได้ยินราคาเริ่มต้นนี้ ทำให้ทุกคนถอนหายใจด้วยความตกใจ และความปรารถนาที่เดือดพล่านต้องสงบลงเพราะราคาประมูลนี้
ทองคำหนึ่งฝ่ามือไม่ได้เล็กเหมือนทองคำหนึ่งนิ้วมือ ราคาเริ่มต้นก็สูงขนาดนี้แล้ว ไม่ต้องพูดถึงราคาประมูลที่จะเพิ่มสูงขึ้น
ถึงแม้คนส่วนใหญ่จะมีทองคำอยู่บ้าง แค่ราคาเริ่มต้นก็ทองคำหนึ่งฝ่ามือแล้ว ทำให้พวกเขามีทองคำไม่เพียงพอสำหรับเสนอราคาแน่นอน
แต่ก็มีบางคนไม่ยอมตัดใจ จึงตะโกนว่า:“ผู้หญิงคนนี้ไม่ขยับตัวเลย เธอเป็นคนโง่หรือเปล่า?”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ทำให้ทุกคนหัวเราะขึ้นมา
พิธีกรประมูลมองไปที่หลิวเสี่ยวอิงด้วยสายตาเย็นชา
จากนั้น เขาก็หยิบแส้ขึ้นมาแล้วเฆี่ยนไปที่ร่างกายของหลิวเสี่ยวอิง!
“เพี๊ยะ!”
แส้เฆี่ยนโดนร่างกายของหลิวเสี่ยวอิง หลิวเสี่ยวอิงสั่นอย่างรุนแรง ขดตัวและกอดตัวเองไว้แน่ ท่าทางของเขาดูน่าสงสารมากๆ
พิธีกรประมูลตะโกนเสียงดังขึ้นมา:“เธอกล้าแกล้งทำตัวเป็นคนโง่ ฉันจะเฆี่ยนคุณให้ตาย!”
“เพี๊ยะ!”
พูดไปด้วยก็ใช้แส้เฆี่ยนไปด้วย
เมื่อไป๋ยี่เฟยเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เขาโกรธจัด เขาแทบรอไม่ไหวที่จะรีบวิ่งขึ้นมาทันที และเข้าไปทำร้ายร่างกายพิธีกรประมูล
แต่ตอนนี้เขาไม่มีเรี่ยวแรงที่จะวิ่งขึ้นไป ถึงแม้เขาวิ่งขึ้นไปก็ทำอะไรไม่ได้ ไม่เพียงช่วยหลิวเสี่ยวอิงไม่ได้ อาจจะทำให้พวกเขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม เขาก็สามารถหยุดพฤติกรรมของพิธีกรประมูลได้
ไป๋ยี่เฟยยืนขึ้นและตะโกนไปที่พิธีกรประมูล:“หยุดได้แล้ว!”
เมื่อพิธีกรประมูลได้ยินคำพูดนี้ ทำให้เขาหยุดแส้ครั้งที่สามที่จะเฆี่ยนลงไป จากนั้นหันหน้าไปมองไป๋ยี่เฟย พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา:“คุณคิดว่าตัวเองเป็นใคร?ถึงกล้าพูดให้ฉันหยุด?”
ไป๋ยี่เฟยพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม:“ฉันต้องการผู้หญิงคนนี้ ฉันจ่ายทองคำสองฝ่ามือ!”
เมื่อเขาพูดจบ ทุกคนที่อยู่ในงานก็แตกตื่น
ทองคำสองฝ่ามือ!
นั่นคือทองคำสองฝ่ามือเลยนะ!
นี่อาจจะเป็นการประมูลที่สูงที่สุดของหลันจูเลย
พิธีกรประมูลอึ้งไปชั่วครู่ จากนั้นเขาก็ยิ้มอย่างประจบสอพลอ:“ได้ ได้ครับ เมื่อคุณผู้ชายคนนี้ต้องการตัวเธอ ฉันก็จะไม่เฆี่ยนอีก”
จากนั้นพิธีกรประมูลก็ตะโกนบอกทุกคนว่า:“ยังมีใครให้ราคาสูงกว่านี้อีกไหม?ถ้าไม่มี……”
เขาจงใจลากเสียงให้ยาว มันเป็นกลวิธีอย่างหนึ่ง เพื่อรอให้คนอื่นเสนอราคา
ตามที่คาดการณ์ไว้
มีคนเสนอราคาขึ้นมาทันที และเป็นเสียงของคนแก่
“ทองคำสามฝ่ามือ!”ท่านฉวี่ยกมือขึ้นอย่างช้าๆ
เมื่อเห็นท่านฉวี่เสนอราคา ทำให้ทุกคนเงียบ
แต่พิธีกรประมูลดีใจมากๆ
ไป๋ยี่เฟยมองท่านฉวี่ด้วยสายตาที่โกรธมากๆ จากนั้นเสนอราคา:“ทองคำสี่ฝ่ามือ”
ท่านฉวี่ก็ยกมือขึ้นอย่างช้าๆและพูด:“ทองคำห้าฝ่ามือ!”
“บูม!”
เมื่อได้ยินราคานี้ ทำให้ทุกคนในงานต่างคึกคักขึ้นมา
พิธีกรประมูลยิ้มจนตาหยี
ไป๋ยี่เฟยเหมือนโดนฟ้าผ่า นิ่งอยู่กับที่
ทองคำห้าฝ่ามือมีน้ำหนักเท่ากับทองคำขนาดอิฐสองก้อน และไป๋ยี่เฟยออกมาครั้งนี้เขามีเพียงทองคำขนาดอิฐสองก้อนเท่านั้น
เขามีทองคำทั้งหมดแค่ห้าฝ่ามือเอง
ทำให้ไป๋ยี่เฟยอึ้งไปเลย
เขาไม่สามารถเสนอราคาอีกครั้ง เพราะเขามีทองคำไม่เพียงพอ
พิธีกรประมูลไม่สนใจอะไรเลย พูดด้วยความตื่นเต้นว่า:“ยังมีใครให้ราคาสูงกว่านี้ไหม ตอนนี้ราคาอยู่ที่ทองคำห้าฝ่ามือ ยังมีสูงกว่านี้อีกไหม ?ถ้าไม่มีละก็ ผู้หญิงคนนี้ก็จะตกเป็นของท่านฉวี่แล้ว”
สำหรับหลิวเสี่ยวอิงที่อยู่ในกรง ตอนแรกเธอหมดหนทางและจนปัญญา แต่เมื่อได้ยินเสียงของไป๋ยี่เฟย ทำให้เธอรู้สึกตื่นเต้นและลุกขึ้นนั่งตัวตรง
เธอมองลงไปที่ด้านล่างเวทีด้วยความไม่น่าเชื่อ และเป็นอย่างที่เธอคาดการณ์ไว้ เธอเห็นไป๋ยี่เฟย
ทันทีที่เห็นไป๋ยี่เฟย อารมณ์ทั้งหมดของหลิวเสี่ยวอิงก็ปะทุขึ้นมาทันที
เธออยากหัวเราะ แต่ก็หัวเราะได้แค่นิดเดียว จากนั้นเธอก็อดไม่ได้ ร้องไห้เสียงดังออกมา
“ฮือๆๆ……”
เมื่อคนๆหนึ่งเจอปัญหาหนักๆ โดนรังแก ได้รับความไม่เป็นธรรม เธอจะไม่พูดอะไรเลยสักคำ เธอจะไม่เสียน้ำตายเลยสักหยด
แต่เมื่อเขาเห็นคนในครอบครัวตัวเอง และเผชิญหน้ากับคนที่ใกล้ชิดที่สุด อารมณ์ทั้งหมดของเขาก็จะปะทุออกมาทันที
สำหรับหลิวเสี่ยวอิง เธอถือว่าไป๋ยี่เฟยเป็นคนในครอบครัวของเธอมานานแล้ว ดังนั้นเมื่อเห็นเขาจึงทำให้เธอปะทุอารมณ์ทั้งหมดออกมา
เธอร้องไห้เสียงดังโดยที่ไม่สนใจใครเลย
เมื่อไป๋ยี่เฟยได้ยิน ทำให้เขาปวดใจมากๆ ถึงแม้ว่าเขาจะรู้สึกเศร้าใจ แต่เขาก็โล่งใจขึ้นมานิดหน่อย
เพราะเขารู้ว่า หลิวเสี่ยวอิงยังมีชีวิตอยู่
ในขณะนี้ มีชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านหลังท่านฉวี่ จู่ๆก็พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา:“รู้ไหมทำไมท่านฉวี่ถึงไม่แย่งคนแรกกับคุณ?”
“บอกคุณก็ได้ ในเขตที่สี่ นอกจากตระกูลหง ไม่มีใครมีเงินเยอะกว่าท่านฉวี่อีกแล้ว!”
“ถ้าคุณแน่จริงก็เสนอราคาอีกสิ!”
“เพิ่มไม่ไหวแล้วสิ?ไม่มีเงินใช่ไหม?”
“ฮึ!”
“ถ้าไม่มีเงินก็ไสหัวออกไปซะ!”
คำพูดนี้ไป๋ยี่เฟยเคยพูดไว้ และตอนนี้เขาก็ถูกคำพูดนี้ตอกกลับ
ถ้าพูดถึงว่าใครมีเงินมากกว่ากัน ไป๋ยี่เฟยมีเงินเยอะมากๆจนสามารถใช้ทองคำหนึ่งลังทุบพวกเขาให้ตายได้
แต่ปัญหาคือ ตอนนี้เขาไม่ได้พกเงินมาเยอะขนาดนั้น แต่เขาต้องประมูลหลิวเสี่ยวอิงให้ได้
ไป๋ยี่เฟยคิดอยู่ชั่วครู่ กัดฟันตัวเอง หันหลังแล้วยกมือขึ้นมาและพูด:“ทองคำสิบฝ่ามือ!”
เมื่อสิ้นเสียงพูด ทุกคนตกตะลึงไปหมด
แม้แต่ท่านฉวี่กับชายที่ยืนอยู่ด้านหลังก็จ้องมองเขาอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง
มีเพียงคนเดียวที่กำลังยิ้มอยู่ก็คือพิธีกรประมูล
ทุกคนในงานต่างคึกคักเจี๊ยวจ๊าว
“ทองคำสิบฝ่ามือ!แม่งเอ๊ยทองคำตั้งสิบฝ่ามือเลยนะ!”
“เขาบ้าไปแล้วใช่ไหม?”
“เงินเยอะขนาดนี้มันเท่ากับทรัพย์สินทั้งหมดของผู้คนชั้นสูงในหลันเต่าเลยนะ”
“เพื่อผู้หญิงคนเดียว มันคุ้มเหรอ?”
“แล้วเขาเป็นใครเหรอ?ทำไมไม่เคยได้ยินชื่อเสียงมาก่อน?”
“ไม่รู้เหมือนกัน เขามีเงินเยอะขนาดนี้ได้ยังไง?”
พิธีกรประมูลมองหน้าไป๋ยี่เฟยด้วยรอยยิ้มและถาม:“คุณผู้ชาย คุณแน่ใจใช่ไหมว่าจะเสนอราคาทองคำสิบฝ่ามือ?”
พิธีกรประมูลกลัวตัวเองฟังผิด ดังนั้นจึงถามเพื่อความแน่ใจ
ไป๋ยี่เฟยพยักหน้าและพูด:“ใช่ครับ แต่ว่ามันเป็นเงินจำนวนเยอะมาก ตอนนี้ฉันไม่มีเงินติดตัวเยอะขนาดนั้น ดังนั้นคุณสามารถส่งคนกลับไปรับเงินพร้อมกับฉัน
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าของพิธีกรประมูลก็เปลี่ยนไป
ท่านฉวี่พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา:“ไม่มีเงิน ยังกล้าเสนอราคานั้นมาอีก!”
“คุณผู้ชาย พวกเราทำธุรกิจส่วนมากจะยื่นหมูยื่นแมวจ่ายเงินแล้วรับของ ติดเงินไม่ได้” พิธีกรประมูลพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น“ยิ่งไปกว่านั้นไม่มีใครกล้าเอาสิ่งของของตระกูลหงแล้วติดเงินไว้!”
ไป๋ยี่เฟยรีบตอบทันที:“ฉันไม่ได้พกเงินติดตัวเยอะขนาดนั้น พวกคนส่งคนไปรับเงินพร้อมกับฉัน สำหรับการเดินทางไปรับเงิน ฉันสามารถจ่ายทองคำหนึ่งนิ้วมือเป็นค่าเดินทางให้พวกคุณได้”
ในตอนบ่าย ลู่หย่วนให้ทองคำกับไป๋ยี่เฟยมาหนึ่งถุง ในนั้นน่าจะมีทองคำประมาณยี่สิบฝ่ามือ
ที่จริงตอนนี้บนเกาะหลันเต่า พวกเขาใช้เงินในการคำนวณ ซึ่งไม่ค่อยแม่นยำมากนัก ถ้าใช้เครื่องมือในการคำนวณน่าจะแม่นยำกว่านี้