ซาเฟยหยางคิดอะไรบางอย่างออก ส่ายหัวและพูด:“ฉันมองไม่ออกทุกคนหรอก อย่างเช่นคุณ ฉันก็มองไม่ออกจริงๆ นี่ก็เป็นเหตุผลที่ฉันยอมติดตามคุณ เพราะฉันอยากรู้ว่ามีอะไรปิดบังโชคชะตาชีวิตของคุณอยู่”
“แต่……” ซาเฟยหยางขมวดคิ้วและพูด“มีคนข้างกายของคุณคนหนึ่ง ช่วงนี้จะมีเคราะห์ร้ายเกิดขึ้น แต่ว่าเป็นเคราะห์ร้ายอะไรฉันคำนวณไม่ออก แต่ฉันเดาว่าครั้งนี้เป็นเคราะห์ร้ายที่มีโอกาสเสียชีวิตสูงมากๆ
“ใคร?”ไป๋ยี่เฟยตกใจทันทีและรีบถาม
ซาเฟยหยางส่ายหัวและพูด:“คุณก็น่าจะรู้ ความลับสวรรค์ห้ามเปิดเผย พูดตรงๆไม่ได้ ถ้าฉันพูดออกมา คนที่เสียชีวิตอาจจะเป็นฉัน”
ถึงแม้ไป๋ยี่เฟยจะไม่ค่อยเชื่อเรื่องพวกนี้มากนัก แต่เมื่อซาเฟยหยางพูดขนาดนี้ ก็ทำให้เขากังวลและอยากรู้
จากนั้นเขาฝืนยิ้มและถาม:“บอกใบ้ให้หน่อยได้ไหม?”
ซาเฟยหยางนิ่งไปชั่วครู่แล้วพูด:“เป็นผู้หญิง มีความเกี่ยวข้องกับพืชพรรณ”
เมื่อได้คำใบ้สองอย่างนี้ ไป๋ยี่เฟยก็นึกถึงคนๆหนึ่งขึ้นมาทันที
หลิวเสี่ยวอิง
หลิวเสี่ยวอิงเป็นผู้หญิง และอักษรอิงในชื่อของเธอ บนหัวของคำว่าอิงอยู่ในหมวดหญ้าของอักษรจีน และมันเกี่ยวข้องกับพืชพรรณ
ไป๋ยี่เฟยนึกถึงการจากไปของหลิวเสี่ยวอิงด้วยตัวคนเดียว เขารู้สึกว่าวันนั้นต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่นอน ทำให้เธอยอมรับไม่ได้ มิฉะนั้นทำไมหลิวเสี่ยวอิงถึงจากไปโดยไม่บอกลา?
ไป๋ยี่เฟยตั้งใจแน่วแน่และต้องถามให้ชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้นในคืนนั้นกันแน่
……
ไป๋ยี่เฟยรีบไปที่ตระกูลลู่
ถึงแม้ว่าเขาจะใช้เงินเป็นจำนวนมากเพื่อจัดงานศพให้คนในตระกูลลู่ เนื่องจากพี่น้องตระกูลลู่เกลียดเขามากๆ ไม่ต้องการให้เขาเข้ามา ดังนั้นเรื่องนี้เขาจึงให้หลิวเสี่ยวอิงไปจัดการ
เมื่อเขาถึงตระกูลลู่ คนในครอบครัวตระกูลลู่ก็ถูกฝังเรียบร้อยแล้ว ลู่เชี่ยนกับลู่เหมียวเหมียวยืนอยู่ด้านหน้าสุด และคุกเข่าต่อหน้าหลุมฝังศพและร้องไห้ หลิวเสี่ยวอิงและสมาชิกขององค์กรขวางซายืนอยู่ไม่ไกลเพื่อปกป้องพวกเธอ
หลิวเสี่ยวอิงสังเกตเห็นไป๋ยี่เฟย หันหน้าแล้วมองมาที่เขา
หลังจากเสร็จพิธีฝังศพ หลิวเสี่ยวอิงก็เดินมาหาไป๋ยี่เฟย
หลังจากเธอใกล้จะถึง ไป๋ยี่เฟยก็หันหลังเดินออกไป หลิวเสี่ยวอิงก็เดินตาม ทั้งสองคนเดินอย่างเงียบๆบนถนนเล็กๆเส้นหนึ่ง
หลิวเสี่ยวอิงไม่รู้ว่าไป๋ยี่เฟยมาหาตัวเองมีเรื่องอะไร ดังนั้นเธอจึงรอให้ไป๋ยี่เฟยเอ่ยปากพูด
แต่ไป๋ยี่เฟยกำลังครุ่นคิดว่าตัวเองควรพูดยังไงดี
ทั้งสองคนเดินถึงหน้าประตูตระกูลลู่ ไป๋ยี่เฟยก็ยังไม่ยอมเอ่ยปากพูด สุดท้ายเขาก็กัดฟันและถามเธอตรงๆ:“เสี่ยวอิง คุณบอกฉันได้ไหมว่าวันนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
หลิวเสี่ยวอิงมองเขาด้วยรอยยิ้ม ตอนนี้ไม่ได้ท้อแท้เหมือนเมื่อก่อน แต่ดูเหมือนมีชีวิตชีวา“คุณพูดถึงวันไหน?”
ไป๋ยี่เฟยฝืนยิ้มและพูด:“คุณรู้ดีอยู่แล้ว”
สีหน้าของหลิวเสี่ยวอิงยังคงมีรอยยิ้ม แต่เธอหันหน้าอย่างรวดเร็ว และขยี้ตาอย่างเงียบๆ
ไป๋ยี่เฟยสังเกตเห็นและรู้สึกประหม่า“คุณร้องไห้เหรอ?”
“คุณต่างหากที่ร้องไห้!””หลิวเสี่ยวอิงหันหน้ากลับมา จ้องเขาด้วยความโกรธ แล้วก็ยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง“ฉันล้อคุณเล่น คุณเชื่อจริงๆเหรอ!”
เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น ไป๋ยี่เฟยโล่งอกขึ้นมาทันที จากนั้นจึงสั่งสอนเธอ:“อย่าล้อเล่นแบบนี้กับฉันอีก!ลักษณะของคุณตอนนี้ ทำให้ฉันคิดว่า……”
“คิดว่าอะไร?”หลิวเสี่ยวอิงมองเขาด้วยรอยยิ้ม
ไป๋ยี่เฟยยักไหล่“ถ้าฉันรู้ ฉันก็คงจะไม่ต้องมาถามเธอ”
ในเวลานี้ หลิวเสี่ยวอิงยิ้มและพูดว่า:“ให้เวลาฉันสองเดือนได้ไหม หลังจากนั้นฉันจะบอกความจริงทุกอย่างที่คุณอยากรู้”
ไป๋ยี่เฟยได้ยินเหล่านั้น ขมวดคิ้วทันที ในขณะเดียวกันก็รู้สึกไม่สบายใจและถามว่า:“คุณจะจากไปอีกแล้วเหรอ?”
หลิวเสี่ยวอิงส่ายหัว“ฉันไม่ได้จะจากไป เพราะครั้งที่แล้วที่ฉันจากไปโดยไม่บอกลา ถึงเกิดเรื่องพวกนี้ขึ้น ฉันไม่กล้าจากไปแล้ว”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ ไป๋ยี่เฟยก็โล่งอกขึ้นมาทันที เมื่อคิดถึงคำพูดของซาเฟยหยาง เขาก็ครุ่นคิดในใจ เขาจะต้องให้หลิวเสี่ยวอิงอยู่ข้างกายตัวเอง ถ้าเกิดเรื่องไม่ดีหรือมีเคราะห์ร้ายอะไรเกิดขึ้นกับเธอ เขาก็สามารถช่วยเธอให้ผ่านพ้นมันไปได้
ไป๋ยี่เฟยก็ไม่ได้ถามอะไรอีก อย่างไรก็ตามอีกสองเดือนข้างหน้าหลิวเสี่ยวอิงก็จะบอกเขาเอง และเวลาสองเดือนก็ไม่ได้นานมาก
……
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เวลาสองเดือนก็จะมาถึงในไม่ช้า
ในระยะเวลาสองเดือนนี้ ไป๋ยี่เฟยใช้ชีวิตง่ายๆสบายๆ อยู่บ้านโทรศัพท์คุยกับหลี่เสว่และเปิดวีดีโอคอล ค่อยๆมองเห็นท้องของหลี่เสว่โตขึ้นวันละนิดๆ
ในสองเดือนนี้ก็มีเรื่องใหญ่อื่นๆเกิดขึ้นเหมือนกัน
ฉางเชี่ยวเข้ายึดเขตที่สี่ ใช้เงินของไป๋ยี่เฟยเข้ามาลงทุนและยกเลิกระบบเงินตราที่เคยที่เคยมีอยู่ ไม่อนุญาตให้ใช้ทองคำในการทำธุรกรรม ในเวลาเดียวกันก็ก่อตั้งธนาคารขนาดใหญ่สองแห่งในเขตที่สี่
ในช่วงริเริ่ม คนของเขตอื่นๆต่างหัวเราะเยาะเขา พวกเขาบอกว่าเขตที่สี่ทำเรื่องมั่วซั่ว
คนในเขตที่สี่ก็รู้สึกว่ามันไม่มีความหมายอะไร เพราะตั๋วที่ออกจากหลันเต่าก็ต้องใช้ทองคำในการซื้อขาย
แต่เมื่อเวลาค่อยๆผ่านไป ระบบก็สมบูรณ์มากขึ้น และเขตที่สี่ก็เปลี่ยนไปจริงๆ
ฉางเชี่ยวจัดระบบใหม่ทั้งหมด และจัดตั้งฝ่ายบริหารโดยใช้อดีตลูกน้องของตระกูลหง
ในเวลาเดียวกัน พวกเขาก็ได้ประกาศกฏและข้อบังคับต่างๆ เพื่อยกเลิกระบบทาสและชนชั้น เพื่อส่งเสริมแนวคิดเรื่องความเท่าเทียมกัน ผ่านไปสักพัก เขตที่สี่ก็ค่อยๆเปลี่ยนแปลงและเจริญรุ่งเรือง
ภายในสองเดือน เขตที่สี่ซึ่งเดิมทีเรียกว่าเป็นเขตที่โหดร้ายทารุณที่สุด ได้กลายเป็นเขตที่มีความสามัคคีและปรองดองกัน
เป็นเพราะเหตุผลนี้ ทำให้ดึงดูดประชาชนทั่วไปในเขตอื่นๆเข้ามาอาศัย ทำให้ภายในเวลาอันสั้น ความเจริญรุ่งเรืองของเขตที่สี่แซงหน้าอีกห้าเขตที่เหลือ
วันนี้ครบรอบสองเดือนพอดี และเป็นวันที่หลิวเสี่ยวอิงสัญญากับไป๋ยี่เฟยว่าจะบอกเขาเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้น
แต่ก่อนหน้านั้นยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องทำก่อน
เนื่องจากเขตที่สี่มีการเปลี่ยนแปลง ทำให้ผู้คนจำนวนมากได้ใช้ชีวิตเหมือนคนปกติ และผู้คนจากเขตอื่นๆก็มาอาศัยที่นี่ด้วย แต่หลายคนไม่ทราบว่าเขตที่สี่เกิดอะไรขึ้นกันแน่
ดังนั้นไป๋ยี่เฟยกับฉางเชี่ยวตัดสินใจจัดประชุมขึ้นในเขตที่สี่
พวกเขาไม่ได้ขอให้ทุกคนต้องมา และครอบครัวหนึ่งต้องส่งสมาชิกอย่างน้อยหนึ่งคนมาร่วมงาน
พวกเขาจะจัดการประชุมในคฤหาสน์ตระกูลหง
ในเวลาเดียวกัน เขตที่สี่เปลี่ยนชื่อเป็นเมืองเจาหยาง ซึ่งหมายถึงการเริ่มต้นใหม่ และเป็นสัญลักษณ์ของความมีชีวิตชีวา
จุดประสงค์ของการประชุมครั้งนี้เพื่อเผยแพร่ทิศทางการพัฒนาของเมืองเจาหยางและนโยบายต่างๆและระบบสังคม เพื่อให้ทุกคนรับรู้ว่าเมืองเจาหยางแตกต่างจากเขตอื่นๆ
ในขณะเดียวกันก็สามารถใช้พวกเขาเพื่อแพร่กระจายข่าวสาร ให้คนในเขตอื่นๆรับรู้ด้วย
ตอนเช้าเวลาแปดนาฬิกา สถานที่นี้เต็มไปด้วยผู้คน
การประชุมจะเริ่มในเวลาเก้านาฬิกา
เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา ทำให้ผู้คนในเขตที่สี่รู้สึกได้จริงๆ ดังนั้นพวกเขาจึงสนับสนุนและชอบผู้ดูแลคนใหม่
เมื่อพวกเขามาถึงในอาคาร พวกเขาไม่ได้ขมวดคิ้วและเป็นทุกข์เหมือนเมื่อก่อน แต่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ
ดังนั้นเมื่อลู่เชี่ยนมองไปด้านนอกเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นผ่านหน้าต่าง เธออึ้งไปเลย
ตอนที่ลู่หย่วนมาถึงหลันเต่า ลู่เชี่ยนอายุได้เพียงสามถึงสี่ขวบ ทำให้เธอไม่รู้ว่าโลกภายนอกเป็นอย่างไร เมื่อเธอเติบโตขึ้น เธอจึงคิดว่าโลกภายนอกก็คงเหมือนกับโลกที่เธออยู่
แต่ว่าตอนนนี้ เขามองเห็นโลกที่ไม่เหมือนเดิมก็เลยทำให้เธออึ้งไปเลย
ใบหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่จริงใจ
เธอไม่เข้าใจ“นี่เป็นสิ่งที่ไป๋ยี่เฟยพูดว่าเปลี่ยนแปลงใช่ไหม?”
หลังจากที่ตระกูลหงล่มสลาย เพื่อดูแลพี่น้องตระกูลลู่ ไป๋ยี่เฟยก็เลยให้พวกเธออาศัยอยู่ในตระกูลหง ถือว่าเป็นบ้านชั่วคราวของพวกเธอ
ตอนนี้ห้องนี้เป็นห้องสวีทขนาดใหญ่ ในห้องนอกจากลู่เชี่ยนแล้ว ยังมีลู่เหมียวเหมียวกับลู่หยาง
เมื่อได้ยินคำพูดของลู่เชี่ยน ลู่เหมียวเหมียวเดินมาที่หน้าต่างแล้วมองลงไป และหัวเราะออกมาโดยไม่รู้ตัว:“พี่สาว พี่ดูสิพวกเขายิ้มและมีความสุขแค่ไหน”
เมื่อลู่เชี่ยนได้ยินคำพูดของลู่เหมียวเหมียวก็ได้สติขึ้นมาทันที และเหมือนเธอคิดอะไรบางอย่างออกและพูดอย่างเย็นชา:“รอดูเถอะ ทั้งหมดมันก็เป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้น ด้วยระบบแบบนี้ พวกเขาจะหาเงินได้ยังไง?จะรักษาระบบนี้ยังไง?พวกเขาทำเรื่องวุ่นวายชัดๆ!”
“พูดว่าเก็บภาษี มันก็ไม่ต่างจากการเก็บค่าคุ้มครองหรอก?”
“พูดว่าทุกคนเท่าเทียมกัน มันก็เรื่องหลอกลวง ยังพูดอีกว่า ไม่ว่าคุณจะเป็นใครมีเงินและอำนาจมากแค่ไหน ถ้าทำผิดก็ต้องรับโทษเหมือนกัน มันเป็นไปได้เหรอ?”
“เหมียวเหมียว ฉันจะพูดกับเธอ พวกเขาทำได้ไม่นานหรอก!”
เมื่อลู่เหมียวเหมียวได้ยินคำพูดเหล่านี้ รอยยิ้มบนใบหน้าก็หยุดชะงักไปเลย เธอหันหน้ามองผู้คนที่อยู่ด้านล่าง พูดโดยไม่ตั้งใจว่า:“แต่ว่าพี่สาว พี่ดูผู้คนด้านล่างสิ พวกเขายิ้มด้วยความจริงใจ!ยิ้มออกมาจากหัวใจ”
เมื่อลู่เชี่ยนได้ยินสีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไป พูดอย่างเย็นชา:“เหมียวเหมียว เธอต้องจำไว้ ไป๋ยี่เฟยเป็นศัตรูของพวกเรา เขาเป็นคนที่ทำให้พ่อแม่ของพวกเราต้องตาย!”